สัมพันธ์ลึก 3ส. 'สมคิด-สมศักดิ์-สุริยะ' ชี้การปรากฏตัวเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐของ 'สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ' สร้างความสุขให้กับอดีตนักการเมืองที่พร้อมจะทิ้งพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อในพลัง-ฝีมือ ที่ทั้ง 'เก่ง-ใจถึง-รอบรู้-คอนเนกชันเพียบ แถมร่ำรวย' แต่ยังมี 2ภารกิจหลักที่อาจทำให้สุริยะไม่สามารถช่วยพลังประชารัฐถึงเป้าหมายได้ก็คือการเจรจา 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' หลานชายที่กำลังเป็นดาวเด่นการเมือง พร้อมกับดูดหรือทำให้เสี่ยเพ้ง ยุติบทบาทการเป็นกระเป๋าเงินให้พรรคเพื่อไทย!
การปรากฏตัวของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ถือเป็นคนใกล้ชิดและรู้จักคนในตระกูลชินวัตรเป็นอย่างดี ที่จังหวัดเลยพร้อมกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำวังน้ำยม ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนรักและคนชักชวนให้นายสุริยะ กระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง ได้สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาคอการเมืองที่ต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาอยู่แล้ว
ละนั่นเป็นการตอกย้ำให้สังคมได้รับรู้ว่า 'สุริยะ' ได้ตัดสายสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรแน่นอน พร้อมประกาศเดินหน้านำพา 'กลุ่มสามมิตร' เข้ามามีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือเปิดสัญญาณให้พรรคการเมืองได้รับรู้ถึงกลเกมการเมืองเพื่อผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง
ก่อนหน้านี้สังคมได้ประจักษ์ถึงพลังดูดที่พรรคพลังประชารัฐทำให้เห็นและสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการพบปะเจรจากลุ่ม ก๊วนต่างๆ ทั้งกลุ่มบ้านริมน้ำของ นายสุชาติ ตันเจริญ, พรรคภูมิใจไทย ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายเนวิน ชิดชอบ, กลุ่มชลบุรีของ นายสนธยา คุณปลื้ม, กลุ่มสะสมทรัพย์ จากนครปฐม, กลุ่มวาดะห์ และยังมีอดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ บางคน เป็นต้น
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้ทำให้บรรดานักการเมืองหวั่นไหวเท่ากับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ!
เรื่องนี้มีคำตอบจากอดีตแกนนำที่เข้าซบพรรคพลังประชารัฐ ตอบชัดเจนว่า สุริยะ 'ขายได้' และมีความหมายต่อพรรคพลังประชารัฐมากจริงๆ
เพราะก่อนหน้าที่มีการเปิดตัวออกมานั้น ยังไม่สามารถเห็นชัดเจนว่าก๊วนที่มีศักยภาพคนใดจะร่วมหัวจมท้ายจริงๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่นายสมคิดไว้วางใจ ก็ใช่ว่าจะมีพลังเทียบกับนายสุริยะ ส่งผลให้แผนแม่บทของพรรคพลังประชารัฐ ที่เขียนขึ้นมาไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายได้จริง
ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าพรรคพลังประชารัฐจะชูบทบาทไปที่ ดร.อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เป็นคู่ขวัญในการขับเคลื่อนงานการเมืองด้วยการออกพบปะประชาชน ข้าราชการ กลุ่มทุนในพื้นที่ นักการเมืองท้องถิ่น และอดีต ส.ส.ผ่านการตรวจเยี่ยมโครงการตามนโยบายรัฐบาลที่กำลังนำไปปฏิบัติจริง
