เผยเหตุสึกพระมหาอภิชาติ ผิดมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นและกระทำผิดซ้ำสอง ต้องสึกก่อนดำเนินคดี สายหนุนสบโอกาสปั่นกระแสขยายวง แฉเป็นขบวนการทางคณะสงฆ์สกัดอำนาจรัฐไม่ให้เข้ามาก้าวก่ายขุมทรัพย์แดนสงฆ์ ที่ได้ทั้งงบประมาณ เงินบริจาค รวมถึงยังคงอำนาจในวงการพระตามเดิม คดีพระธัมมชโยจึงไม่คืบหน้า ชี้กรณีพระมหาอภิชาติเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง

หลังจากที่มีการเชิญพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท ออกจากพื้นที่จังหวัดสงขลาเมื่อ 19 กันยายน 2560 โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทำให้สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวพระมหาอภิชาติ โดยระบุว่า ช่วงนี้อยู่ระหว่างเข้าพรรษา ซึ่งมีพุทธบัญญัติสำหรับพระภิกษุว่า ห้ามไปค้างแรมที่อื่น หากไปที่อื่นแล้วจะต้องกลับมาถึงที่จำพรรษาก่อนฟ้าสาง หาไม่แล้วจะส่งผลให้พรรษาขาด
จากนั้นในช่วงเย็นวันที่ 20 กันยายน 2560 นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ได้แจ้งว่ามีการสึกพระมหาอภิชาติที่วัดเบญจมบพิตร พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ในนามของสมาพันธ์ฯ อีกฉบับ แสดงความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจชาวพุทธครั้งนี้ และขอเรียนอดีตพระมหาอภิชาติว่า ขอให้ดำเนินการทำงานเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาต่อไป สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยพร้อมสนับสนุนและยินดีต้อนรับท่านเข้ามาทำงานกับสมาพันธ์ฯ หากท่านประสงค์
ผิดซ้ำสอง
เหตุการณ์ทั้งหมดสืบเนื่องจากเมื่อ 11 กันยายน 2560 พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท สังกัดวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ออกคลิปต้อนรับ พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ สู่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ โดยโพสต์ลงยูทิวบ์ และช่วงหนึ่งของคำพูด
“ขอฝากคณะสงฆ์และชาวพุทธใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยต้อนรับท่านพงศ์พรให้สมเกียรติหน่อย โดยเฉพาะคณะสงฆ์ ให้ย้อนกลับไปดูว่า พงศ์พรทำอะไรไว้กับศาสนาพุทธ ทำอะไรไว้กับองค์กรชาวพุทธ ทำอะไรไว้กับพระมหาอภิชาติ จัดให้หนัก”
ทั้งนี้พระมหาอภิชาติมีความขัดแย้งกันกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จนถึงขั้นมีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันตำรวจโทพงศ์พรในข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เมื่อ 17 มิถุนายน 2560
จากการที่พระมหาอภิชาติออกมาเคลื่อนไหวประเด็นทางศาสนาอีกครั้งเมื่อ 10,15 และ 21 มีนาคม 2560 จนพงศ์พรในฐานะ ผอ.สำนักพุทธ ต้องทำหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรต้นสังกัด เมื่อ 14 มิถุนายน 2560 ระบุว่าด้วยพระมหาอภิชาติ แพร่ภาพทางสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม จึงขอความอนุเคราะห์พระคุณท่านได้โปรดพิจารณาตามที่เห็นสมควร
ก่อนหน้านี้พฤติกรรมของพระมหาอภิชาติมักจะแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในปมความขัดแย้งทางศาสนามาอย่างต่อเนื่อง จนถูกท้วงติงจากหลายฝ่าย เห็นได้จากการออกมายอมรับว่า อาตมาได้รับหนังสือตักเตือนจากมหาเถรสมาคม แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของชาติ เข้ามาเจรจาขอร้องให้อาตมาระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมรณภาพของพระภิกษุสามเณรและชาวไทยพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
“อาตมาจะปิดเฟซบุ๊กนี้ลงชั่วคราวในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายนนี้(2558) เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ตามที่หน่วยงานความมั่นคงของชาติขอไว้ แต่อย่าลืมว่า วันใดชาวพุทธเรียกหาอาตมา วันนั้นอาตมาจะกลับมาเช่นกัน”

เหตุที่ต้องสึก
แหล่งข่าวจากวงการศาสนากล่าวว่า สาเหตุที่ต้องสึกพระมหาอภิชาตินั้น เป็นเพราะท่านกระทำความผิดในมาตรา 116 ข้อหายุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นคดีอาญา จึงต้องทำการสึกก่อนที่จะนำตัวไปดำเนินคดี และก็มีทั้งพระผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าอาวาสและเจ้าคณะแขวงดุสิตดำเนินการอย่างถูกต้อง
อีกทั้งการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนั้นเป็นการกระทำหลังจากที่เคยถูกตักเตือนมาแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2558 และเนื้อหาที่นำเสนอก็ยังเป็นไปในลักษณะเดิมคือ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างศาสนาภายในประเทศไทย
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระมหาอภิชาตินั้น ชื่นชมแนวทางของพระวีรธุ ประเทศพม่า ที่ปลุกระดมชาวพุทธต่อต้านชาวโรฮิงญาจนเกิดการปะทะกัน และรอบใหม่นี้ทำให้เกิดการอพยพของชาวโรฮิงญาจำนวนมากไปที่ชายแดนของประเทศบังกลาเทศ
อีกหนึ่งแนวร่วมของพระมหาอภิชาตินั่นคือสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ที่มักนำเสนอเนื้อหาในทิศทางเดียวกัน แต่ระดับความรุนแรงน้อยกว่าพระมหาอภิชาติมาก ดังนั้นเมื่อพระมหาอภิชาติถูกเชิญตัวจนถึงสึกจากความเป็นพระ สมาพันธ์ฯ จึงออกโรงมาปกป้องโดยเฉพาะนายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ฯ
ปั่นสึกมหาอภิชาติต่อ
ขณะนี้สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยได้หยิบยกเอากรณีของอดีตพระมหาอภิชาติขึ้นมาขยายผล ค่อนข้างชัดเจน แต่ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยก็นำเสนอข่าวของพระมหาอภิชาติเช่นกัน แต่ระดับความเข้มข้นยังเป็นรอง
ทุกอย่างเป็นเรื่องของความกลัวของพระผู้ใหญ่ ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยตรงได้จึงดำเนินการผ่านกลุ่มฆราวาสที่มีความเห็นเหมือนกัน ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นตามความเชื่อเดิม ๆ นั้นมีความเป็นไปได้น้อย เราได้พูดคุยเรื่องเหล่านี้กับศาสนาอื่น ต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีความคิดอย่างที่บางฝ่ายกังวล เพราะประเทศไทยเกือบ 95% นับถือศาสนาพุทธ
หากประเมินด้วยความเป็นธรรมแล้ว วัดของไทยหลายแห่งก็ขยายสาขาไปในหลายประเทศ โดยเฉพาะวัดพระธรรมกายมีสาขาในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ประเทศไทยยังต้องคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงในประเทศด้วย หากปล่อยให้มีการยั่วยุก็จะกลายเป็นปมปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านที่พระและฆราวาสบางกลุ่มชื่นชม ยั่วยุกันจนเกิดความขัดแย้งและกลายเป็นปัญหาผู้อพยพ และกระทบมาถึงประเทศไทยที่ต้องรับภาระ และก็จะกลายเป็นปมที่ถูกโจมตีได้อีกว่าทำไมต้องไปรับภาระให้กับผู้อพยพจากศาสนาอื่น

เกมคณะสงฆ์ข่มอำนาจรัฐ
ที่ผ่านมามีการสร้างข้อมูลเท็จจากกลุ่มที่มีแนวคิดดังกล่าว ทั้งปลอมข่าว ปลอมข้อมูล กล่าวหาทั้งรัฐบาลและบุคคลที่เข้ามาแตะในองค์กรสงฆ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด
ทั้งหมดเป็นเรื่องของขบวนการที่สร้างขึ้นมา เพื่อเป็นกลไกในการสกัดกั้นการเข้ามาของอำนาจรัฐในวงการพุทธศาสนา ที่มีกลุ่มที่ทรงอิทธิพลอยู่ในเครือข่ายขององค์กรสงฆ์แทบทุกแห่ง ด้านหนึ่งคือเรื่องของผลประโยชน์ เพราะทุกรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งมาเพื่อส่งเสริมศาสนา วัดไหนที่ใกล้ชิดกับพระผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งในองค์กรสงฆ์มักจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ที่อาจต้องแลกกับการสนับสนุนพระผู้ใหญ่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของเงินบริจาคจากผู้ที่มีจิตศรัทธา วัดใหญ่ วัดดัง พระผู้ใหญ่มักจะส่งพระในสังกัดของตัวเองไปประจำการ
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่กล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบเรื่องเงินของวัด เมื่อพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ามาแตะก็ต้องถูกย้ายออกไปในที่สุด
ขณะที่อำนาจในการแต่งตั้ง โยกย้าย ยังอยู่ในมือของคณะสงฆ์ การเลื่อนสมณศักดิ์ของพระต่าง ๆ มีมหาเถรสมาคมเป็นผู้ดูแล และเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า 80-90% ของเสียงในมหาเถรสมาคมนั้นเป็นไปในทางเดียวกัน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาทางสงฆ์ในคดีสำคัญกับวัดใหญ่เงินเยอะจึงไม่สามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
อย่างพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เคยถูกข้อหาอาบัติปาราชิกมาแล้ว 2 ครั้ง คดีแรกคณะสงฆ์ตัดสินว่าไม่อาบัติและครั้งล่าสุดขั้นตอนก็สะดุดลงที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
กรณีของอดีตพระมหาอภิชาติท่านก็ถูกใช้เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็ต้องสละเบี้ยทิ้งไป เช่นเดียวกับพระเมธีธรรมาจารย์หรือเจ้าคุณประสารที่เคยนำพระสงฆ์จำนวนมากมากดดันรัฐบาลที่พุทธมณฑล ตอนนี้ท่านก็ต้องลดบทบาทลง แต่ยังโชคดีกว่าพระมหาอภิชาติมาก ที่ยังอยู่ในสมณเพศ แถมวันนี้สายของมหาจุฬาฯ กลับเข้ามาทำหน้าที่ดูแลองค์กรสงฆ์แทนคนเก่าที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ
ดังนั้นการสกัดกั้นอำนาจฝ่ายรัฐ ด้วยวิธีการอ้างว่ารัฐให้การส่งเสริมศาสนาอื่นมากกว่าศาสนาพุทธก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะหยุดอำนาจรัฐได้ โดยอาศัยฐานของผู้ศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือต่อรอง เพราะจะส่งผลต่อความนิยมในตัวของรัฐบาล และกลายเป็นแต้มต่อสำคัญที่ทำให้หลายรัฐบาลหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้ององค์กรของสงฆ์
หลังจากที่มีการเชิญพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท ออกจากพื้นที่จังหวัดสงขลาเมื่อ 19 กันยายน 2560 โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทำให้สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวพระมหาอภิชาติ โดยระบุว่า ช่วงนี้อยู่ระหว่างเข้าพรรษา ซึ่งมีพุทธบัญญัติสำหรับพระภิกษุว่า ห้ามไปค้างแรมที่อื่น หากไปที่อื่นแล้วจะต้องกลับมาถึงที่จำพรรษาก่อนฟ้าสาง หาไม่แล้วจะส่งผลให้พรรษาขาด
จากนั้นในช่วงเย็นวันที่ 20 กันยายน 2560 นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ได้แจ้งว่ามีการสึกพระมหาอภิชาติที่วัดเบญจมบพิตร พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ในนามของสมาพันธ์ฯ อีกฉบับ แสดงความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจชาวพุทธครั้งนี้ และขอเรียนอดีตพระมหาอภิชาติว่า ขอให้ดำเนินการทำงานเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาต่อไป สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยพร้อมสนับสนุนและยินดีต้อนรับท่านเข้ามาทำงานกับสมาพันธ์ฯ หากท่านประสงค์
ผิดซ้ำสอง
เหตุการณ์ทั้งหมดสืบเนื่องจากเมื่อ 11 กันยายน 2560 พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท สังกัดวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ออกคลิปต้อนรับ พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ สู่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ โดยโพสต์ลงยูทิวบ์ และช่วงหนึ่งของคำพูด
“ขอฝากคณะสงฆ์และชาวพุทธใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยต้อนรับท่านพงศ์พรให้สมเกียรติหน่อย โดยเฉพาะคณะสงฆ์ ให้ย้อนกลับไปดูว่า พงศ์พรทำอะไรไว้กับศาสนาพุทธ ทำอะไรไว้กับองค์กรชาวพุทธ ทำอะไรไว้กับพระมหาอภิชาติ จัดให้หนัก”
ทั้งนี้พระมหาอภิชาติมีความขัดแย้งกันกับพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จนถึงขั้นมีการแจ้งความดำเนินคดีกับพันตำรวจโทพงศ์พรในข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เมื่อ 17 มิถุนายน 2560
จากการที่พระมหาอภิชาติออกมาเคลื่อนไหวประเด็นทางศาสนาอีกครั้งเมื่อ 10,15 และ 21 มีนาคม 2560 จนพงศ์พรในฐานะ ผอ.สำนักพุทธ ต้องทำหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรต้นสังกัด เมื่อ 14 มิถุนายน 2560 ระบุว่าด้วยพระมหาอภิชาติ แพร่ภาพทางสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจสร้างความแตกแยกในหมู่พี่น้องชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม จึงขอความอนุเคราะห์พระคุณท่านได้โปรดพิจารณาตามที่เห็นสมควร
ก่อนหน้านี้พฤติกรรมของพระมหาอภิชาติมักจะแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในปมความขัดแย้งทางศาสนามาอย่างต่อเนื่อง จนถูกท้วงติงจากหลายฝ่าย เห็นได้จากการออกมายอมรับว่า อาตมาได้รับหนังสือตักเตือนจากมหาเถรสมาคม แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงของชาติ เข้ามาเจรจาขอร้องให้อาตมาระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมรณภาพของพระภิกษุสามเณรและชาวไทยพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
“อาตมาจะปิดเฟซบุ๊กนี้ลงชั่วคราวในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายนนี้(2558) เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ตามที่หน่วยงานความมั่นคงของชาติขอไว้ แต่อย่าลืมว่า วันใดชาวพุทธเรียกหาอาตมา วันนั้นอาตมาจะกลับมาเช่นกัน”
เหตุที่ต้องสึก
แหล่งข่าวจากวงการศาสนากล่าวว่า สาเหตุที่ต้องสึกพระมหาอภิชาตินั้น เป็นเพราะท่านกระทำความผิดในมาตรา 116 ข้อหายุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นคดีอาญา จึงต้องทำการสึกก่อนที่จะนำตัวไปดำเนินคดี และก็มีทั้งพระผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าอาวาสและเจ้าคณะแขวงดุสิตดำเนินการอย่างถูกต้อง
อีกทั้งการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนั้นเป็นการกระทำหลังจากที่เคยถูกตักเตือนมาแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2558 และเนื้อหาที่นำเสนอก็ยังเป็นไปในลักษณะเดิมคือ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างศาสนาภายในประเทศไทย
เป็นที่ทราบกันดีว่าพระมหาอภิชาตินั้น ชื่นชมแนวทางของพระวีรธุ ประเทศพม่า ที่ปลุกระดมชาวพุทธต่อต้านชาวโรฮิงญาจนเกิดการปะทะกัน และรอบใหม่นี้ทำให้เกิดการอพยพของชาวโรฮิงญาจำนวนมากไปที่ชายแดนของประเทศบังกลาเทศ
อีกหนึ่งแนวร่วมของพระมหาอภิชาตินั่นคือสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ที่มักนำเสนอเนื้อหาในทิศทางเดียวกัน แต่ระดับความรุนแรงน้อยกว่าพระมหาอภิชาติมาก ดังนั้นเมื่อพระมหาอภิชาติถูกเชิญตัวจนถึงสึกจากความเป็นพระ สมาพันธ์ฯ จึงออกโรงมาปกป้องโดยเฉพาะนายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ฯ
ปั่นสึกมหาอภิชาติต่อ
ขณะนี้สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยได้หยิบยกเอากรณีของอดีตพระมหาอภิชาติขึ้นมาขยายผล ค่อนข้างชัดเจน แต่ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยก็นำเสนอข่าวของพระมหาอภิชาติเช่นกัน แต่ระดับความเข้มข้นยังเป็นรอง
ทุกอย่างเป็นเรื่องของความกลัวของพระผู้ใหญ่ ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยตรงได้จึงดำเนินการผ่านกลุ่มฆราวาสที่มีความเห็นเหมือนกัน ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นตามความเชื่อเดิม ๆ นั้นมีความเป็นไปได้น้อย เราได้พูดคุยเรื่องเหล่านี้กับศาสนาอื่น ต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีความคิดอย่างที่บางฝ่ายกังวล เพราะประเทศไทยเกือบ 95% นับถือศาสนาพุทธ
