คดีเงินทอนวัดบวกเจ้าอาวาสวัดสวนดอก สยบอิทธิฤทธิ์วัดพิชยญาติฯและวัดปากน้ำขาใหญ่ที่คอยเคียงข้างวัดพระธรรมกาย คราวนี้แม้พระในสังกัดถูกดำเนินคดี แต่ยังแก้เกม “ตัดตอน” คดีเสกพระต้องคดีล่องหน ปิดเส้นทางสาวถึงตัวพระชั้นผู้ใหญ่ ผลกระทบในครั้งนี้ไม่ต่างกับการสลายเกราะป้องกันตัวของพระธัมมชโย และถึงเวลาสังคายนาวงการสงฆ์
เมื่อปฏิบัติการควานหาตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกดำเนินคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไม่ว่าจะใช้มาตรการแรงสุดอย่างมาตรา 44 ปิดล้อมตรวจค้นภายในวัดแล้วก็ยังไม่สามารถนำตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีได้ ขณะที่คดีในทางสงฆ์แม้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะส่งเรื่องให้ดำเนินการสึกพระธัมมชโย ผ่านเจ้าคณะใหญ่หนกลางแต่เรื่องก็นิ่งเงียบไปในชั้นเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
เป็นที่ทราบกันดีว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้สร้างฐานในการป้องกันตัวเองไว้เป็นอย่างดีในวงการสงฆ์ นั่นคือการกุมอำนาจใหญ่ไว้ที่มหาเถรสมาคม คดียักยอกทรัพย์ในปี 2541 ก็รอดมาได้ด้วยทั้งทางสงฆ์และทางโลก มหาเถรสมาคมมีมติพระธัมมชโยไม่อาบัติปาราชิก และในยุคนั้นมีพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลและทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอัยการสูงสุดถอนฟ้อง
นั่นคือเกราะกำบังที่พระธัมมชโยเข้าถึงขั้วอำนาจใหญ่ทั้งทางสงฆ์และทางการเมือง ที่ทำให้เหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ผ่านพ้นมาได้ตลอด
สำแดงเดชข่มรัฐ
แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะได้เห็นถึงการออกโรงเคลื่อนไหวของพระที่เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักไป
ส่วนคดีใหม่ของพระธัมมชโยแม้คดียังไม่ยุติ ในทางโลกเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่สามารถหาตัวพระธัมมชโยเจอ แต่คดีทางสงฆ์ในเรื่องการสึกเงียบหายไปในลำดับชั้นของเจ้าคณะจังหวัด
ครั้นมาถึงคดีทุจริตเงินทอนวัด นับว่าเป็นเรื่องที่พระผู้ใหญ่กังวลมากที่สุด เพราะวัดใหญ่ ๆ ระดับประเทศต่างอยู่ในข่ายที่อาจต้องถูกดำเนินคดี ดังนั้นจึงเห็นพระระดับสังฆาธิการและพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมต่างออกมากดดันรัฐบาลจนต้องเปลี่ยนตัวพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจนสำเร็จ
วัดพิชยญาติฯ-ปากน้ำ “สะเทือน”
แต่กลับไม่คาดคิดว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเรียกพงศ์พรกลับมานั่งเก้าอี้เดิมอีกครั้ง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน พร้อมทั้งให้พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เข้ามาดูแลแทนออมสิน ชีวะพฤกษ์ และวิษณุ เครืองาม
ขณะที่คดีเงินทอนวัดยังมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง กระทั่งกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปป.) ออกหนังสือเชิญพระสงฆ์ 4 รูปมารับทราบข้อกล่าวหากรณีทุจริตงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด(เงินทอนวัด) ประกอบไปด้วย
พระราชรัตนมุนี (บุญเทียม มุสุ หรือบุญเทียม ญานินโท) เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะหนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามฯ
พระเทพเสนาบดี (ประเทือง อาภาธโร) เจ้าอาวาสวัดกวิศวราราม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี รองประธานกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านศีลห้า
พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ (อุดม สุระกาพย์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามฯ
พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค อำเภอชนแดน และเจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์
พระราชรัตนมุนีหรือเจ้าคุณบุญเทียม เป็นเลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์(สมศักดิ์) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ที่เคยช่วยให้พระธัมมชโยรอดมาแล้วในอดีตและคดีปัจจุบันเรื่องส่งต่อไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีที่อยู่ในการกำกับดูแลของท่านเรื่องก็เงียบ งานนี้เท่ากับเป็นการกดดันการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จสมศักดิ์โดยตรง
อีกรายพระเทพเสนาบดีหรือเจ้าคุณประเทือง เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นรองประธานขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านศีลห้า ของสมเด็จช่วงฯ ถือเป็นสายตรงของวัดปากน้ำ และยังโยงไปถึงเรื่องงบโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีกด้วย
เรียกได้ว่าเฉพาะกรณีนี้สะเทือนไปทั้งวัดพิชยญาติฯและวัดปากน้ำ ที่เคยเป็นผู้ปกป้องและให้ความช่วยเหลือวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด
ดาบ 2 ปากน้ำ-ธรรมกาย
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะที่จังหวัดเชียงใหม่กลับเกิดเหตุร้องเรียนกรณีพระราชรัชมุนี(นิมิต สิขรสุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนดอก เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ สวมบัตรประชาชนไทยของคนตาย โดยที่เจ้าอาวาสเองเป็นชาวไทยใหญ่ในประเทศพม่า ร้อนไปถึงพระเทพมังคลาจารย์(สมาน กิตติโสภโณ) รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดท่าตอน รักษาการเจ้าอาวาสวัดเชตุวันและวัดพระเจ้าเม็งราย ในฐานะพระอุปัชฌาย์ ที่ปล่อยผ่านให้คนต่างด้าวเข้ามาบวชจนได้รับตำแหน่งใหญ่โตในวงการพระสงฆ์
ทั้งนี้เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เจ้าอาวาสวัดท่าตอน ได้ประชาชนผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่ง รวมตัวเข้ายื่นหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องให้สั่งการยกเลิกการบังคับใช้ ม.44 ในการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย
โดยก่อนหน้านี้ทางสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า วันที่ 7 กรกฎาคม 2559 เวลา 10.30 น.พระเทพมังคลาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดท่าตอน และพระจากจังหวัดน่านพร้อมด้วยพระสังฆาธิการ จำนวนกว่า 300 รูป เดินทางมาถวายกำลังใจหลวงพ่อธัมมชโย ณ วัดพระธรรมกาย จึงขอเรียนพี่น้องสื่อมวลชนร่วมทำข่าวตามวันและเวลาดังกล่าว เป็นอันว่าทั้งวัดท่าตอนและวัดสวนดอก พระอาจารย์สมานและศิษย์นิมิตอยู่ในสายวัดพระธรรมกาย
คดีของเจ้าอาวาสวัดสวนดอกถือว่าเป็นคดีใหญ่ เพราะเป็นเรื่องการปลอมแปลงเอกสารสำคัญทางราชการ และกระทบไปยังพระในชั้นปกครอง ลำดับแรกคือพระเทพมังคลาจารย์(สมาน) ในฐานะพระอุปัชฌาย์ และยังกระทบชิ่งไปถึงวัดปากน้ำที่เคยลงมาเคลียร์พื้นที่ให้พระราชรัชมุนี(นิมิต) เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอกและเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าคณะภาค 7 ไปจนถึงพระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ที่เข้ามารับตำแหน่งนี้แทนสมเด็จช่วงฯ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่ลาออกไปเมื่อ 20 มีนาคม 2558
สลายเกราะกำบังธรรมกาย
เมื่อผูกทั้งเรื่องเงินทอนวัดที่พระในสายของวัดพิชยญาติฯ ถูกแจ้งข้อหา รวมไปถึงพระในสายของสมเด็จช่วงฯ บวกเข้ากับกรณีของเจ้าอาวาสวัดสวนดอก เท่ากับว่าพระชั้นผู้ใหญ่ของ 2 วัดนี้คงไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป เพราะไม่รู้ว่าเรื่องของคดีความนั้นจะโยงมาถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่หรือไม่ การนิ่งเงียบจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
“เกรงว่าอาจมีการตัดตอน เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้ลามมาถึงพระระดับผู้ใหญ่ เราได้เห็นอย่างพระพรหมมังคลาจารย์หรือเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตรกับคำสั่งของเจ้าคณะต่าง ๆ และพระราชรัชมุนี(นิมิต) วัดสวนดอกกับคดีสวมบัตรพระที่มรณภาพไปแล้ว ต่างก็ไม่ออกมาปรากฏตัว” แหล่งข่าวจากวงการพุทธศาสนากล่าว
เมื่อไม่สามารถตามพระที่ถูกดำเนินคดีมาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายได้ ก็ยากที่จะสาวต่อถึงต้นทางของคดี ต้องรอดูว่าพระ 4 รูปที่ถูกตำรวจ ปปป.แจ้งข้อกล่าวหานั้นจะมาต่อสู้ในทางกฎหมายหรือไม่
จากนี้ไปหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเอียงไป หรือบางเรื่องของวงการสงฆ์ที่เคยสะดุด ติดขัดด้วยความจงใจ พระผู้ใหญ่คงต้องกลับมานั่งทบทวนว่าจะเลือกเดินในเส้นทางใด จะเลือกพวกพ้องหรือเลือกตัวเองเพื่อความอยู่รอด อันเนื่องมาจากตัวช่วยที่เคยมีหมดไปเรื่อย ๆ
นั่นย่อมหมายถึงวัดพระธรรมกายด้วย ที่พระชั้นผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเกราะป้องกันให้ความช่วยเหลือต่างอาจต้องเลือกที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน และเมื่อไร้เงาของพระธัมมชโยท่อน้ำเลี้ยงที่เคยมีให้กันอาจจะเหือดแห้งลงไป เพราะศิษย์เอกกระเป๋าหนักก็ถูกคดีในต่างกรรมต่างวาระกัน
อีกทั้งหลักคำสอนของวัดพระธรรมกายเอง ก็ยังเป็นที่คาใจของชาวพุทธไม่น้อยในเรื่องของนิพพานเป็นอัตตา รวมไปถึงการทำบุญมากได้ขึ้นสวรรค์ชั้นต่าง ๆ น่าจะได้รับการสังคายนากันในหมู่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วยการยึดเอาหลักพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง
งบประมาณของรัฐที่มอบให้กับวัดต่าง ๆ จนเกิดการทุจริตกันนั้น การตรวจสอบและหาผู้กระทำผิดมารับโทษ นอกจากจะเป็นการสร้างความใสสะอาดให้กับวงการพระสงฆ์และข้าราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนาแล้ว ยังนับได้ว่าเป็นการปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนาไปในตัว
เมื่อปฏิบัติการควานหาตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกดำเนินคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไม่ว่าจะใช้มาตรการแรงสุดอย่างมาตรา 44 ปิดล้อมตรวจค้นภายในวัดแล้วก็ยังไม่สามารถนำตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีได้ ขณะที่คดีในทางสงฆ์แม้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะส่งเรื่องให้ดำเนินการสึกพระธัมมชโย ผ่านเจ้าคณะใหญ่หนกลางแต่เรื่องก็นิ่งเงียบไปในชั้นเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
เป็นที่ทราบกันดีว่าอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้สร้างฐานในการป้องกันตัวเองไว้เป็นอย่างดีในวงการสงฆ์ นั่นคือการกุมอำนาจใหญ่ไว้ที่มหาเถรสมาคม คดียักยอกทรัพย์ในปี 2541 ก็รอดมาได้ด้วยทั้งทางสงฆ์และทางโลก มหาเถรสมาคมมีมติพระธัมมชโยไม่อาบัติปาราชิก และในยุคนั้นมีพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลและทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอัยการสูงสุดถอนฟ้อง
นั่นคือเกราะกำบังที่พระธัมมชโยเข้าถึงขั้วอำนาจใหญ่ทั้งทางสงฆ์และทางการเมือง ที่ทำให้เหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ผ่านพ้นมาได้ตลอด
สำแดงเดชข่มรัฐ
แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะได้เห็นถึงการออกโรงเคลื่อนไหวของพระที่เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วงฯ วัดปากน้ำ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่สุดท้ายก็ต้องอกหักไป
ส่วนคดีใหม่ของพระธัมมชโยแม้คดียังไม่ยุติ ในทางโลกเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่สามารถหาตัวพระธัมมชโยเจอ แต่คดีทางสงฆ์ในเรื่องการสึกเงียบหายไปในลำดับชั้นของเจ้าคณะจังหวัด