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือธรรมชาติของนักการเมืองนั้น แม้ว่าจะไม่สามารถนัดพบปะสังสรรค์หรือประชุมพรรคแบบเป็นทางการได้ แต่คนพวกนี้ก็จะมีวิธีการติดต่อสื่อสารพูดคุย และหาข้อสรุปทางการเมืองเพื่อเลือกที่จะอยู่กับพรรคที่มั่นใจว่าจะได้เป็นรัฐบาลจริงๆ และมีอำนาจที่จะปกป้องคุ้มครองตัวเขาและผลประโยชน์ของพวกพ้องได้ด้วย
เพราะบริบททางการเมืองในปัจจุบันใช่ว่ามีเงินแล้วจะชนะเลือกตั้งได้ แต่การจะชนะเลือกตั้งได้จะต้องอยู่ที่การบริหารและจัดการ ซึ่งต้องมีทั้งเงิน-อำนาจ-บารมี ไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะการจะดูดระดับแกนนำที่มีศักยภาพดึงลูกทีมมาด้วย หากเขามีชนักติดหลัง ถ้ามีอำนาจในมือก็จะทำได้ง่ายเพราะพวกนี้จะรู้ว่าถ้ามาอยู่กับอำนาจรัฐแล้ว อย่างไรก็ปลอดภัยกว่าคนที่ไม่มีชนักติดหลังซึ่งก็ต้องใช้วาทศิลป์หรือมีผลประโยชน์อื่นๆ ตอบแทน
“ชื่อสุริยะ ขายได้จริงๆ ทำให้การตัดสินใจได้ง่าย ก่อนหน้าก็มีแต่ชื่อ อุตตม และสนธิรัตน์ ถามว่าอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี คนไหนที่จะเข้าร่วมก็ต้องคิดหนัก เพราะความไม่รู้จักคุ้นเคย ไม่รู้ฝีมือบริหารกัน พูดง่ายๆ พวกเรามองแค่เขาเป็นเด็กสมคิด คือทำตามที่สมคิดสั่งได้เท่านั้น”
ตรงกันข้ามกับนายสุริยะ เขาเป็นนักการเมืองเต็มตัว และเป็นนักการเมืองที่มี 'พลัง'
“คนการเมืองเขามองกันที่ พลัง ที่จะทำให้เชื่อถือ เชื่อมั่นได้ว่าคนนี้จะใช่หรือไม่ใช่ ซึ่งสุริยะ ทำให้คนการเมืองได้เห็นมาแล้วในฐานะเลขาธิการพรรคที่มีความพร้อม ไม่ใช่แค่เงิน แต่มันต้องมีศักยภาพซึ่งไม่ใช่เป็นแค่สตาฟฟ์เท่านั้น”
แหล่งข่าวระบุว่า คนที่อ่านเกมนี้ออกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่รู้มือกันเพราะเคยทำงานคลุกคลีกับนายสุริยะ ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายสมคิดและนายสุริยะเป็นรองนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลกัน ซึ่งนายสมคิด เป็นรัฐมนตรีคลัง และย้ายมาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ส่วนนายสุริยะ เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและย้ายมาเป็นรัฐมนตรีคมนาคม ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และย้ายมาเป็น รมว.แรงงาน
ส่วนในพรรคเพื่อไทย นายสมคิด ก็เป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่มีนายสุริยะ เป็นเลขาธิการพรรค
“สุริยะ เข้ามางานการเมืองอยู่กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน สมัยพรรคกิจสังคม และสมศักดิ์ ก็เป็นคนผลักดันสุริยะ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยอุตสาหกรรมครั้งแรกในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย และสุริยะ เป็นดาวฤกษ์ในวงการเมือง ในฐานะนายทุนพรรคไทยรักไทย ช่วงนั้นโดดเด่นมากได้เป็นเลขาธิการพรรคที่ส.ส.ต่างวิ่งเข้าหา”
ขณะที่นายสมคิด กับนายสมศักดิ์ มีความสนิมสนมกันมาก เพราะกลุ่มวังน้ำยมของนายสมศักดิ์ ก็เป็นมุ้งการเมืองในพรรคไทยรักไทย และหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นายสมศักดิ์ ได้ออกมาตั้งพรรคมัชฌิมาธิปไตย เคยทาบทามให้นายสมคิดมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง แต่นายสมคิด เลือกที่จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษา เช่นเดียวกับกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ ที่ได้มีการแยกตัวออกมาตั้งพรรคเช่นกัน
ดังนั้นการร่วมมือของกลุ่มสามมิตร ที่ประกอบด้วย 'สมคิด-สุริยะ-สมศักดิ์' ก็เพื่อทำภารกิจตามที่ 2 บุคคลสำคัญได้เขียนแผนแม่บทของพรรคพลังประชารัฐไว้โดยอาศัยอำนาจรัฐที่มีอยู่ดำเนินการกับพรรคการเมืองบางพรรค แต่เป้าหมายสำคัญคือพรรคเพื่อไทยต้องเล็กลงหรือสิ้นสภาพการเป็นพรรคการเมืองให้ได้
