‘นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์’ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สะท้อนการทำงานในฐานะ ผอ.พศ. ยืนยันใครมาอยู่ก็ทำงานลำบาก เพราะที่นี่มีนาย 2 คนต้องรับใช้ หาก ผอ.พศ.อยากทำงานง่าย-มั่นคง ต้องท่องไว้ห้ามขัดใจพระผู้ใหญ่ ต้องเป็นมิสเตอร์เยสอย่างเดียว ชี้ ‘พ.ต.ท.พงศ์พร’ เป็นคนดีมีจุดยืน แต่ความแข็งกร้าวคืออุปสรรคใหญ่ แจงหากจะแก้ปัญหาวงการสงฆ์ ‘บิ๊กตู่’ ต้องแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพราะเป็นยุคที่พระสงฆ์ ‘แสวงหา-สะสม’ ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง จนมั่งคั่งมีพลังล้มรัฐบาลได้ หากไม่รีบแก้ไขในรัฐบาลนี้หมดสิทธิ์แก้ เพราะคณะสงฆ์ Untouchable !
การสั่งย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากความขัดแย้งในการปฏิบัติงานกับพระผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งบริหารในมหาเถรสมาคม โดยเฉพาะการเข้าไปเปิดโปงทุจริตเงินทอนวัดที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งสังคมให้ความสนใจและต้องการให้เกิดความโปร่งใสในวงการพระพุทธศาสนา จึงเป็นที่มาของการสั่งย้ายครั้งนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วการสั่งย้าย ผอ.พศ.ที่รัฐบาลเป็นผู้เลือกมากับมือด้วยการโอนตัวมาจากหน่วยงานอื่นและคาดหวังว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาในวงการพระสงฆ์ได้ แต่ก็ต้องมาถูกย้ายกลางคัน ไม่ใช่มีเพียง พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นคนแรก เพราะก่อนหน้านี้มี นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ก็เคยถูกรัฐบาลโอนย้ายจากกระทรวงสาธารณสุขมาเป็น ผอ.พศ.และก็ถูกคำสั่งย้ายออกจาก ผอ.พศ.เช่นกัน
ทั้ง นพ.จักรธรรม และ พ.ต.ท.พงศ์พร ถูกคำสั่งย้ายกลางคันในช่วงระยะเวลาที่เกิดขึ้นห่างกันถึง 12 ปี ซึ่งมีผู้เสนอย้ายคนเดียวกันคือ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โดยมีพระผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังในการสั่งย้ายเหมือนกัน แค่บริบทของการถูกสั่งย้ายต่างกันเท่านั้น
“ยุคหมอจักรธรรม เป็นเรื่องพระผู้ใหญ่ที่มีการแบ่งขั้วกันชัดเจนเป็นพระป่ากับพระเมือง ไม่ใช่พระโกงกับพระไม่โกงเหมือนในยุคนี้”
อย่างไรก็ดีในช่วงที่ นพ.จักรธรรม จะมานั่งเป็น ผอ.พศ.นั้น ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างพระธรรมยุติกนิกายหรือพระป่า กับพระมหานิกายหรือพระเมืองอย่างรุนแรง โดยพระสายธรรมยุตมองว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ:สมเด็จเกี่ยว) ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พยายามจะยึดอำนาจจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 เป็นเหตุให้พระป่าต้องออกมาประท้วง ทำให้นายวิษณุ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น เรียก นพ.จักรธรรม ซึ่งเป็นข้าราชการระดับ 10 สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ไปพูดคุยและทาบทามให้มานั่งเป็น ผอ.พศ.เนื่องจาก นพ.จักรธรรม ยังได้ช่วยงานด้านศาสนาอยู่แล้วโดยเป็นอุปนายกพุทธสมาคมด้วย
“นายวิษณุ เสนอ นายกฯ ทักษิณ ก็เห็นด้วยที่จะให้หมอจักรธรรม เป็น ผอ.พศ. เพราะรู้ว่าหมอจักรธรรม ก็เลื่อมใสและเป็นศิษย์ของหลวงตามหาบัวอยู่แล้วจึงน่าจะทำให้งานสำเร็จได้”
โดยนายวิษณุ ได้ให้โจทย์กับ นพ.จักรธรรม ว่าเมื่อเข้าไปเป็น ผอ.พศ. จะต้องไปจัดระเบียบสำนักงานทรัพย์สินเพื่อการศาสนา เพราะทรัพย์สินของวัดมีอยู่มากมายให้เป็นของศาสนาจริง ๆ เหมือนกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และจะต้องสร้างธรรมาภิบาลในวัดให้เกิดขึ้น
แต่ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลว ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้เลย!
