xs
xsm
sm
md
lg

ส่ง “พงศ์พร” ลงใต้ตายหยังเขียด-โจทก์เพียบรอเช็กบิล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

‘พงศ์พร’ไร้ทางกลับ ‘ประยุทธ์’ออกคำสั่งเองย้ายมาสำนักนายกฯ อยู่ภายใต้ปลัดฯ รับรองสถานะคำสั่งย้ายของออมสิน ชีวะพฤกษ์ หลังถูกโต้แย้ง ขณะที่คำสั่งลงชายแดนใต้ส่งผลพงศ์พรเจอโจทก์เพียบ ทั้งพระมหาอภิชาติฟ้องหมิ่นที่ระโนด แถมพระ-ครู 4 จังหวัดชายแดนธรรมกายดูแลมาเป็นสิบปี ยากที่จะได้รับความร่วมมือ

ท่ามกลางความสมหวังของบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ที่สามารถเขี่ยก้างขวางคออย่างพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ที่กลายเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเมื่อ 29 สิงหาคม 2560 ย้ายไปทำงานในตำแหน่งผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี กลายเป็นอีกความผิดหวังหนึ่งของบรรดากลุ่มที่สนับสนุนการทำงานของอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ คนนี้

แต่สิ่งที่ทำให้กองเชียร์พงศ์พรต้องผิดหวังหนักกับรัฐบาลชุดนี้นั่นคือ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 215/2560 มอบให้ พ.ต.ท.พงศ์พร รับผิดชอบการตรวจราชการในเขตตรวจราชการที่ 8 ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2560 ลงนามโดยนายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

จากบรรดาผู้ที่เคยสนับสนุนการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับกลายมาต่อว่าต่อขานการมีคำสั่งย้ายดังกล่าว แต่มุ่งไปที่ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคือ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ประสานเสียงชัดเจนว่ามีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย แม้พงศ์พร พราหม์เสน่ห์ จะมีหนังสือโต้แย้ง สุดท้ายเสียงวิจารณ์ทั้งหลายก็กล่าวไปถึงนายกรัฐมนตรี

ออกคำสั่งอุ้ม รมต.ประจำสำนักนายกฯ

“เชื่อว่าคำท้วงติงทั้งหลายคงไม่เป็นผลเวลานี้ ส่วนจะมีการทักท้วงคำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครอง ย่อมต้องใช้เวลา อย่างกรณีนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งย้าย กระบวนการยุติธรรมกินเวลา 2 ปีเศษ อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้มาด้วยกรณีพิเศษ ที่สำคัญกว่าจะถึงเวลานั้นรัฐบาลอาจเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”

เห็นได้จากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 220/2560 ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 8 กันยายน 2560 ที่ออกคำสั่งให้พันตำรวจโทพงศ์พร มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม จนกว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในระหว่างปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในความควบคุมกำกับดูแลของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

แหล่งข่าวกล่าวว่า คำสั่งล่าสุดนี้คือการรับรองสถานะของคำสั่งของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่พงศ์พรท้วงติงว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่ได้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี เท่ากับเป็นการทำให้คำสั่งโยกย้ายพงศ์พรจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มีความถูกต้องและมีผลบังคับใช้
คำสั่งให้พงศ์พรมาปฏิบัติหน้าที่สำนักนายกฯ 8 กันยายน 2560
ศิษย์เคารพอาจารย์-พระอุปัชฌาย์

ท่ามกลางการแสดงความไม่เห็นด้วยในกรณีดังกล่าวนี้ ฝ่ายที่มีความสุขที่สุดหนีไม่พ้นฝ่ายพระผู้ใหญ่ที่ทำได้สำเร็จ ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเป็นของฆราวาส

ในวงการสงฆ์เป็นที่รู้กันว่าสถานะศิษย์กับอาจารย์ พระใหม่กับพระอุปัชฌาย์ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องเคารพกันไปตลอด การอุ้มชูกันในวงการสงฆ์มีให้เห็นกันมาโดยตลอด เมื่อพระระดับครูอาจารย์ดำรงตำแหน่งสำคัญก็มักจะมีการวางพระในสังกัดของตัวเองขึ้นมาเตรียมจ่อคิวรับตำแหน่งต่อ หรือส่งเสริมให้เข้ารับตำแหน่งสำคัญ ๆ ในส่วนอื่น ซึ่งไม่แตกต่างจากแวดวงข้าราชการ ทหารและตำรวจ

ยิ่งการได้ ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่อย่างนายมานัส ทารัตน์ใจ ที่ควบทั้งอธิบดีกรมการศาสนา มาดูแลแทนพงศ์พร ย่อมทำให้พระผู้ใหญ่สบายใจไม่น้อย ศิษย์เก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สายพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารและอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ กรรมการมหาเถรสมาคม ย่อมทำงานเข้ากับมหาเถรสมาคมได้ดี ตามคุณสมบัติที่รองนายกฯ วิษณุ ต้องการ

จากที่เคยบวชเณรวัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็น 1 ใน 12 วัดที่ถูกตรวจสอบเรื่องเงินทอนวัด บวชพระที่วัดเบญจมบพิตร เรียนบาลีที่วัดสระเกศ จบปริญญาตรีและเป็นอาจารย์ที่มหาจุฬาฯ ถือว่าเป็นสายวัดโดยตรง ไม่มีข้อสงสัยเรื่องการทำงานร่วมกับพระผู้ใหญ่ แต่เป็นห่วงว่าเรื่องการตรวจสอบเรื่องเงินทอนวัด โอกาสที่จะสานต่อจาก ผอ.สำนักพุทธฯ คนเดิมคงมีความเป็นไปได้น้อย

คนใหม่พระผู้ใหญ่ไม่ค้าน

เป็นอันว่าไม่มีเสียงคัดค้านใด ๆ จากพระชั้นผู้ใหญ่และสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่ ถูกใจสายพระผู้ใหญ่แน่นอน เห็นได้จากเพจของสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย โดยนายกรณ์ มีดี เลขาธิการฯ ได้ออกมาโพสต์เมื่อ 5 กันยายน 2560 ว่า

“ถูกต้องแล้วคร้าบบบ!! ผู้บัญชาการเหล่าทัพมาจากโรงเรียนนายร้อย จปร. ย่อมเหมาะสมฉันใด ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มาจากมหาเปรียญลาพรต ย่อมเหมาะสมฉันนั้น ใครเล่า จะรู้ลึกการปกครองและบริหารงานในเรื่องของกองทัพดีเท่าผู้ที่ผ่านนักเรียนนายร้อย จปร. การดูแลคณะสงฆ์ การสนองงานคณะสงฆ์ ก็เช่นกัน ย่อมไม่มีใครรู้ลึกเท่ามหาเปรียญลาพรต นั่นเอง”

ดังนั้นสถานการณ์จากนี้ไปเรื่องของวัดกับสำนักพุทธฯ คงเป็นเหมือนเดิมในยุคก่อนที่พงศ์พรจะเข้ามารับตำแหน่ง เพราะเงื่อนไขสำนักพุทธฯ มีหน้าที่รับใช้พระ ส่วนเรื่องการตรวจสอบการทุจริตต่าง ๆ ที่อยู่ในมือของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) คงต้องขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
สมาพันธ์ชาวพุทธฯ เห็นด้วยที่ มานัส ทารัตน์ใจ เป็น ผอ.สำนักพุทธฯ
ส่งเชลยลงดงเสือ

แต่สิ่งที่น่าจับตามองนั่นคืองานใหม่ของพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในฐานะผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีที่ถูกมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ 5 จังหวัด สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นคือการให้รางวัลกับข้าราชการที่มีผลงานดี ทุกคนทราบกันดีว่านี่ไม่ต่างจากการลงโทษขั้นรุนแรง

อย่าลืมว่าที่ผ่านมาพงศ์พรเกี่ยวข้องกับคดีวัดพระธรรมกายเมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อได้รับมอบหมายให้มาเป็น ผอ.สำนักพุทธฯ มีทั้งเรื่องการตรวจสอบเงินทอนวัดและทุจริตในโรงเรียนพระปริยัติธรรม และในระหว่างนั้นถูกพระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท วัดเบญจมบพิตร ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เมื่อ 17 มิถุนายน 2560 หลังจากที่พงศ์พรทำหนังสือเตือนจากการใช้สื่อออนไลน์สร้างความแตกแยกระหว่างศาสนา พื้นที่ดังกล่าวถือเป็นถิ่นของพระมหาอภิชาติโดยตรง

ประการต่อมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นั้น ทางวัดพระธรรมกายมีกิจกรรมถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ 323 วัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา โดยล่าสุดคือ 24 มิถุนายน 2560 วัดพระธรรมกายจัดขึ้นเป็นปีที่ 13 ครั้งที่ 127 และยังมอบกองทุนหนุนแรงใจช่วยครูใต้ ปีที่ 10 ครั้งที่ 92 จำนวน 412 กองทุน

พูดง่าย ๆ วัดพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่อยู่ในสายของธรรมกายเกือบทั้งหมด เพราะวัดพระธรรมกายเข้ามาช่วยเหลือด้านเงินทองทุกปี เห็นได้จากการเดินทางมาให้กำลังใจพระธัมมชโยในช่วงที่เกิดวิกฤตกับวัดพระธรรมกาย และยังมอบเงินให้ครูในพื้นที่ต่อเนื่องกันอีก 10 ปี ดังนั้นพื้นที่ในการทำงานของผู้ตรวจราชการคนใหม่ ย่อมต้องลงไปในเขตอิทธิพลของวัดพระธรรมกาย

แน่นอนว่าเรื่องของความร่วมมือในการทำงานคงจะมีปัญหาแน่นอน เพราะทั้งพระและครูที่ได้รับการช่วยเหลือจากวัดพระธรรมกาย ถือว่าเป็นผู้นำชุมชนที่สามารถบอกกล่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปยังกลุ่มคนที่เคารพและศรัทธาได้อย่างเห็นผล

ดังนั้นการทำงานในตำแหน่งนี้ของพงศ์พรในพื้นที่ดังกล่าวย่อมเป็นไปอย่างลำบากกว่าผู้ตรวจคนอื่น
วัดพระธรรมกายจัดพิธีถวายสังฆทานแด่สงฆ์ชายแดนใต้ ปีที่ 13 ครั้งที่ 127 นราธิวาส
ศรัทธาขาลง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโยกย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในครั้งนี้มีผลต่อความศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่หลายฝ่ายที่เคยสนับสนุนแม้ต้องอดทนกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ โดยที่ก่อนหน้านี้ปฏิบัติการปิดล้อมวัดพระธรรมกายเพื่อนำตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีก็ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะใช้มาตรา 44 แล้วก็ตาม

ที่น่าจะทำเอารัฐบาลเสียหายไปค่อนข้างมากนั่นคือการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาเมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกับคาดหมายกันว่ามีการหลบหนีออกนอกประเทศ

ตามมาด้วยเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่อุทธรณ์คดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 คือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ (น้องชายพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ)

นี่คือวิกฤตศรัทธาที่เพิ่มขึ้นต่อรัฐบาลชุดนี้ แถมมีกรณีของพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ยิ่งเป็นอีกตัวเร่งหนึ่งที่ทำให้กองหนุนหลายราย เริ่มมาต่อว่าต่อขานพลเอกประยุทธ์มากขึ้นทุกขณะ

กำลังโหลดความคิดเห็น