สำหรับการได้นายสุริยะเข้ามาร่วมนั้น เป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งที่จะล้วงเข้าไปในพรรคเพื่อไทยได้ง่าย และคนในพรรคพลังประชารัฐและอดีตนักการเมืองที่กำลังจะถูกดูดต่างพูดเหมือนกันว่า 'แฮบปี้ที่ได้นายสุริยะมาร่วมและเชื่อว่าจะมาทำหน้าที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐให้ไปในทิศทางที่กำหนดไว้ในแผนได้”
อย่างไรก็ดีการได้นายสุริยะมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ นั้น เสียงที่ส่งออกมาต่างพอใจเพราะเชื่อในจุดแข็งของนายสุริยะ โดยให้เห็นผลว่า
1.เป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทยมาก่อน จึงรู้มือกัน
2.เป็นคนมีพรรค มีพวก มีลูกน้องในพรรคจำนวนมาก
3.เป็นคนมีประสิทธิภาพ-ใจถึง-พึ่งได้
4.เป็นคนที่มีคอนเนกชัน และเครือข่าย ในกลุ่มผู้มีอำนาจมาก
5.ในด้านวิชาการ ต้องยอมรับว่ามีความรู้ดี
6.เป็นนายทุนพรรคได้อย่างดี
7.มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายสมคิด
8.เป็นคนเดียวที่จะช่วยแก้ปัญหากับพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หลานชาย) ที่กำลังจรัสแสงในเวลานี้
ด้านจุดอ่อนของนายสุริยะ นั้นแหล่งข่าวระบุว่า เป็นเรื่องความไม่โปร่งใสเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีในพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ในคดี CTX 9000เป็นการจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ตรวจสัมภาระ และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สูงกว่าต้นทุนถึง 2,800 ล้านบาท รวมถึงคดีสินบนโรลส์รอยซ์ ของการบินไทย เป็นต้น
แต่ทุกคดีนายสุริยะได้รับการเคลียร์เป็นที่เรียบร้อย
ดังนั้นภารกิจสำคัญของนายสุริยะ จึงเกี่ยวพันกับเรื่องของการดูดอดีต ส.ส.และนักการเมืองเป้าหมายให้เข้ามาอยู่พรรคพลังประชารัฐให้ได้มากที่สุด และคนที่จะสามารถดูดได้ง่ายก็คืออดีต ส.ส.ที่มีชนักติดหลัง พร้อมผลประโยชน์ต่างๆ ที่พวกเขาจะได้รับ
ส่วนบรรดาแกนนำของพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเรียกว่าเป็นคนของตระกูลชิน และพวกอุดมการณ์ฝั่งลึก คนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องการ ปล่อยให้อยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไป
แต่จะมีอีกหนึ่งเป้าหมาย ก็คือ 'เสี่ยเพ้ง' นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เพื่อนซี้ของนายทักษิณ ชินวัตร และเป็นกระเป๋าเงินสำคัญของพรรคเพื่อไทย หากได้คนนี้มาร่วมด้วย หรือทำให้เขายุติบทบาททางการเมืองหรือการเป็นนายทุนให้พรรคเพื่อไทยได้สำเร็จ ก็จะทำให้แผนแม่บทพรรคพลังประชารัฐบรรลุเป้าหมายได้ง่าย
“เสี่ยเพ้ง เป็นคนสำคัญที่มักจะ ADVANCE เงินในการทำงานการเมืองไปก่อน แล้วเจ้าของพรรคตัวจริงค่อยหาช่องทางจ่ายคืน ถ้าแก้ตรงนี้ได้ พรรคเพื่อไทยก็ถูกทำลายได้เช่นกัน ตอนนี้ก็ต้องดูว่าสุริยะออกจากเพื่อไทยแล้ว เสี่ยเพ้งยังมีกำลังใจหรือเปล่า”
จากนี้ไปต้องเกาะติด 'พลัง' ของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าจะสามารถเดินงานการเมืองได้ตามเป้าหมายหรือไม่? ที่สำคัญสุด นายสุริยะ อาจจะขอผันบทบาทตัวเองไปเป็นแค่คนที่อยู่เบื้องหลัง ทำงานการเมืองเหมือนนายเนวิน ชิดชอบ โดยไม่สนใจเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็เป็นได้ !