ครั้นมาถึงคดีทุจริตเงินทอนวัด นับว่าเป็นเรื่องที่พระผู้ใหญ่กังวลมากที่สุด เพราะวัดใหญ่ ๆ ระดับประเทศต่างอยู่ในข่ายที่อาจต้องถูกดำเนินคดี ดังนั้นจึงเห็นพระระดับสังฆาธิการและพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมต่างออกมากดดันรัฐบาลจนต้องเปลี่ยนตัวพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจนสำเร็จ
วัดพิชยญาติฯ-ปากน้ำ “สะเทือน”
แต่กลับไม่คาดคิดว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเรียกพงศ์พรกลับมานั่งเก้าอี้เดิมอีกครั้ง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน พร้อมทั้งให้พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เข้ามาดูแลแทนออมสิน ชีวะพฤกษ์ และวิษณุ เครืองาม
ขณะที่คดีเงินทอนวัดยังมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง กระทั่งกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(ปปป.) ออกหนังสือเชิญพระสงฆ์ 4 รูปมารับทราบข้อกล่าวหากรณีทุจริตงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด(เงินทอนวัด) ประกอบไปด้วย
พระราชรัตนมุนี (บุญเทียม มุสุ หรือบุญเทียม ญานินโท) เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะหนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามฯ
พระเทพเสนาบดี (ประเทือง อาภาธโร) เจ้าอาวาสวัดกวิศวราราม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี รองประธานกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านศีลห้า
พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ (อุดม สุระกาพย์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามฯ
พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค อำเภอชนแดน และเจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์
พระราชรัตนมุนีหรือเจ้าคุณบุญเทียม เป็นเลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์(สมศักดิ์) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ที่เคยช่วยให้พระธัมมชโยรอดมาแล้วในอดีตและคดีปัจจุบันเรื่องส่งต่อไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีที่อยู่ในการกำกับดูแลของท่านเรื่องก็เงียบ งานนี้เท่ากับเป็นการกดดันการปฏิบัติหน้าที่ของสมเด็จสมศักดิ์โดยตรง
อีกรายพระเทพเสนาบดีหรือเจ้าคุณประเทือง เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นรองประธานขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านศีลห้า ของสมเด็จช่วงฯ ถือเป็นสายตรงของวัดปากน้ำ และยังโยงไปถึงเรื่องงบโรงเรียนพระปริยัติธรรมอีกด้วย
เรียกได้ว่าเฉพาะกรณีนี้สะเทือนไปทั้งวัดพิชยญาติฯและวัดปากน้ำ ที่เคยเป็นผู้ปกป้องและให้ความช่วยเหลือวัดพระธรรมกายมาโดยตลอด
ดาบ 2 ปากน้ำ-ธรรมกาย
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะที่จังหวัดเชียงใหม่กลับเกิดเหตุร้องเรียนกรณีพระราชรัชมุนี(นิมิต สิขรสุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนดอก เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ สวมบัตรประชาชนไทยของคนตาย โดยที่เจ้าอาวาสเองเป็นชาวไทยใหญ่ในประเทศพม่า ร้อนไปถึงพระเทพมังคลาจารย์(สมาน กิตติโสภโณ) รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดท่าตอน รักษาการเจ้าอาวาสวัดเชตุวันและวัดพระเจ้าเม็งราย ในฐานะพระอุปัชฌาย์ ที่ปล่อยผ่านให้คนต่างด้าวเข้ามาบวชจนได้รับตำแหน่งใหญ่โตในวงการพระสงฆ์
ทั้งนี้เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เจ้าอาวาสวัดท่าตอน ได้ประชาชนผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่ง รวมตัวเข้ายื่นหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องให้สั่งการยกเลิกการบังคับใช้ ม.44 ในการดำเนินการกรณีวัดพระธรรมกาย