หากประเมินด้วยความเป็นธรรมแล้ว วัดของไทยหลายแห่งก็ขยายสาขาไปในหลายประเทศ โดยเฉพาะวัดพระธรรมกายมีสาขาในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ประเทศไทยยังต้องคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงในประเทศด้วย หากปล่อยให้มีการยั่วยุก็จะกลายเป็นปมปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยเป็นเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านที่พระและฆราวาสบางกลุ่มชื่นชม ยั่วยุกันจนเกิดความขัดแย้งและกลายเป็นปัญหาผู้อพยพ และกระทบมาถึงประเทศไทยที่ต้องรับภาระ และก็จะกลายเป็นปมที่ถูกโจมตีได้อีกว่าทำไมต้องไปรับภาระให้กับผู้อพยพจากศาสนาอื่น
เกมคณะสงฆ์ข่มอำนาจรัฐ
ที่ผ่านมามีการสร้างข้อมูลเท็จจากกลุ่มที่มีแนวคิดดังกล่าว ทั้งปลอมข่าว ปลอมข้อมูล กล่าวหาทั้งรัฐบาลและบุคคลที่เข้ามาแตะในองค์กรสงฆ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด
ทั้งหมดเป็นเรื่องของขบวนการที่สร้างขึ้นมา เพื่อเป็นกลไกในการสกัดกั้นการเข้ามาของอำนาจรัฐในวงการพุทธศาสนา ที่มีกลุ่มที่ทรงอิทธิพลอยู่ในเครือข่ายขององค์กรสงฆ์แทบทุกแห่ง ด้านหนึ่งคือเรื่องของผลประโยชน์ เพราะทุกรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งมาเพื่อส่งเสริมศาสนา วัดไหนที่ใกล้ชิดกับพระผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งในองค์กรสงฆ์มักจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ที่อาจต้องแลกกับการสนับสนุนพระผู้ใหญ่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของเงินบริจาคจากผู้ที่มีจิตศรัทธา วัดใหญ่ วัดดัง พระผู้ใหญ่มักจะส่งพระในสังกัดของตัวเองไปประจำการ
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่กล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบเรื่องเงินของวัด เมื่อพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ามาแตะก็ต้องถูกย้ายออกไปในที่สุด
ขณะที่อำนาจในการแต่งตั้ง โยกย้าย ยังอยู่ในมือของคณะสงฆ์ การเลื่อนสมณศักดิ์ของพระต่าง ๆ มีมหาเถรสมาคมเป็นผู้ดูแล และเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า 80-90% ของเสียงในมหาเถรสมาคมนั้นเป็นไปในทางเดียวกัน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาทางสงฆ์ในคดีสำคัญกับวัดใหญ่เงินเยอะจึงไม่สามารถดำเนินการได้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
อย่างพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เคยถูกข้อหาอาบัติปาราชิกมาแล้ว 2 ครั้ง คดีแรกคณะสงฆ์ตัดสินว่าไม่อาบัติและครั้งล่าสุดขั้นตอนก็สะดุดลงที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
กรณีของอดีตพระมหาอภิชาติท่านก็ถูกใช้เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่ง เมื่อถึงเวลาก็ต้องสละเบี้ยทิ้งไป เช่นเดียวกับพระเมธีธรรมาจารย์หรือเจ้าคุณประสารที่เคยนำพระสงฆ์จำนวนมากมากดดันรัฐบาลที่พุทธมณฑล ตอนนี้ท่านก็ต้องลดบทบาทลง แต่ยังโชคดีกว่าพระมหาอภิชาติมาก ที่ยังอยู่ในสมณเพศ แถมวันนี้สายของมหาจุฬาฯ กลับเข้ามาทำหน้าที่ดูแลองค์กรสงฆ์แทนคนเก่าที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ
ดังนั้นการสกัดกั้นอำนาจฝ่ายรัฐ ด้วยวิธีการอ้างว่ารัฐให้การส่งเสริมศาสนาอื่นมากกว่าศาสนาพุทธก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะหยุดอำนาจรัฐได้ โดยอาศัยฐานของผู้ศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือต่อรอง เพราะจะส่งผลต่อความนิยมในตัวของรัฐบาล และกลายเป็นแต้มต่อสำคัญที่ทำให้หลายรัฐบาลหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้ององค์กรของสงฆ์


