พระ-ฆราวาสเตรียมก่อม็อบพระ หลัง“พิสิฐชัย” โพสต์พลีชีพ ปลุกกระแสคนรักพระผู้ใหญ่ให้ลุกฮือ เชิญชวนคว่ำบาตรรัฐบาล-พงศ์พร ว่อนเน็ต อ้างตัวการทำลายพระพุทธศาสนา ศิษย์ธรรมกาย-ศูนย์พิทักษ์ฯ และเครือข่ายเดินเครื่องชนตามแนวทาง พระสิทธิศักดิ์ สิรินันโทภิกขุ มาสุดโต่ง อ้างนัดพระ 9 จังหวัดเหนือ-อีสาน 1,600 รูป แสดงพลังพุทธมณฑล 25 มิถุนายนนี้
จากการที่นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) โพสต์ข้อความว่าจะมีการเตรียมจับเจ้าอาวาสวัดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีตำแหน่งถึงระดับพระสมเด็จ เมื่อ 8 มิถุนายน 2561 จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามความผิด ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
การกระทำดังกล่าวไม่ต่างไปจากระเบิดพลีชีพ ที่ยอมสละตัวเองเพื่อปลุกเร้าให้กลุ่มที่ไม่พอใจกับการกระทำของรัฐบาลที่มีการจับกุมพระระดับชั้นพรหมทั้งวัดสระเกศ วัดสามพระยาและวัดสัมพันธวงศ์ฯ โดยที่อดีตพระพรหมดิลกถูกจับกุมและพระพรหมสิทธิเข้ามอบตัว ส่วนอดีตพระพรหมเมธีหลบหนีไประเทศเยอรมัน
ด้วยการที่นายพิสิฐชัยทำงานอยู่ใน DSI ถือว่าเข้าถึงข้อมูลวงในได้ในระดับที่น่าเชื่อถือได้ การเปิดประเด็นว่าจะมีการจับพระผู้ใหญ่ระดับพระสมเด็จนั้น นับว่าเป็นข้อมูลที่มีความเป็นไปได้สูง จึงอาจทำให้หลายคนหลงเชื่อในข้อมูลดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาปฏิเสธข้อมูลดังกล่าวของนายพิสิฐชัย
ที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษพระผู้ใหญ่ทั้ง 3 วัดช่วงก่อนสงกรานต์ 2561 ก็มีปฏิกิริยาของฆราวาสที่สนับสนุนพระผู้ใหญ่เหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวในนามกลุ่มต่าง ๆ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องผิดมาตรา 157
‘พิสิฐชัย’ พลีชีพปลุกกระแส
ยิ่งเมื่อมีปฏิบัติการจับกุมพระผู้ใหญ่โดยตำรวจกองปราบปรามและตำรวจสอบสวนกลางเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 บวกกับการปูดข่าวใหญ่ของนายพิสิฐชัย ยิ่งทำให้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในสายที่สนับสนุนเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคมเปิดฉากรุกมากยิ่งขึ้น
เมื่อ 1 มิถุนายน 2561 กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรชาวพุทธอื่นๆ โดย นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ ยังคงเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปรามกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฐานแจ้งความดำเนินคดีโดยมิชอบ ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่มีส่วนในการอนุมัติงบได้รับความผิด
13 มิถุนายน 2561 นายวรากร พงศ์ธนากุล ประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธมโม ประธานสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี 2,600 ปี ยื่นหนังสือร้องขอให้ทางกองปราบปรามดำเนินคดีต่อพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดีการทุจริตเงินทอนวัด ในความผิดฐานตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ปลุกม็อบพระ
“ตอนนี้เป้าหมายของกลุ่มที่สนับสนุนพระผู้ใหญ่ คือ การปลุกกระแสให้เกิดม็อบพระขึ้นมาอีกรอบ แต่คงแตกต่างจากกรณีที่เคยสนับสนุนสมเด็จช่วงฯ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี 2559 รอบนี้ต้องการกดดันรัฐบาลให้ยุติการดำเนินคดีเงินทอนวัดที่ส่อแววว่าคดีอาจจะขึ้นไปถึงพระชั้นสมเด็จ”แหล่งข่าวประเมินสถานการณ์
ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวในเชิงปรามว่า "การที่มีพระบางรูปออกมาเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลมีเดียนั้น มันสมควรหรือไม่ พระบางรูปออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องการเลือกตั้งก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย พระสงฆ์มีหน้าที่ในการบ่มเพาะ สร้างความสุขสงบและความปรองดองในสังคม สอนหลักธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา แต่การที่พระมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากๆ มันใช่กิจของสงฆ์หรือไม่ ผมขอฝากให้สังคมช่วยกันไปดูแล ไม่อาจไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม”
ธรรมกาย+ศูนย์พิทักษ์ฯ
ตอนนี้ทุกสายรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว แยกกันเดินตามแนวทางที่ถนัด แม้ว่าเรื่องเงินทอนวัดอาจไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย เนื่องจากมีเงินบริจาคล้นเหลือ แต่ก็ยังถูกพาดพิงเรื่องการให้ที่พักกับอดีตพระพรหมเมธีที่ทำเรื่องขอลี้ภัยที่เยอรมัน จนทางวัดต้องออกมาปฏิเสธ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพระชั้นผู้ใหญ่กับวัดพระธรรมกายอยู่ในระดับที่แน่นแฟ้นและเคยเป็นเกราะกำบังชั้นดีให้กับทางวัดมาก่อน
แต่ลูกศิษย์คนดังของวัดพระธรรมกายอย่างนายอัยย์ เพชรทอง ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวเมื่อ 12 มิถุนายน 2561 “ใครรู้ทันบ้าง ใครรู้ทันแผนการร้าย ของพวกล้มล้างพระพุทธศาสนาในไทยบ้าง อย่าให้เขาดูถูก ช่วยส่งเสียงหน่อยครับ ช่วยกันคัดค้านและเปิดโปง ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคน จะต้องออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองเพื่อลูกหลานสืบต่อไป”
และยังโพสต์ข้อความในวันที่ 14 มิถุนายน 2561 อีกครั้ง “สุดท้ายก็บุกธรรมกาย!แผนการร้ายทำลายพุทธ!!! เริ่มต้นจากล้อมวัดพระธรรมกายปี '60.สุดท้าย??? กำลังจะบุกวัดพระธรรมกายอีกรอบ...เร็วๆนี้??? ถ้าธรรมกายไม่รอด! วัดอื่นๆไม่เหลือแน่นอน!”
ส่วนหัวหอกอย่าง พระธรรมกิตติเมธี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์เมื่อ 25 พฤษภาคม 2561 หลังจากเกิดเหตุ จับสึกพระกรณีเจอหมายจับร่วมกันฟอกเงิน ประเมินว่าศาสนาของเราจะอยู่ได้ไหมวันนี้ นับแต่วันนี้ไปจะอยู่ร่วมกับราชการไทยได้ไหม ก็คิดไปอย่างนั้น ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็หมายความว่า ศาสนาต้องพ้นไปจากแผ่นดินนี้
เชิญชวนคว่ำบาตรรัฐบาล
ขณะที่หน่วยงานคู่ขนานกับศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ อย่างองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(อพช.) ได้แชร์โพสต์ของกลุ่มปกป้องพระพุทธศาสนานครศรีธรรมราชเมื่อ 9 มิถุนายน 2561 เป็นภาพข้อความเชิญชวน
ประกาศ อริยะขัดขืน ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น คณะสงฆ์ ประกาศคว่ำบาตร
1.รัฐบาล เนื่องจากไม่ให้การคุ้มครองพระและพระพุทธศาสนา ปล่อยให้ตำรวจจับพระขังคุก โดยยังไม่มีการไต่สวนใด ๆ
2.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (โดยไม่ยอมรับมติ คำสั่ง และจักไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ายังไม่ยุติการกระทำดังกล่าว)
จากผู้ก่อการดี ไม่อยากเห็นพระพุทธศาสนาถูกย่ำยีและพระดี ๆ ถูกรังแกอีกต่อไป
ประกาศเคลื่อน(พล)พระ 25 มิถุนายน
ที่หนักกว่านั้นคือโพสต์ของพระอาจารย์สิทธิศักดิ์ สิรินันโทภิกขุ ที่ปรึกษาด้านศาสนา สมาคมความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระรูปนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เครือข่ายชาวพุทธเพื่อคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนา แถมยังหนุนกิจกรรมเดินธุดงค์ของวัดพระธรรมกาย ได้โพสต์ข้อความเมื่อ 13 มิถุนายน 2561 ว่า
ตายเป็นตายพระเณรเหนืออีสาน ระดมพล 9 จังหวัด บุกกรุงเทพ เข้าพุทธมณฑลนครปฐม แสดงพลังปกป้องพระพุทธศาสนา รักษาสถาบันเพื่อชาติศาสตร์กษัตริย์ และมีข่าวว่าให้ทุกอย่างจบก่อนเข้าพรรษานี้
รัฐกับนักการเมือง ใครคือภัยของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เมื่อการเมืองก้าวก่ายข้ามเขต ย่ำยีพระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งกว่ารัฐบาลชุดไหน ทำใจได้หรือถ้าพระศาสนาจะล่มจมในสมัยที่เรายังมีชีวิตโดยไม่คิดปกป้องพระศาสนา
รัฐ สำนักพุทธ นักการเมือง ย่ำยีพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติด้วยกลไกทางกฎหมายและใช้สื่อประโคมบิดเบือนประเด็นข่าวโยนเผือกให้วัด จับพระยัดคุก ปล่อยผู้ร้ายตัวจริงลอยนวล คือผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ในอดีต และผู้ที่สร้างความแตกแยกยุยงปลุกปั่นสังคมไทยให้มองว่าพระพุทธศาสนาเต็มไปด้วยความสกปรก ละโมบโลภมาก ยึดติดวัตถุเงินทองและลาภยศ คือ ผอ.สำนักพุทธฯ คนปัจจุบัน มี คสช.และผู้บริหารประเทศให้ท้าย สนับสนุนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ใช่หรือไม่
11 มิถุนายน 2561 พระสงฆ์ สามเณร ภาคอีสาน เหนือ มีคำสั่งระดมพล 9 จังหวัด พร้อมเดินทางไปแสดงพลังที่พุทธมณฑลนครปฐม จำนวนกว่า 1,600 รูป
ล่าสุดสายข่าวรายงานว่าจะเริ่มเดินทางในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 นี้ รถทัวร์ออกพร้อมกัน 9 จังหวัดในอีสานเหนือ พร้อมออกเวลา 20.00 น. สายข่าวยังรายงานอีกว่าจะส่งหนังสือถึงทุกจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์กล้าออกมาแสดงพลังแบบอีสานเหนือ
พิทักษ์พระผู้ใหญ่-คว่ำรัฐบาล
สูตรสำเร็จของลูกศิษย์และพระสายที่สนับสนุนเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคมที่ใช้ต่อกรกับกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์นั้น มีทั้งการปลุกเรื่องศาสนาอื่นว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนมากกว่าพุทธศาสนา หรือกล่าวอ้างฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และกล่าวหาว่าบุคคลดังกล่าวต้องการที่จะล้มล้างหรือจงใจทำลายศาสนาพุทธ โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นตัวปลุกเร้าและดำเนินการเชื่อมโยงกัน ชาวพุทธที่ไม่ได้ติดตามข้อมูลมากนัก ย่อมคล้อยตามได้ง่าย
จะเห็นได้ว่าการโหมปลุกกระแสดังกล่าว เกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่กระทบไปยังพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเท่านั้น อย่างกรณีพระครู ชนแดน ที่ถูกดำเนินคดีและถูกจับสึกคดีเงินทอนวัดล็อต 2 ไม่ถูกนำมาปลุกกระแสหรือกรณีอื่นที่เป็นพระผู้น้อย
ทีมงานเหล่านี้ใช้ความพยายามที่จะบิดข้อมูลอย่างเช่น การที่สำนักพุทธฯ ขอข้อมูลวัดที่พระไม่จับเงินเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 ก็ถูกนำมาขยายผลว่า ต่อไปจะนำหลักเกณฑ์เหล่านี้บังคับใช้กับพระทั้งประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปได้ยากกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
นักการเมืองของเพื่อไทยอย่างสุชาติ ธาดาธำรงเวช ก็เปิดหน้าออกมาหนุนพระพรหมทั้ง 3 รูป เครือข่ายองค์กรพุทธทั้งในส่วนของพระและฆราวาส ก็ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ที่ดาหน้ากันออกมาใช้เหตุการณ์นี้ถล่ม โดยเป้าหมายหลักคือรัฐบาล เพราะถูกมองว่าเป็นผู้หนุนการทำงานของพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน และยังกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป
จากการที่นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) โพสต์ข้อความว่าจะมีการเตรียมจับเจ้าอาวาสวัดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีตำแหน่งถึงระดับพระสมเด็จ เมื่อ 8 มิถุนายน 2561 จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามความผิด ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์
การกระทำดังกล่าวไม่ต่างไปจากระเบิดพลีชีพ ที่ยอมสละตัวเองเพื่อปลุกเร้าให้กลุ่มที่ไม่พอใจกับการกระทำของรัฐบาลที่มีการจับกุมพระระดับชั้นพรหมทั้งวัดสระเกศ วัดสามพระยาและวัดสัมพันธวงศ์ฯ โดยที่อดีตพระพรหมดิลกถูกจับกุมและพระพรหมสิทธิเข้ามอบตัว ส่วนอดีตพระพรหมเมธีหลบหนีไประเทศเยอรมัน
ด้วยการที่นายพิสิฐชัยทำงานอยู่ใน DSI ถือว่าเข้าถึงข้อมูลวงในได้ในระดับที่น่าเชื่อถือได้ การเปิดประเด็นว่าจะมีการจับพระผู้ใหญ่ระดับพระสมเด็จนั้น นับว่าเป็นข้อมูลที่มีความเป็นไปได้สูง จึงอาจทำให้หลายคนหลงเชื่อในข้อมูลดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาปฏิเสธข้อมูลดังกล่าวของนายพิสิฐชัย
ที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษพระผู้ใหญ่ทั้ง 3 วัดช่วงก่อนสงกรานต์ 2561 ก็มีปฏิกิริยาของฆราวาสที่สนับสนุนพระผู้ใหญ่เหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวในนามกลุ่มต่าง ๆ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องผิดมาตรา 157
‘พิสิฐชัย’ พลีชีพปลุกกระแส
ยิ่งเมื่อมีปฏิบัติการจับกุมพระผู้ใหญ่โดยตำรวจกองปราบปรามและตำรวจสอบสวนกลางเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 บวกกับการปูดข่าวใหญ่ของนายพิสิฐชัย ยิ่งทำให้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวในสายที่สนับสนุนเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคมเปิดฉากรุกมากยิ่งขึ้น
เมื่อ 1 มิถุนายน 2561 กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรชาวพุทธอื่นๆ โดย นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ ยังคงเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปรามกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฐานแจ้งความดำเนินคดีโดยมิชอบ ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่มีส่วนในการอนุมัติงบได้รับความผิด
13 มิถุนายน 2561 นายวรากร พงศ์ธนากุล ประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา พร้อมด้วยพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธมโม ประธานสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี 2,600 ปี ยื่นหนังสือร้องขอให้ทางกองปราบปรามดำเนินคดีต่อพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดีการทุจริตเงินทอนวัด ในความผิดฐานตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ปลุกม็อบพระ
“ตอนนี้เป้าหมายของกลุ่มที่สนับสนุนพระผู้ใหญ่ คือ การปลุกกระแสให้เกิดม็อบพระขึ้นมาอีกรอบ แต่คงแตกต่างจากกรณีที่เคยสนับสนุนสมเด็จช่วงฯ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี 2559 รอบนี้ต้องการกดดันรัฐบาลให้ยุติการดำเนินคดีเงินทอนวัดที่ส่อแววว่าคดีอาจจะขึ้นไปถึงพระชั้นสมเด็จ”แหล่งข่าวประเมินสถานการณ์
ขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวในเชิงปรามว่า "การที่มีพระบางรูปออกมาเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลมีเดียนั้น มันสมควรหรือไม่ พระบางรูปออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องการเลือกตั้งก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย พระสงฆ์มีหน้าที่ในการบ่มเพาะ สร้างความสุขสงบและความปรองดองในสังคม สอนหลักธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา แต่การที่พระมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากๆ มันใช่กิจของสงฆ์หรือไม่ ผมขอฝากให้สังคมช่วยกันไปดูแล ไม่อาจไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้ แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม”
ธรรมกาย+ศูนย์พิทักษ์ฯ
ตอนนี้ทุกสายรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว แยกกันเดินตามแนวทางที่ถนัด แม้ว่าเรื่องเงินทอนวัดอาจไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย เนื่องจากมีเงินบริจาคล้นเหลือ แต่ก็ยังถูกพาดพิงเรื่องการให้ที่พักกับอดีตพระพรหมเมธีที่ทำเรื่องขอลี้ภัยที่เยอรมัน จนทางวัดต้องออกมาปฏิเสธ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพระชั้นผู้ใหญ่กับวัดพระธรรมกายอยู่ในระดับที่แน่นแฟ้นและเคยเป็นเกราะกำบังชั้นดีให้กับทางวัดมาก่อน
แต่ลูกศิษย์คนดังของวัดพระธรรมกายอย่างนายอัยย์ เพชรทอง ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวเมื่อ 12 มิถุนายน 2561 “ใครรู้ทันบ้าง ใครรู้ทันแผนการร้าย ของพวกล้มล้างพระพุทธศาสนาในไทยบ้าง อย่าให้เขาดูถูก ช่วยส่งเสียงหน่อยครับ ช่วยกันคัดค้านและเปิดโปง ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคน จะต้องออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองเพื่อลูกหลานสืบต่อไป”
และยังโพสต์ข้อความในวันที่ 14 มิถุนายน 2561 อีกครั้ง “สุดท้ายก็บุกธรรมกาย!แผนการร้ายทำลายพุทธ!!! เริ่มต้นจากล้อมวัดพระธรรมกายปี '60.สุดท้าย??? กำลังจะบุกวัดพระธรรมกายอีกรอบ...เร็วๆนี้??? ถ้าธรรมกายไม่รอด! วัดอื่นๆไม่เหลือแน่นอน!”
ส่วนหัวหอกอย่าง พระธรรมกิตติเมธี ประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์เมื่อ 25 พฤษภาคม 2561 หลังจากเกิดเหตุ จับสึกพระกรณีเจอหมายจับร่วมกันฟอกเงิน ประเมินว่าศาสนาของเราจะอยู่ได้ไหมวันนี้ นับแต่วันนี้ไปจะอยู่ร่วมกับราชการไทยได้ไหม ก็คิดไปอย่างนั้น ถ้าอยู่ไม่ได้ ก็หมายความว่า ศาสนาต้องพ้นไปจากแผ่นดินนี้
เชิญชวนคว่ำบาตรรัฐบาล
ขณะที่หน่วยงานคู่ขนานกับศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ อย่างองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(อพช.) ได้แชร์โพสต์ของกลุ่มปกป้องพระพุทธศาสนานครศรีธรรมราชเมื่อ 9 มิถุนายน 2561 เป็นภาพข้อความเชิญชวน
ประกาศ อริยะขัดขืน ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น คณะสงฆ์ ประกาศคว่ำบาตร
1.รัฐบาล เนื่องจากไม่ให้การคุ้มครองพระและพระพุทธศาสนา ปล่อยให้ตำรวจจับพระขังคุก โดยยังไม่มีการไต่สวนใด ๆ
2.ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา (โดยไม่ยอมรับมติ คำสั่ง และจักไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ายังไม่ยุติการกระทำดังกล่าว)
จากผู้ก่อการดี ไม่อยากเห็นพระพุทธศาสนาถูกย่ำยีและพระดี ๆ ถูกรังแกอีกต่อไป
ประกาศเคลื่อน(พล)พระ 25 มิถุนายน
ที่หนักกว่านั้นคือโพสต์ของพระอาจารย์สิทธิศักดิ์ สิรินันโทภิกขุ ที่ปรึกษาด้านศาสนา สมาคมความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย พระรูปนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เครือข่ายชาวพุทธเพื่อคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนา แถมยังหนุนกิจกรรมเดินธุดงค์ของวัดพระธรรมกาย ได้โพสต์ข้อความเมื่อ 13 มิถุนายน 2561 ว่า
ตายเป็นตายพระเณรเหนืออีสาน ระดมพล 9 จังหวัด บุกกรุงเทพ เข้าพุทธมณฑลนครปฐม แสดงพลังปกป้องพระพุทธศาสนา รักษาสถาบันเพื่อชาติศาสตร์กษัตริย์ และมีข่าวว่าให้ทุกอย่างจบก่อนเข้าพรรษานี้
รัฐกับนักการเมือง ใครคือภัยของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เมื่อการเมืองก้าวก่ายข้ามเขต ย่ำยีพระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งกว่ารัฐบาลชุดไหน ทำใจได้หรือถ้าพระศาสนาจะล่มจมในสมัยที่เรายังมีชีวิตโดยไม่คิดปกป้องพระศาสนา
รัฐ สำนักพุทธ นักการเมือง ย่ำยีพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติด้วยกลไกทางกฎหมายและใช้สื่อประโคมบิดเบือนประเด็นข่าวโยนเผือกให้วัด จับพระยัดคุก ปล่อยผู้ร้ายตัวจริงลอยนวล คือผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ในอดีต และผู้ที่สร้างความแตกแยกยุยงปลุกปั่นสังคมไทยให้มองว่าพระพุทธศาสนาเต็มไปด้วยความสกปรก ละโมบโลภมาก ยึดติดวัตถุเงินทองและลาภยศ คือ ผอ.สำนักพุทธฯ คนปัจจุบัน มี คสช.และผู้บริหารประเทศให้ท้าย สนับสนุนการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ใช่หรือไม่
11 มิถุนายน 2561 พระสงฆ์ สามเณร ภาคอีสาน เหนือ มีคำสั่งระดมพล 9 จังหวัด พร้อมเดินทางไปแสดงพลังที่พุทธมณฑลนครปฐม จำนวนกว่า 1,600 รูป
ล่าสุดสายข่าวรายงานว่าจะเริ่มเดินทางในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 นี้ รถทัวร์ออกพร้อมกัน 9 จังหวัดในอีสานเหนือ พร้อมออกเวลา 20.00 น. สายข่าวยังรายงานอีกว่าจะส่งหนังสือถึงทุกจังหวัดเพื่อให้พระสงฆ์กล้าออกมาแสดงพลังแบบอีสานเหนือ
พิทักษ์พระผู้ใหญ่-คว่ำรัฐบาล
สูตรสำเร็จของลูกศิษย์และพระสายที่สนับสนุนเสียงข้างมากในมหาเถรสมาคมที่ใช้ต่อกรกับกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์นั้น มีทั้งการปลุกเรื่องศาสนาอื่นว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนมากกว่าพุทธศาสนา หรือกล่าวอ้างฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และกล่าวหาว่าบุคคลดังกล่าวต้องการที่จะล้มล้างหรือจงใจทำลายศาสนาพุทธ โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นตัวปลุกเร้าและดำเนินการเชื่อมโยงกัน ชาวพุทธที่ไม่ได้ติดตามข้อมูลมากนัก ย่อมคล้อยตามได้ง่าย
จะเห็นได้ว่าการโหมปลุกกระแสดังกล่าว เกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่กระทบไปยังพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมเท่านั้น อย่างกรณีพระครู ชนแดน ที่ถูกดำเนินคดีและถูกจับสึกคดีเงินทอนวัดล็อต 2 ไม่ถูกนำมาปลุกกระแสหรือกรณีอื่นที่เป็นพระผู้น้อย
ทีมงานเหล่านี้ใช้ความพยายามที่จะบิดข้อมูลอย่างเช่น การที่สำนักพุทธฯ ขอข้อมูลวัดที่พระไม่จับเงินเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 ก็ถูกนำมาขยายผลว่า ต่อไปจะนำหลักเกณฑ์เหล่านี้บังคับใช้กับพระทั้งประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นเป็นไปได้ยากกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
นักการเมืองของเพื่อไทยอย่างสุชาติ ธาดาธำรงเวช ก็เปิดหน้าออกมาหนุนพระพรหมทั้ง 3 รูป เครือข่ายองค์กรพุทธทั้งในส่วนของพระและฆราวาส ก็ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ที่ดาหน้ากันออกมาใช้เหตุการณ์นี้ถล่ม โดยเป้าหมายหลักคือรัฐบาล เพราะถูกมองว่าเป็นผู้หนุนการทำงานของพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน และยังกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป