xs
xsm
sm
md
lg

“PTTGC” ยื่นอุทธรณ์ยันน้ำมันรั่วสุดวิสัย เมินชดใช้ชาวบ้านตามศาลสั่ง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คดีบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ทำน้ำมันดิบรั่วที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง สร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาศาล แม้วันนี้ศาลแพ่งพิพากษาว่า PTTGC ประมาทเลินเล่อ สั่งชดเชยให้ชาวบ้านกลับพบว่า PTTGC ไม่ดำเนินการ แต่ยื่นอุทธรณ์คดี เพราะมั่นใจเป็นเหตุสุดวิสัย พร้อมเดินหน้าฟ้องบริษัทกู๊ดเยียร์เจ้าของท่อไม่ได้มาตรฐาน ด้านทนายความโจทก์ยื่นอุทธรณ์ เร่งขุดคุ้ยข้อมูลหลักฐานสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวบ้านต่อไป

ย้อนไปดูเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อช่วง 27 กรกฎาคม 2556 ที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน ได้ทำให้เกิดน้ำมันดิบกว่า 50 ตัน หรือประมาณ 54,341 ลิตร รั่วไหลในทะเลและคราบน้ำมันดิบกระจายไปครอบคลุมพื้นที่หาดพร้าว เกาะเสม็ด อุทยานเขาแหลมหญ้า ส่งผลให้สัตว์น้ำตาย ปะการังเสียหาย มีสารปรอท แคดเมียม และสารอื่น ๆ ปนเปื้อนในทะเล กระทบต่อวิถีชุมชน ทั้งในเรื่องการท่องเที่ยว การค้าขาย รายได้ที่ส่วนใหญ่มาจากการทำประมงชายฝั่ง และสุขภาพของชุมชน

ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงนำไปสู่การฟ้องร้องของชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบกับ บริษัท พีทีที โกลบอลฯ และในที่สุด ศาลแพ่ง(แผนกคดีสิ่งแวดล้อม) มีคำสั่งพิพากษาให้บริษัท พีทีที โกลบอลฯ มีความผิดประมาทเลินเล่อ มิใช่เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องเพราะไม่ได้ดำเนินการตามคำแนะนำตรวจสอบบำรุงรักษาท่อขนถ่ายน้ำมันตามมาตรฐานสากล หรือโอซีไอเอ็มเอฟ (OCIMP) ที่ให้ตรวจทุก 6 เดือน เพื่อให้อยู่ในสถานะปลอดภัยในการใช้งาน แต่กลับพบว่าไม่ได้มีการตรวจนานกว่า 1 ปี 3 เดือน จนแกนโลหะที่พันเส้นใยชั้นในสุดของท่อขาดความยืดหยุ่น และไม่สามารถทนต่อแรงกดได้ จึงเกิดคมโลหะไปบาดท่อจนรั่ว จนทำให้น้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุอันตรายรั่วไหลออกสู่ทะเล

พร้อมทั้งพิพากษาให้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายแพ่งฐานละเมิดมาตรา 420,437 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมรักษาสิ่งแวดล้อม มาตรา 96 รวม 222 คน เป็นจำนวนรายละระหว่าง 30,000-50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันละเมิด และให้ทำการแก้ไขฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสัตว์น้ำทะเลในบริเวณที่เกิดเหตุ รวมเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ด้วยการจัดทำ 4 โครงการตามที่คณะผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งทำแผนฟื้นฟูในรูปแบบคณะทำงานร่วม กำหนดค่าดำเนินการเป็นเงิน 5,262,150 บาท รวมทั้งให้ตั้งคณะทำงานการตรวจสอบฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน ระบบนิเวศบริเวณที่เกิดเหตุ 1 ชุด เป็นเวลา 2 ปี โดยจะต้องรายงานศาลและกรมควบคุมมลพิษทุก 6 เดือน อีกทั้งจำเลยคือบริษัท พีทีที โกลบอลฯ (จำเลยที่ 1) และนายบวร วงศ์สินอุดม จำเลยที่ 2 ต้องออกค่าใช้จ่ายค่าทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์

อย่างไรก็ดีหลังศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อสิงหาคม 2559 จนถึงวันนี้กลับพบว่าทางบริษัท พีทีที โกลบอลฯ ไม่ได้มีการติดต่อที่จะชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย ตามรายชื่อที่ปรากฏในเอกสารคำพิพากษาจำนวน 222 คน   แต่ได้ดำเนินการในเรื่องการจัดทำ 4 โครงการตามที่คณะผู้เชี่ยวชาญและชาวบ้านในพื้นที่เห็นชอบด้วยกันเท่านั้น ประกอบด้วย

1. โครงการธนาคารปู บริเวณอ่าวบ้านเพ กลุ่มดำหอย ด้วยงบประมาณ 1,213,920 บาท

2. โครงการแปลงหอย บริเวณอ่าวบ้านเพ กลุ่มดำหอย งบประมาณ 662,630 บาท

3. โครงการซั้งกอ กลุ่มประมงคอกแหลมเทียน งบประมาณ 2,744,720 บาท

4. โครงการป่าชายเลน งบประมาณ 640,880 บาท

ส่วนเหตุผลสำคัญที่บริษัทพีทีที โกลบอลฯ ยังไม่ได้ดำเนินการชดเชยให้กับชาวบ้านนั้น เป็นเพราะบริษัทเชื่อว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อซึ่งคดีนี้ความจริงแล้วทางตำรวจก็ได้สรุปสำนวนไว้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย  แต่เป็นเพราะ นายณัฐพล ทองคำ ทนายความโจทก์คนหนึ่งในคดีนี้ เป็นผู้ค้นพบหลักฐานว่าPTTGC ไม่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานสากลหรือโอซีไอเอ็มเอฟ( OCIMP) ที่ให้ตรวจทุก 6เดือน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญให้ศาลตัดสินกรณีน้ำมันรั่วเกิดจากความเลินเล่อ

ด้านนายขวัญชัย  โชติพันธ์ ประธานอนุกรรมการฝ่ายฝึกอบรมและวิชาการ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ในฐานะทนายความโจทย์ในคดีนี้เช่นกัน บอกว่า    จำเลยทั้ง 2 คือบริษัท พีทีทีโกลบอลฯ (จำเลยที่ 1)  และนายบวร วงศ์สินอุดม จำเลยที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1ไปเรียบร้อยแล้วโดยมีสาระสำคัญคือ

ประการที่ 1 จำเลยทั้ง 2 มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อแต่ประการใด และเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย ขณะที่ข้อเท็จจริงที่ได้มีการพิจารณาในศาลชั้นต้นตามหลักฐานแล้ว พบว่าบริษัท PTTGC ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบท่อขนถ่ายน้ำมันตามมาตรฐานสากลในทุก 6 เดือน แต่กลับปล่อยให้ล่วงเลยมาถึง 1 ปี 3 เดือน ทั้งที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ มิใช่เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น

ประการที่ 2 บริษัท PTTGC เห็นว่าเป็นความผิดพลาดของท่อน้ำมัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานคือ ท่อขนส่งน้ำมันของทางบริษัทกู๊ดเยียร์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันบริษัท PTTGC ได้ดำเนินการยื่นฟ้องบริษัทกู๊ดเยียร์แล้ว ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา

ประการที่ 3 บริษัท PTTGC เชื่อว่าปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมาไม่มาก มีเพียงประมาณ 50,000 ลิตร และได้ใช้ปริมาณสารกำจัดคราบน้ำมันตามข้อกำหนดของทางราชการไปแล้ว

ประการที่ 4 จำเลยทั้ง 2 อ้างว่า ได้เยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ทนายขวัญชัย บอกว่าในข้อเท็จจริง จำเลยเคยเยียวยาเป็นเงินสด ผ่านทางหน่วยงานของรัฐและท้องถิ่นของจังหวัดระยองและเทศบาลตำบลเพ โดยอ้างว่า โจทก์ทั้งหมดได้รับเงินไปแล้ว คนละประมาณ 30,000 บาท เป็นการชดเชยรายได้ของประชาชนแค่ 1 เดือน แต่ที่โจทก์นำมาฟ้องและเรียกร้องค่าเสียหายครั้งนี้ โจทก์ประสงค์ให้จำเลยชำระเยียวยารายได้เฉลี่ยต่อปี และขอค่าเสียหาย 1 ปีเท่านั้น

ประการที่ 5 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ เนื่องจากขณะเกิดเหตุอยู่ต่างประเทศ
(จากซ้าย)นายขวัญชัย  โชติพันธ์ , นายณัฐพล ทองคำ
ขณะเดียวกันในฝ่ายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบก็ได้มอบหมายให้ นายขวัญชัย โชติพันธ์ ทนายความโจทก์ ดำเนินการยื่นอุทธรณ์ในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะจากข้อมูลหลักฐานทางวิชาการที่ PTTGC อ้างว่าน้ำมันที่รั่วไหลมีเพียง 50,000 ลิตรเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ใช้สารเคมีชื่อ “สลิคกอน เอ็นเอส” ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้กำหนดการใช้สารดังกล่าวในอัตรา 1 ส่วนต่อน้ำมัน 10 ส่วน เมื่อน้ำมันรั่ว 50,000 ลิตร จึงควรใช้สารเคมี 5,000 ลิตร แต่จำเลยกลับใช้สารเคมีดังกล่าวมากถึง 30,612 ลิตร เกินกว่าที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้

นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังใช้สารเคมีชื่อ “Super Dispersent” อีกจำนวน 6,930 ลิตร เพื่อขจัดคราบน้ำมันในทะเลบริเวณเกาะเสม็ดนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีการรั่วไหลของน้ำมันดิบถึงจำนวน 375,420 ลิตร หรือคิดเป็น 37.542 ตัน ซึ่งมีจำนวนมหาศาล จึงเป็นการปกปิดข้อความจริงต่อสาธารณชน อีกทั้งหลังเกิดเหตุทาง PTTGC ไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ฉุกเฉินได้เพราะขาดอุปกรณ์และกำลังพลที่พร้อม

จำเลยที่ 1 ได้ฝ่าฝืนกฎระเบียบของกฎหมายในการใช้สารเคมีกำจัดคราบน้ำมันดิบในทะเล โดยใช้สารเคมีในปริมาณมากที่ระยะความลึกไม่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัย โดยไม่คำนึงถึงว่าพื้นที่รอบเกาะเสม็ด ซึ่งเป็นเขตอ่อนไหวทางธรรมชาติ จะมีผลต่อปะการัง สัตว์ทะเลอื่น ๆ และระบบนิเวศใต้ทะเลอย่างรุนแรง ทั้งในระยะสั้น และยาว การใช้สารเคมีเกินขนาดไม่อาจสลายไปได้หมด  และตกค้างอยู่ในระบบนิเวศ

ที่สำคัญแม้จะมีการแก้ไขและฟื้นฟูไปแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสัตว์ในทะเลไม่ว่าจะเป็นหอย ปู ปลา ต่าง ๆ ที่นับวันจะหายากและไกลออกไปอันเป็นผลมาจากระบบนิเวศ มีผลกระทบต่อรายได้และสุขภาพของประชาชน เพราะนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปบางกลุ่มเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะบริโภคอาหารทะเลที่มาจากบริเวณนี้ เพราะกลัวว่าสารเคมีที่ตกค้างอยู่นั้นจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามมาได้

ดังนั้นทางชุมชนที่ได้รับผลกระทบ จึงต้องดำเนินการต่อสู้ในขั้นศาลอุทธรณ์เช่นกัน ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายทนายโจทก์ก็ได้ประสานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเก็บข้อมูลสภาพใต้ทะเลว่ายังมีสารเคมีตกค้างอย่างไร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเป็นอยู่ รายได้ต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีและประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรมที่สุด!



กำลังโหลดความคิดเห็น