อีกทั้งในช่วงเวลานั้น หมอจักรธรรม ก็ได้ไปกราบหลวงตามหาบัว และรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ บ่อยครั้ง จนเป็นที่ไม่พอใจและไม่ชอบหมอจักรธรรมมากขึ้นของบรรดาพระและฆราวาสที่ใกล้ชิดสมเด็จเกี่ยว ซึ่งฆราวาสพวกนี้ยังมีอิทธิพลฟาดงวง ฟาดงา จนทุกวันนี้ จนเป็นที่มาของคำสั่งย้ายหมอจักรธรรมจากตำแหน่ง ผอ.พศ. กลับไปกระทรวงสาธารณสุขเช่นเดิม
“คนที่สั่งย้ายตัวจริงก็คือพระผู้ใหญ่ ไปสั่งคุณหญิงชิน ซึ่งทั้งครอบครัวคุณหญิงชินและคุณวิษณุ ล้วนแต่เป็นศิษย์วัดสระเกศ มาสั่งคุณวิษณุอีกทีซึ่งตอนนั้นคนที่คุมสำนักพุทธคือนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แต่ไม่รู้เรื่องนี้กับใคร”
ดังนั้นใครก็ตามถ้าหากต้องการมานั่งเป็น ผอ.พศ. และต้องการรักษาตัวให้รอดปลอดภัยได้จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะถ้าเป็นคนที่มีคุณสมบัติดีๆ เป็นคนที่มีหลักการ หรือมีจุดยืนจะอยู่ได้ไม่นานแน่นอน
“คุณสมบัติพิเศษที่จะรักษาตัวรอดไม่ถูกพระสั่งย้าย ก็คือ ต้องไม่ขัดใจพระ ต้องยอมพระอย่างเดียว และต้องอยู่ในรัฐบาลที่ยอมพระด้วยนะ จึงจะอยู่ได้นาน แต่ความถูกต้องจะไม่มีแน่นอน”
นพ.จักรธรรม กล่าวว่า ในความเป็นจริงใครก็ตามที่จะมานั่งตำแหน่ง ผอ.พศ.จะรู้และเข้าใจเลยว่า 'ทำงานยากมากเพราะต้องมีนายสองคน' นายคนหนึ่งคือ คณะสงฆ์เพราะเป็นนายโดยตรงของสำนักพระพุทธฯ ตามที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์กำหนดไว้ ให้ ผอ.พศ.เป็นเลขานุการคณะสงฆ์ คือเป็นเลขานุการมหาเถรสมาคม เป็นผลให้ คณะสงฆ์ เป็นนายของ ผอ.พศ.และสำนักพระพุทธฯ ด้วย
ขณะเดียวกันตำแหน่ง ผอ.พศ. เป็นข้าราชการระดับ 10 สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาเงินเดือน และวินัยต่าง ๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งก็ถือว่าเป็นนายโดยตรง ผอ.พศ. ด้วย ดังนั้น ผอ.พศ. จึงมีหน้าที่หลายอย่างทั้งการเป็นเลขาฯ มส.และหน้าที่อื่น ๆ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา และทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยกำหนดไว้
“ถ้าคณะสงฆ์อินังขังขอบ ผอ.พศ. ก็จะทำงานง่าย แต่ถ้าคณะสงฆ์ไม่อินังขังขอบ ผอ.พศ. ทำงานยากมาก ๆ ยิ่งคณะสงฆ์บอกอย่ามาแตะ อย่ามายุ่ง เรื่องย้ายพระ เรื่องตั้งพระห้ามยุ่ง เราก็ทำงานลำบากจริงๆ”
ดังนั้น ผอ.พศ. จะต้องมีจุดยืนในการทำงานและจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่สมควรจะทำ เพราะเมื่อมีนาย 2 คน ก็ต้องเสนอความคิดเห็นทั้งมหาเถรสมาคมและรัฐบาล เช่นรัฐบาลบอกอยากทำให้เกิดความโปร่งใสในวงการสงฆ์ อยากให้วัดมีระบบบัญชี หรือการถวายปัจจัยและสิ่งของใด ๆ ก็ให้เป็นการถวายวัดไม่ใช่ถวายพระ ซึ่งหลักการแบบนี้ถ้าเสนอคณะสงฆ์เห็นด้วยว่าพระไม่ควรสะสมสมบัติ ในการจัดระเบียบวัดและพระก็จะทำงานง่ายและสำเร็จได้
“แต่คณะสงฆ์ส่วนใหญ่ท่านไม่เห็นอย่างนั้น ไม่เหมือนพระสังฆราชองค์นี้ ที่ท่านบอกว่าท่านไม่เคยมีเงินสักบาทเดียว พระสังฆราชวัดบวร ท่านก็ไม่เคยแตะต้องเงินเลย ถ้าคณะสงฆ์เห็นตรงกันแบบนี้ รัฐบาลก็ต้องการสร้างความถูกต้อง มันก็ง่ายเลยไง แต่ถ้ารัฐบาลบอกแล้วแต่พระก็จะเป็นแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้”
นพ.จักรธรรม บอกว่า ในสมัยที่เป็น ผอ.พศ. ซึ่งอยู่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาอะไรก็บอกว่าแล้วแต่พระคือพระเป็นใหญ่ เป็นเพราะว่ารัฐบาลมาจากพรรคการเมืองก็มองประโยชน์ที่จะได้จากพระ โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่จะมีลูกศิษย์อยู่เต็มไปหมด ตัวอย่างเช่นวัดพระธรรมกายหรือพระธัมมชโย ก็มีการไปหลงรัก คณะสงฆ์ก็ไปนิยมทั้งที่ผิดพระธรรมวินัยและพระผู้ใหญ่ก็คิดจะเปลี่ยนจุดยืนของ ผอ.พศ. ให้เห็นดีเห็นงามด้วย ก็ยิ่งทำให้หมอจักรธรรมอยู่ยากขึ้น เพราะมันผิดจุดยืนของตัวเอง
“ผอ.สำนักพุทธ ทำงานยากจริง ๆ หากเป็นคนที่มีจุดยืน แต่ถ้าขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอด ผมว่าง่ายนะนายสั่งมาอย่างไรก็อย่างนั้น หากนายที่เป็นรัฐบาลบอกแล้วแต่พระอย่างเดียวก็คือจบ ซึ่งคุณพงศ์พร เป็นคนที่มีจุดยืน และแข็งจึงทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ลำบาก”
นพ.จักรธรรม ย้ำว่า ด้วยสไตล์การทำงานของ พ.ต.ท.พงศ์พร จะร่วมกับพระผู้ใหญ่ยากมาก เพราะความแข็ง ขนาดตัวหมอจักรธรรมเองดูเป็นคนประนีประนอมและเคารพพระ ยังโดนพระผู้ใหญ่และคนใกล้ชิดเล่นงาน ซึ่งในความเป็นจริงถ้า พ.ต.ท.พงศ์พร หาวิธีการที่นุ่มนวลกว่านี้ คือไม่ไปเปิดแถลงข่าวในเรื่อง 'ทุจริตเงินทอนวัด' ด้วยการพาดพิงไปถึงพระผู้ใหญ่ แต่ใช้วิธีการจัดการตรวจสอบข้อมูลในสำนักพุทธก่อน ว่าใคร อย่างไร กระทบใครบ้าง และรายงานความจริงให้พระผู้ใหญ่และรัฐบาลซึ่งเป็นนายทั้ง 2 ฝ่าย รู้ก่อน ก็อาจจะไม่ถูกพระผู้ใหญ่บีบไปทางรัฐบาลให้ออกคำสั่งย้ายเกิดขึ้น
“แต่นี่ไปตั้งต้นที่วัดไง วัดนี้มีเงินทอน ใครสั่งให้เอาเงินทอน กลายเป็นวัดเสียหายมาก ยับเยินมาก เน่าไปเลยงานนี้ และคนที่แยกไม่ออก พุทธศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน ก็เลยตีขลุม กระจายข่าวว่า พระพุทธศาสนาแย่แล้ว ทำให้เค้าเพลี่ยงพล้ำได้ ทั้งที่จุดยืนดีต้องการปกป้องพุทธศาสนาทำความจริงให้ปรากฏ”
ว่าไปแล้ว นพ.จักรธรรม และ พ.ต.ท.พงศ์พร ก็มีความเหมือนกันและต่างกันบ้างบางประเด็นในการเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ.คือ
1.ทั้งคู่ได้รับการทาบทามจากรัฐบาลโดยตรง กล่าวคือรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ได้มีคำสั่งย้าย นพ.จักรธรรม จากกระทรวงสาธารณสุข ส่วน พ.ต.ท.พงศ์พร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. ใช้ ม.44 ให้ พ.ต.ท.พงศ์พรพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มาเป็น ผอ.พศ.
2.ทั้ง 2 คน เป็นผู้ที่มีจุดยืนและพร้อมที่จะปฏิบัติงานเพื่อพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่า พ.ต.ท.พงศ์พร อาจจะดูแข็งกร้าว และเดินหน้าชนนายวิษณุด้วยตัวเอง ซึ่ง คสช.โดยบิ๊กตู่ ก็สั่งการตามที่นายวิษณุ เสนอมา ขณะที่ นพ.จักรธรรม ซึ่งมีท่าทีเคารพพระ แต่มีเงื่อนไขกับนายวิษณุ ช่วงที่รับปากจะมารับตำแหน่งว่า ”ถ้าวันไหนผมทำอะไรไม่ได้ ก็เอาผมกลับด้วยนะครับ” และ “ในเมื่อท่านไม่ต้องการแล้ว ผมก็กลับบ้าน เท่านั้นเอง”
3.ทั้ง 2 คน โดยคำสั่งรัฐบาลย้ายจากเก้าอี้ ผอ.พศ. โดยมีพระผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง
4.นพ.จักรธรรม ได้กลับสู่กระทรวงสาธารณสุข โดยไม่มีความขัดแย้งใด ๆ กับนายวิษณุ เครืองาม เพราะรู้ความจริงว่าต้องถูกเด้งเพราะเหตุใด ใครอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่ได้กลับดีเอสไอ แต่ย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และยังมีความขัดแย้งกับนายวิษณุและรัฐบาลเพราะออกมาชนโดยไม่ยอมรับคำสั่งเด้งด้วยการทำหนังสือแย้งครั้งนี้
นพ.จักรธรรม ระบุอีกว่า ในมหาเถรสมาคมมีความแตกแยกอยู่ข้างใน ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน พระองค์ท่านรับรู้และเห็นจึงไม่ประสงค์เข้าร่วมประชุมกับมหาเถรสมาคม ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะปฏิรูปศาสนาอย่างจริงจังจะต้องแก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พระพุทธศาสนาอันเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนกลับคืนมา
“ต้องแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ อย่าให้เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ของพระมาเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องนำพระธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง และให้ประชาชนมามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น เราจะตั้งเจ้าอาวาสสักองค์ ในต่างจังหวัด ขนาดประชาชนเดินขบวนขับไล่ ถ้าคณะภาค คณะจังหวัด จะเอาก็ได้ ก็เลยเป็นอย่างนี้ ฟังเสียงประชาชนน้อยไป และอย่าให้มีการสะสมยศถาบรรดาศักดิ์มากนัก”
นพ.จักรธรรม ย้ำว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ คือตัวปัญหาเพราะเอื้อต่อการสะสมยศถาบรรดาศักดิ์ สะสมเงินทอง จนมั่งคั่งจึงต้องแก้ที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ก่อน ให้ชาวพุทธมีส่วนร่วมมากขึ้นและต้องให้คณะสงฆ์และรัฐบาลมีส่วนยุ่งเกี่ยวกันน้อยที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีการใช้อำนาจไปพึ่งพิงกัน พระก็ไปหาเสียงให้รัฐบาล เวลามีปัญหารัฐบาลก็ต้องยอมพระ
“คณะสงฆ์บางคนที่เป็นลูกศิษย์สมเด็จเกี่ยว ท่านมีพลังที่จะล้มรัฐบาลได้ อย่างนี้ก็ไม่ไหวแล้ว เพราะสะสมอำนาจ สะสมเงินทอง สะสมตำแหน่ง”
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เร่งดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ในยุคนี้แล้ว อย่าหวังว่าจะแก้ปัญหาวงการคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาได้ ซึ่งไม่ว่าจะย้ายหรือสรรหา ผอ.พศ. มาจากที่ใดเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาก็จะทำงานยาก และต้องถูกเด้งซ้ำซาก เพราะเมื่อถึงยุคที่การเมืองเข้ามาบริหารประเทศ ใครจะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับคณะสงฆ์
ซึ่งบทสรุปสุดท้ายที่ นพ.จักรธรรม กล่าวไว้ชัดเจนคือคณะสงฆ์ Untouchable !