xs
xsm
sm
md
lg

จุดจบ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” เหมือนยิ่งกว่าเหมือน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดปูมเส้นทางการเมืองของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่ย่ำซ้ำรอยกันก้าวต่อก้าว ใช้นโยบายประชานิยมกรุยทางเข้าสู่สภาผู้แทนฯ ปั้นสารพัดโครงการล้วงผลประโยชน์เข้ากระเป๋า กระทั่งประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ นำไปสู่การรัฐประหารยึดอำนาจ สุดท้ายกลายเป็นนักโทษหนีคดีไร้แผ่นดินอยู่ แต่เพราะ 2 พี่น้องชินวัตร “รวยมหาศาล” จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในต่างแดน!

เป็นที่จับตาของสังคมอยู่ไม่น้อยสำหรับการตัดสินคดีรับจำนำข้าว ขณะนี้จำเลยอย่างอดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้หลบหนีคดีไปกบดานอยู่ต่างประเทศ ส่งผลให้ศาลต้องนัดตัดสินลับหลังในวันที่ 27 ก.ย. นี้  โดยไม่จำเป็นต้องมีจำเลยนั่งฟังคำพิพากษา เพราะหากย้อนไปดูเส้นทางการเมืองตลอดระยะเวลา 6 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์แล้วจะคลับคล้ายคลับคลาประหนึ่งปรากฏการณ์เดจาวู เหมือนดูหนังที่ฉายซ้ำ    เนื่องเพราะชีวิตการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นช่างเหมือนกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายราวกับโคลนนิ่ง ตั้งแต่เส้นทางที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปจนถึงจุดจบบนเส้นทางการเมืองที่ลงท้ายด้วยการระหกระเหินหนีคดีไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ

ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ด้วยนโยบายประชานิยม

สำหรับนายทักษิณนั้นก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่ปี 2537 โดยได้ผันตัวจากนักธุรกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมาเป็นสมาชิกพรรคพลังธรรมด้วยการชักชวนของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เขาเคยขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ก่อนที่จะประกาศลาออก แล้วมาจัดตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นในปี 2541 พร้อมทั้งกุมบังเหียนหัวหน้าพรรค จากนั้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2544 ทักษิณได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่การเมืองไทย โดยสามารถนำ ส.ส.เข้าสภาได้ถึง 248 ที่นั่ง และเป็นเสียงข้างมากในสภา เขาจึงได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เป็นสมัยแรก

อีกทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งคนแรกของประเทศไทยที่สามารถดำรงตำแหน่งจนครบ 4 ปี และในการเลือกตั้งปี 2548 ทักษิณก็ได้รับชัยชนะอีกครั้ง นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนเสียงสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ สามารถนำ ส.ส.เข้าสู่สภาได้ถึง 377 ที่นั่ง ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าจุดขายที่ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะใจประชาชนก็คือ “นโยบายประชานิยม” ไม่ว่าจะเป็น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกร การจัดสรรงบ เอสเอ็มแอล ให้ทุกหมู่บ้านทุกชุมชน โครงการวัวสองล้านตัว ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นนโยบายที่โดนใจผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นเพิ่งเข้าสู่สนามการเมืองเมื่อกลางปี 2554 ในฐานะตัวแทนของพี่ชาย นายทักษิณซึ่งหนีคดีทุจริตไปอาศัยในต่างประเทศ โดยใช้นโยบายประชานิยมเป็นจุดขายในการหาเสียง ตามคอนเซ็ปต์ที่พี่ชายวางไว้ ชนิดที่เรียกได้ว่า “ทักษิณคิด-ยิ่งลักษณ์ทำ” ไม่ว่าจะเป็น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ขึ้นเงินเดือนให้ผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท แจกแท็บเล็ตแก่เด็กชั้นประถมปีที่ 1 พักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรและประชาชน หรือโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยชนะอย่างถล่มทลายเช่นเดียวกับพี่ชายที่เคยสร้างสถิติไว้ โดยสามารถพา ส.ส.เพื่อไทยเข้าสู่สภาได้ถึง 265 ที่นั่ง ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ไทยที่พรรคการเมืองพรรคเดียวครองเสียงข้างมากในสภา

จากนั้นยิ่งลักษณ์ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ต่อจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อภิมหาคอร์รัปชัน 2 พี่น้องชินวัตร

แม้นโยบายจะสวยหรูเพียงใดแต่เมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณและอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต่างก็สร้างความบอบช้ำเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างไม่มีใครคาดคิด โดยเฉพาะผลพวงจากปัญหาการคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่ก่อให้ความเสียหายหลายแสนล้าน

สำหรับอดีตนายกฯ ทักษิณนั้นหากนับเฉพาะกรณีที่เกี่ยวพันกับตัวเขาโดยตรงก็มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 โครงการซึ่งเกิดปัญหาการทุจริตอันนำไปสู่ความเสียหาย กระทั่งกลายเป็นคดีความ ได้แก่

1. การซื้อ-ขายที่ดินรัชดาอันอื้อฉาว นับเป็นการซื้อขายที่ดินระหว่างรัฐและเอกชนที่เต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่น สร้างผลกำไรให้แก่ตระกูลชินวัตรในชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ แต่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งหลักฐานจากการซื้อขายที่ดินครั้งนี้นำไปสู่การดำเนินคดีอดีตนายกฯ ทักษิณ และสุดท้ายศาลตัดสินจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 2 ปี

2. การปล่อยกู้ของเอ็กซิมแบงก์ ซึ่งนายทักษิณได้ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้เงินกู้แก่รัฐบาลสหภาพพม่า จำนวน 4,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ โดยรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชดเชยผลขาดทุนให้แก่เอ็กซิมแบงก์ในระยะเวลา 12 ปี เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 670,436,201.25 บาท เพื่อหวังประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียมที่พม่ามีการสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัท ชินแซทเทลไลท์ บริษัทในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร ซึ่งการปล่อยกู้ครั้งนี้สร้างความเสียหายให้รัฐไม่ต่ำกว่า 670 ล้านบาท

3. โครงการสลากกินแบ่งรัฐบาล เลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือโครงการหวยบนดิน ที่ดำเนินการโดยผิดกฎหมาย ได้สร้างความเสียหายให้แก่รัฐถึง 3.6 หมื่นล้านบาท

4. กรณีธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษฎามหานคร ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสถานะที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ ต่อมาพบว่าบริษัทในเครือกฤษฎาฯ ได้โอนเงินให้คนในตระกูลชินวัตรเป็นค่าตอบแทนที่ได้สั่งการให้กรุงไทยปล่อยกู้ ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สร้างความเสียหายให้รัฐประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

5. ออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทชินคอร์ป ซึ่งทำรัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท

ส่วนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์นั้นก็เดินตามรอยพี่ชายมาติด ๆ โดยปล่อยให้มีการทุจริตในสารพัดโครงการ แต่ที่ต้องถูกดำเนินคดีขณะนี้มีเพียงโครงการเดียวคือโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีเสียงเล่าลือกันว่าทำให้เจ๊ ด.ได้ผลประโยชน์มหาศาล ขณะที่รัฐเสียหายไปกว่า 5 แสนล้านบาท จึงถือเป็น 2 พี่น้องที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน

ประท้วงขับไล่ นำไปสู่การรัฐประหาร

อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันของสองอดีตนายกรัฐมนตรีจากตระกูลชินวัตรก็คือเขาถูกประชาชนประท้วงขับไล่อย่างรุนแรงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน เนื่องจากไม่พอใจในการบริหารประเทศ และการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้น กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารที่ทำให้อดีตนายกฯ ทั้งสองต้องพ้นจากตำแหน่ง

สำหรับรัฐบาลทักษิณนั้นถูกประชาชนที่รวมตัวกันภายใต้ชื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงขับไล่ตั้งแต่ปลายปี 2548 เนื่องเพราะไม่พอใจการบริหารงานที่มีการทุจริตคอร์รัปชันในสารพัดโครงการ โดยได้ปักหลักชุมนุมข้ามเดือนข้ามปี กระทั่งวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ขณะที่นายกฯ ทักษิณอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากทราบข่าวการยึดอำนาจเขาก็ไม่ได้เดินทางกลับประเทศไทยแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน คมช. ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อเดินหน้าทำคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตต่าง ๆ ของอดีตนายกฯ ทักษิณและพวกพ้องให้เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม

ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ถูกขับไล่โดยประชาชนจากหลากหลายกลุ่มที่ไม่พอใจการออก “พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม” เนื่องจากมองว่ามีการสอดไส้กฎหมายเพื่อช่วยเหลืออดีตนายกฯ ทักษิณ โดยมีกลุ่มใหญ่สุดคือ กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ผู้ชุมนุมเริ่มปักหลักคัดค้าน พ.ร.บ.ดังกล่าว ตั้งต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 และขยายวงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งประกาศเจตนาโค่นล้มระบอบทักษิณ มีการตั้งเวทีในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ และเกิดปฏิบัติการ Shutdown กรุงเทพฯ กระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร

แต่กรณีของยิ่งลักษณ์นั้นต่างจากอดีตนายกฯ ทักษิณเล็กน้อย ตรงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งอยู่ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี (เนื่องจากได้ประกาศยุบสภาไปก่อนหน้านี้) ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2557 จากรณีการสั่งย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมิชอบ ก่อนที่ คสช.(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้ารัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล ในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งขณะนั้นมีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รับหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี

หนีคดี ‘เสวยสุข’ ในต่างประเทศ

สุดท้ายสิ่งที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์-ทักษิณเหมือนกันอีกก็คือ “หนีคดี” ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยในส่วนของนายทักษิณนั้นแม้จะเคยเดินทางกลับประเทศไทยครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 หลังจากที่พรรคพลังประชาชนที่เขาสนับสนุนชนะการเลือกตั้งหลังการรัฐประหาร แต่เมื่อระแคะระคายว่าเขาคงไม่รอดพ้นจากความผิดในคดีจัดซื้อที่ดินรัชดา นายทักษิณจึงใช้โอกาสที่มีพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ในวันที่ 8 ส.ค. 2551 เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อหนีการเข้าฟังคำตัดสินของศาลในคดีดังกล่าว ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2551 และเป็นดังคาด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินจำคุกทักษิณเป็นเวลา 2 ปี จากคดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดา นับจากนั้นเขาไม่เดินทางกลับประเทศไทยอีกเลย โดยพยายามจะขอลี้ภัยในสหราชอาณาจักรแต่ถูกปฏิเสธ จึงเดินทางข้ามไปมาอยู่หลายประเทศโดยใช้พาสปอร์ตจากประเทศอื่นที่นายทักษิณได้ในฐานะพลเมืองชาตินั้น ๆ

ทั้งนี้เนื่องจากนายทักษิณได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีที่ดินรัชดา ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าศาลในการพิจารณาคดีต่าง ๆ ศาลจึงออกหมายจับ และจำหน่าย 4 คดีที่เหลือไว้ชั่วคราวจนกว่าจำเลยจะมาขึ้นศาล นอกจากนั้นยังได้วินิจฉัยยึดทรัพย์ของทักษิณและคนใกล้ชิด มูลค่าราว 46,000 ล้านบาท จากที่ คตส.อายัดไว้ 76,000 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดินอีกด้วย

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งถูกฟ้องใน “คดีรับจำนำข้าว” ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 57 และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมาย ป.ป.ช. กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายแก่รัฐกว่า 5 แสนล้านบาท ก็ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งกำหนดนัดในวันที่ 25 ส.ค. 2560 โดยได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่คืนวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับนายทักษิณ ศาลจึงออกหมายจับและสั่งเลื่อนให้มาฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 กันยายน 2560 พร้อมทั้งสั่งปรับนายประกันเต็มตามสัญญา จำนวน 30 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญกว่าคือ “ใครพา น.ส.ยิ่งลักษณ์หนี ?” หรือ “หนีโดยใช้เส้นทางใด?” น่าจะเป็นการช่วยกันตรวจสอบว่าขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไปอยู่ที่ไหน และจะสามารถติดตามตัวกลับมาดำเนินคดีได้อย่างไร

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า “ต้องรอดูคำพิพากษาลับหลังในวันที่ 27 ก.ย.นี้ หากศาลตัดสินว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีความผิดก็แล้วไป แต่หากศาลตัดสินว่าผิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องติดตามตรวจสอบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ที่ไหน ประเทศอะไร ทันทีที่ทราบข้อมูล เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยื่นเรื่องต่ออัยการให้ประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศของไทยไปยังสถานทูตของประเทศนั้น ๆ เพื่อขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศนั้นหรือไม่

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าประเทศที่ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน จำนวน 16 ประเทศ ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา 2.สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามอังกฤษและบริเตน 3.แคนาดา 4.เบลเยียม 5.จีน 6.เกาหลีใต้ 7.อินโดนีเซีย 8.ออสเตรเลีย 9.ฟิลิปปินส์ 10.กัมพูชา 11.ฮ่องกง 12.ลาว 13.บังกลาเทศ 14.ฟิจิ 15.มาเลเซีย และ 16.อินเดีย

สุดท้าย 27 ก.ย.นี้ จึงเป็นวันชี้ชะตาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องเดินตามรอยพี่ชายด้วยการใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในต่างประเทศ โดยถือเงินก้อนโตไปซื้อเกาะในประเทศเล็ก ๆ สักแห่งเพื่อให้ได้ถือหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตของประเทศนั้นซึ่งช่วยให้สามารถเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เช่นเดียวกับที่นายทักษิณประมูลซื้อเกาะ "สเวตติ นิโคลา" (Sveti NiKola) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 28 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,288 ล้านบาท เพื่อให้ได้ถือหนังสือเดินทางของประเทศมอนเตเนโกร

หรืออาจเข้าไปลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กิจการโทรคมนาคมในประเทศยากจนเพื่อให้ได้เป็น “พลเมืองกิตติมศักดิ์” และได้เอกสิทธิ์ในการถือหนังสือเดินทางของประเทศนั้น เหมือนที่ทักษิณพี่ชายเข้าไปลงทุนด้านโทรคมนาคมในประเทศนิการากัว พร้อมวางโครงสร้างคมนาคมขั้นพื้นฐานให้ประเทศ จนได้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจพิเศษของประธานาธิบดี และมีฐานะเป็น “พลเมืองกิตติมศักดิ์” มีสิทธิ์ถือหนังสือเดินทางของประเทศ “นิการากัว” ในฐานะ “ทูตพิเศษนิการากัว” (special ambassador) อีกทั้งได้รับ “เอกสิทธิ์คุ้มกันทางการทูต” จากสาธารณรัฐนิการากัวด้วย

แน่นอนว่าเอกสิทธิ์ต่างๆ ดังกล่าวนั้นสามารถช่วยให้ “นักโทษหนีคดีแต่ร่ำรวยมหาศาล” อย่าง 2 พี่น้องชินวัตร สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในต่างแดน!

กำลังโหลดความคิดเห็น