พรรคเพื่อไทย เลือดไหลไม่หยุด ล่าสุด “สันติ พร้อมพัฒน์” ก๊วน “เสี่ยเพ้ง” ซึ่งเป็นนายทุนพรรค และมือ “สำรองจ่าย” ให้ทุกครั้งที่ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ เตรียมหอบอดีตส.ส.เพื่อไทยใน 3 จังหวัดกว่า 10 คน สู่อ้อมกอดพลังประชารัฐ ชี้มีอีกกว่า 20 คนจากมหาสารคาม-ร้อยเอ็ดและชัยภูมิ ถูกดูดด้วย ขณะที่แกนนำ เจรจาดึง “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” เพื่อนซี้ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” มาร่วมดูแลพื้นที่ กทม.แต่ถูกปฏิเสธ วงในชี้รอบนี้ทหาร เอาจริง ไม่ยอมให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้งแน่นอน!
สถานการณ์เลือดไหลไม่หยุด ที่กำลังเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ แม้นายทักษิณ ชินวัตร จะออกมาคุยโวและดูเหมือนจะไม่สนใจอดีต ส.ส.ที่ออกไปอยู่พรรคพลังประชารัฐหรือพรรคเครือข่ายก็ตาม พร้อมประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยยังมีโอกาสเขียวทั้งอีสานหรือ กวาดที่นั่งทุกเก้าอี้ อีกทั้งยังแจกแจงให้เห็นว่าอดีต ส.ส.เพื่อไทยที่ออกจากพรรคไปส่วนใหญ่จะเป็นพวกมีคดีก็จะมีโอกาสหลุดคดีสักที ส่วนอีกประเภทก็คือพวกที่เป็นหนี้เป็นสินอยู่ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่มาให้ก็น่าสนใจ และยังมีพวกที่มั่นใจว่าตัวเองเป็นที่นิยม แล้วคิดว่าเงินเยอะดีก็น่าจะไป ซึ่งกลับจะเป็นโอกาสให้กับพรรคเพื่อไทยในการหาคนใหม่เข้ามาอยู่พรรคต่อไป
แต่ในสถานการณ์จริงคนที่เป็นเนื้อนาบุญของพรรคเพื่อไทยได้ถอดความคำพูดและอารมณ์ความรู้สึกในคำพูดของนายทักษิณ ครั้งนี้ว่า เขาต้องการสื่อไปถึงบรรดานายทุนพรรคทุกคนว่านายทักษิณ ยังอยู่และให้เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลแน่นอน ให้ทุกคนดูโพลสำนักต่างๆ โดยเฉพาะโพลล่าสุด เมื่อ 24 มิถุนายน ของสวนดุสิตโพล 'มหาวิทยาลัยสวนดุสิต' ได้ สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ความนิยมในตัวพรรคเพื่อไทย ยังเป็นอันดับ 1 ชนะพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสำรวจของพรรคเพื่อไทย ในระดับพื้นที่ ทุกคนก็ยังเป็นขุมกำลังให้พรรคไม่ได้มีการตีจาก
“ไม่ได้แค่ขู่นายทุนนะ เป็นการขู่ลูกน้องเก่า อดีต ส.ส.ด้วยว่าอย่าคิดว่าคะแนนตัวเองดี จริงๆ แล้วเป็นคะแนนของพรรค การพูดสื่อออกไปแบบนี้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้มั่นใจว่าพรรคนี้มียุทธวิธีสู้กับอำนาจรัฐ ไม่ได้ปล่อยให้อดีต ส.ส.และสมาชิกพรรคต่อสู้ตามลำพัง”
ผลปรากฏว่าข้อความที่นายทักษิณ สื่อออกไปกลับไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับแกนนำและสมาชิกบางคนที่ดีดลูกคิดแล้วได้ข้อสรุปว่า 'การจากไปย่อมมั่นคงและปลอดภัย' กว่าการคงอยู่ในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเรื่องนี้แกนนำพรรคที่ใกล้ชิดตระกูลชินวัตร รวมไปถึงนายทักษิณ ก็รู้และเข้าใจว่าเวลานี้ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งคนพวกนี้ไว้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ต้องการยอมรับความจริงว่า..วันนี้พรรคเพื่อไทย เลือดกำลังไหลไม่หยุด!
ล่าสุดมีกระแสข่าวยืนยันว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ จะนำอดีต ส.ส.ในสังกัดตัวเองหลายสิบคนตีจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะว่าไปแล้วนายสันติมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนายทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร เพราะเขาเป็นหนึ่งในนายทุนพรรค ที่คอยเกื้อหนุนและดูแลอดีต ส.ส.พรรค หรือแม้ในยามนายทักษิณ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายทุนก็ได้นายสันตินี่แหละ เป็นคนดูแล พูดง่ายๆ ก็เป็นคน ADVANCE เงินที่ใช้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
“ส.ส.ในพรรค ยอมรับเขามาก ก็เหมือนกับยอมรับเสี่ยเพ้ง (พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล) เพราะรู้ว่า เขาเป็นผู้สนับสนุน เป็นกระเป๋าเงินของพรรคมานานแล้ว และเขายังรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้ง ที่เพชรบูรณ์ พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์”
การที่นายสันติ ตัดสินใจจะออกจากพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องน่าคิด เพราะคนในพรรคและเพื่อนต่างพรรคก็รู้ว่านายสันติ ถือเป็นเพื่อน หรือเป็นคนของเสี่ยเพ้ง ที่ทำงานกันมาตั้งแต่พรรคความหวังใหม่ ก่อนที่จะมาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน และเสี่ยเพ็ง ก็เป็นคนผลักดันให้นายสันติ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
“เวลานี้เสี่ยเพ้งควันออกหู กับกระแสข่าวว่า นายสันติ จะพาก๊วนอดีต ส.ส.เพื่อไทย ที่เพชรบูรณ์ 5 คน พิษณุโลก 2 คน อุตรดิตถ์ 3 คน ออกมาด้วย จะยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยระส่ำระสายมากขึ้น ก็ต้องเร่งหาวิธีการแก้ไข แต่ไม่รู้ว่าจะยับยั้งได้หรือไม่”
ที่สำคัญการตีจากพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นฝีมือของพรรคพลังประชารัฐจริงๆ แต่การออกมาของนายสันตินั่น จะเข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ หรือเป็นการไปตั้งพรรคใหม่ หรือไม่ ในรูปแบบของพรรคสาขา ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ไม่เพียงแค่นั้น พรรคพลังประชารัฐ ยังได้มีการเจรจาอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์หลายคน โดยเฉพาะ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัย มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งในกรุงเทพฯ
“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เป็นคนสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ กับนายอภิรักษ์ เป็นเพื่อนนักเรียนที่สนิทกัน จึงมีการชักชวนนายอภิรักษ์ไปช่วยงานพรรค ล่าสุดว่ากันว่า นายอภิรักษ์ ได้ปฏิเสธไม่ไปร่วม และยืนยันต้องการวางมือจากการเมืองแน่นอน”
อย่างไรก็ดีพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่แค่การเข้าเจรจาแบบตรงๆ ยังมีการใช้แกนนำพรรคอื่นเป็นผู้ไปเจรจา อย่างกรณีพื้นที่อีสาน ว่ากันว่า นายเนวิน ชิดชอบ จากภูมิใจไทย เป็นผู้ไปเจรจาดึงอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม และชัยภูมิ ได้สำเร็จเช่นกัน
“ณ วันนี้ อดีต ส.ส.เพื่อไทย ทั้ง 3 จังหวัด 19 คน ที่คุยๆ กันอาจจะมา 16-17 คนที่ยังไม่ตัดสินใจและอาจไม่มาก็ได้ เป็นพื้นที่มหาสารคาม 2 ใน 5 คน ก็คือเขต 1 นายสุรจิตร ยนต์ตระกูล ดีลเลอร์ใหญ่ค่ายโตโยต้า และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร”
แหล่งข่าวระบุว่า พลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็กลายเป็นจุดอ่อนในการทำงานการเมือง ซึ่งจากการวิเคราะห์ และประมวลข้อมูลของแกนนำแล้ว พบว่าการตั้งเป้าให้ได้ ส.ส.เกิน 100 คน และลดจำนวน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยให้ได้ต่ำกว่า 200 คนนั้น น่าจะประสบความสำเร็จได้
เพียงแต่ว่าจะประมาทกระแสโซเชียลที่จะถล่มในช่วงใกล้เลือกตั้ง ด้วยเหตุผลว่าพรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคทหาร เป็นพรรคสีเทา ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมหรือจูงใจให้ประชาชนไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐและไปเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้
“กำลังคุยกันว่าจะปรับเปลี่ยนยุทธวิธีอย่างไร เพราะความจริงในทางการเมือง ถ้ามีการไปห้อยว่าเป็นพรรคของทหารแล้ว ประชาชนปฏิเสธที่จะเลือกแน่ ซึ่งเบื้องต้น อาจจะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ดึงอดีต ส.ส.ที่ภาพลักษณ์ดีๆ หรือติดลบน้อยสุด พร้อมหาคนใหม่ที่เก่งและดีมาไว้ที่นี่ เพื่อรับมือกับการเลือกตั้งและการอภิปรายในสภาเพราะบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ล้วนฝีปากกล้า เราต้องปั้นคนที่จะรับมือกับพวกนี้ด้วย”
นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ถึงการเลือกตั้งในหลายครั้งที่ผ่านมา ถึงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง จนกระทั่งมาสู่พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงช่วงของการรัฐประหาร ปี 2549 ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ โค่นรัฐบาลรักษาการ นายทักษิณ ชินวัตร แต่กลับพบว่าพรรคของนายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังสามารถชนะการเลือกตั้งได้ หรือการชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2554 ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
“ทหารยุคบิ๊กตู่ สู้ทุกรูปแบบเพราะเขามีทั้งอำนาจ มีกฎหมาย และเงิน อยู่ในมือ แล้วก็รู้วิธีที่จะตัดเส้นเลือดใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เพื่อก้าวไปสู่ชัยชนะให้ได้ ว่ากันว่าเลือกตั้งปี 2554 เพื่อไทยใช้เงินถึง 16,000 ล้านบาท”
ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงต้องเตรียมรับสถานการณ์เลือดไหลไม่หยุดที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นวิกฤต เพราะเป้าหมายต่อไปอาจจะเกี่ยวพันถึงกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย.!!