โดยก่อนหน้านี้ทางสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า วันที่ 7 กรกฎาคม 2559 เวลา 10.30 น.พระเทพมังคลาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดท่าตอน และพระจากจังหวัดน่านพร้อมด้วยพระสังฆาธิการ จำนวนกว่า 300 รูป เดินทางมาถวายกำลังใจหลวงพ่อธัมมชโย ณ วัดพระธรรมกาย จึงขอเรียนพี่น้องสื่อมวลชนร่วมทำข่าวตามวันและเวลาดังกล่าว เป็นอันว่าทั้งวัดท่าตอนและวัดสวนดอก พระอาจารย์สมานและศิษย์นิมิตอยู่ในสายวัดพระธรรมกาย
คดีของเจ้าอาวาสวัดสวนดอกถือว่าเป็นคดีใหญ่ เพราะเป็นเรื่องการปลอมแปลงเอกสารสำคัญทางราชการ และกระทบไปยังพระในชั้นปกครอง ลำดับแรกคือพระเทพมังคลาจารย์(สมาน) ในฐานะพระอุปัชฌาย์ และยังกระทบชิ่งไปถึงวัดปากน้ำที่เคยลงมาเคลียร์พื้นที่ให้พระราชรัชมุนี(นิมิต) เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอกและเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าคณะภาค 7 ไปจนถึงพระวิสุทธิวงศาจารย์ (วิเชียร อโนมคุโณ) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ รองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ที่เข้ามารับตำแหน่งนี้แทนสมเด็จช่วงฯ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่ลาออกไปเมื่อ 20 มีนาคม 2558
สลายเกราะกำบังธรรมกาย
เมื่อผูกทั้งเรื่องเงินทอนวัดที่พระในสายของวัดพิชยญาติฯ ถูกแจ้งข้อหา รวมไปถึงพระในสายของสมเด็จช่วงฯ บวกเข้ากับกรณีของเจ้าอาวาสวัดสวนดอก เท่ากับว่าพระชั้นผู้ใหญ่ของ 2 วัดนี้คงไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป เพราะไม่รู้ว่าเรื่องของคดีความนั้นจะโยงมาถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่หรือไม่ การนิ่งเงียบจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
“เกรงว่าอาจมีการตัดตอน เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้ลามมาถึงพระระดับผู้ใหญ่ เราได้เห็นอย่างพระพรหมมังคลาจารย์หรือเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตรกับคำสั่งของเจ้าคณะต่าง ๆ และพระราชรัชมุนี(นิมิต) วัดสวนดอกกับคดีสวมบัตรพระที่มรณภาพไปแล้ว ต่างก็ไม่ออกมาปรากฏตัว” แหล่งข่าวจากวงการพุทธศาสนากล่าว
เมื่อไม่สามารถตามพระที่ถูกดำเนินคดีมาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายได้ ก็ยากที่จะสาวต่อถึงต้นทางของคดี ต้องรอดูว่าพระ 4 รูปที่ถูกตำรวจ ปปป.แจ้งข้อกล่าวหานั้นจะมาต่อสู้ในทางกฎหมายหรือไม่
จากนี้ไปหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเอียงไป หรือบางเรื่องของวงการสงฆ์ที่เคยสะดุด ติดขัดด้วยความจงใจ พระผู้ใหญ่คงต้องกลับมานั่งทบทวนว่าจะเลือกเดินในเส้นทางใด จะเลือกพวกพ้องหรือเลือกตัวเองเพื่อความอยู่รอด อันเนื่องมาจากตัวช่วยที่เคยมีหมดไปเรื่อย ๆ
นั่นย่อมหมายถึงวัดพระธรรมกายด้วย ที่พระชั้นผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเกราะป้องกันให้ความช่วยเหลือต่างอาจต้องเลือกที่จะช่วยเหลือตัวเองก่อน และเมื่อไร้เงาของพระธัมมชโยท่อน้ำเลี้ยงที่เคยมีให้กันอาจจะเหือดแห้งลงไป เพราะศิษย์เอกกระเป๋าหนักก็ถูกคดีในต่างกรรมต่างวาระกัน
อีกทั้งหลักคำสอนของวัดพระธรรมกายเอง ก็ยังเป็นที่คาใจของชาวพุทธไม่น้อยในเรื่องของนิพพานเป็นอัตตา รวมไปถึงการทำบุญมากได้ขึ้นสวรรค์ชั้นต่าง ๆ น่าจะได้รับการสังคายนากันในหมู่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วยการยึดเอาหลักพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง
งบประมาณของรัฐที่มอบให้กับวัดต่าง ๆ จนเกิดการทุจริตกันนั้น การตรวจสอบและหาผู้กระทำผิดมารับโทษ นอกจากจะเป็นการสร้างความใสสะอาดให้กับวงการพระสงฆ์และข้าราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนาแล้ว ยังนับได้ว่าเป็นการปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนาไปในตัว