xs
xsm
sm
md
lg

พระชั้นผู้ใหญ่จับมือคว่ำบาตร ผอ.พศ.-กระทบชิ่งรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระชั้นผู้ใหญ่เปิดหน้าขับ ผอ.สำนักพุทธฯ อ้างเหตุทำศาสนาเสื่อมเสีย จับพิรุธหลังตำรวจแตะเงินทอนวัดปากน้ำ สวมบทองค์กรพระสังฆาธิการคว่ำบาตร เจ้าคุณพิพิธหัวหอกชน วัดใหญ่ในเครือเมินพงศ์พร เหมือนไร้ตัวตน หวังกระทบชิ่งไปถึงรัฐบาล พบพระชั้นเทพ-พรหม-สมเด็จ ที่ออกโรงต้านแน่นแฟ้นวัดปากน้ำ-ธรรมกาย แถมบางรูปเคยหนุนคนเสื้อแดง

หนักขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการตอบโต้การตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัด ที่มีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป.เป็นทีมหลักในการเข้าไปตรวจสอบตามวัดต่างๆ และพบการทุจริตเงินงบประมาณระหว่างทางวัดกับข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในหลายวัด พร้อมทั้งขยายการตรวจสอบออกไปถึงวัดดังในกรุงเทพมหานคร

อาการไม่เห็นด้วยเริ่มมาตั้งแต่ 16 มิถุนายน 2560 ที่พระชั้นผู้ใหญ่อย่าง พระเทพปฏิภาณวาที หรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ออกมาให้สัมภาษณ์เป็นเรื่องของระบบข้าราชการไม่ใช่มาโทษพระ

ในวันเดียวกัน พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท สังกัดวัดเบญจมบพิตร ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง หลังจากได้รับหนังสือเตือนเนื่องจากพระมหาอภิชาติ ออกมาตอบโต้สื่อของศาสนาอื่น

จากนั้น วัดพระธรรมกาย ออกโรงตอบโต้ พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า สำนักพุทธฯ ไม่มีอำนาจตรวจสอบบัญชีวัดทั่วประเทศ และมีแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ขององค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยประกาศจะไม่รับเงินอุดหนุนใดๆ จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อ 20 มิถุนายน 2560

รุกรอบ 2 ขอเปลี่ยนตัว ผอ.สำนักพุทธฯ

ทิ้งระยะเวลาไม่นานนัก เจ้าคุณพิพิธ ก็ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อ 10 กรกฎาคม 2560 โดยกล่าวตำหนิการทำงานของผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ จนกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระสังฆาธิการ กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ตามมาด้วยแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ขององค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย เมื่อ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื้อหาไม่แตกต่างไปจากคำสัมภาษณ์ของเจ้าคุณพิพิธ ครั้งนี้ตำหนิไปที่การทำงานของพงศ์พร พราหม์เสน่ห์ โดยตรง และเพิ่มการตอบโต้เข้มข้นขึ้นถึงขั้นเสนอให้มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนนี้

องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยจึงแถลงการณ์มาเพื่อให้วัดทุกวัด และโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญทุกแห่ง ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศจะขึ้นป้ายไม่ขอรับเงินอุดหนุนใดๆ จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำ พศ. หรือผู้นำ พศ.แสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เชิงประจักษ์เสียก่อน โดยไม่กระทำเพียงหวังสร้างเครดิตให้ตนเองเท่านั้น
พิธีสวดถวายพระราชกุศล ณ วัดเทพศิรินทราวาส 13 กรกฎาคม 2560(ภาพจาก alittlebuddha.com)
ไม่สังฆกรรมสำนักพุทธฯ

ปฏิบัติการตอบโต้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจากวัดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร วัดเหล่านี้มีพระผู้ใหญ่เป็นกรรมการในมหาเถรสมาคม อย่างที่วัดเทพศิรินทร์ ในงานพิธีสวดถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อ 13 กรกฎาคม 2560 ผอ.สำนักพุทธฯ ไปร่วมพิธีด้วย แต่ไม่มีการเชิญเข้าร่วมกิจกรรมในพิธี วัดดังกล่าว มีสมเด็จพระธีรญาณมุนี เป็นเจ้าอาวาส

นอกจากนี้ยังมีการออกใบปลิวโจมตี ผอ.สำนักพุทธฯ หรือพระพรหมดิลก เจ้าคุณเอื้อน เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ก็ออกมาตำหนิการทำงานของ ผอ.สำนักพุทธฯ เช่นกัน

จนทำให้ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีต้องหารือกับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. ถึงเรื่องการทำงานต้องใช้ความระมัดระวัง รอบคอบ รัดกุมในการทำงานกับคนหมู่มาก แต่ยังให้ ผอ.พศ.ทำงานต่อไป เพราะทำงานตามกฎหมาย เช่นเดียวกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ยังชื่นชมการทำงานของ ผอ.สำนักพุทธฯ

จัดหนักหลังเริ่มแตะวัดปากน้ำ

ลองไล่วันเวลาดูดีๆ ก็จะเห็นว่า เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร หลังจากที่มีรายชื่อ 12 วัดถูกเปิดเผยออกมาว่า พบทุจริตเงินทอน ช่วงเดือนมิถุนายนทางตำรวจ ปปป.ได้เข้าตรวจวัดใหญ่ในกรุงเทพมหานครหลายแห่ง จนนำมาซึ่งความสงสัยในวัดบำเพ็ญเหนือ และวัดราชสิทธาราม

หนึ่งในวัดที่ทางตำรวจขอเข้าตรวจสอบนั้นมีวัดปากน้ำรวมอยู่ด้วย แต่มีการขอเลื่อนนัดเจ้าหน้าที่มาเป็นวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 และก็มีการขอเลื่อนนัดอีกครั้งอย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งย้ายน.ส.ประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าไปสังกัดคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เมื่อ 11 กรกฎาคม หลังจากนั้นก็มี เจ้าคุณพิพิธและองค์กรพระสังฆาธิการออกมาเคลื่อนไหวอีกรอบ

เมื่อมีการตรวจสอบองค์กรพระสังฆาธิการ ไม่พบว่ามีพระรูปใดเป็นแกนนำ หรือมีสมาชิกเป็นท่านใดบ้าง และองค์กรดังกล่าวก็ไม่มีอยู่ในวงการของพระสงฆ์ แต่ที่น่าแปลกใจนั่นคือ คำให้สัมภาษณ์ของเจ้าคุณพิพิธ ตรงกับเนื้อหาส่วนใหญ่ในแถลงการณ์ฉบับที่ 2

นอกเหนือจากการไม่ขอรับเงินสนับสนุนจากสำนักพุทธฯ แล้ว ท่านเจ้าคุณยังกล่าวว่า ทางคณะสงฆ์ไม่หยุดแค่นั้น มีการรวมตัว และเห็นว่าต่อไปกิจกรรมใดก็ตามที่ทางคณะสงฆ์จัดขึ้นจะไม่เชิญผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เข้าร่วมอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ไม่มีเรื่องของการตัดสำนักพุทธฯ ออกจากกิจกรรมของวัด แต่ปรากฏว่า เกิดเหตุการณ์ที่หลายวัดใหญ่ในกรุงเทพฯ ไม่เชิญผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ เข้าร่วมพิธี แม้ตัวผู้อำนวยการฯ จะเดินทางไปในงานกิจกรรมของวัด เช่น วัดเทพศิรินทร์ ก่อนหน้านี้ก็มีอีกหลายวัดที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันก็ปฏิบัติเช่นนี้กับ ผอ.สำนักพุทธฯ ซึ่งเป็นวัดใหญ่ทั้งสิ้น
แถลงการณ์องค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย ฉบับที่ 2/2560
ผอ.สำนักพุทธฯ แค่เป้ารอง

เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่ผ่านมาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำงานสนองงานของมหาเถรสมาคมเป็นหลัก จึงไม่เกิดความขัดแย้งกับพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคม แต่ในรัฐบาลนี้ได้เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการด้วยมาตรา 44 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 เมื่อมีการตรวจสอบเรื่องเงินทอนตามวัดต่างๆ ทำให้กระทบต่อพระหลายรูป

แหล่งข่าวจากวงการพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ถ้าวัดใดไม่เกี่ยวข้องต่อการทุจริตดังกล่าวก็ไม่น่าจะต้องเดือดร้อน เพราะการสร้างความโปร่งใสถือเป็นเรื่องที่ดี ที่สำคัญการตรวจสอบในเรื่องเงินทอนวัดนั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ไม่ใช่สำนักพุทธฯ แต่พระชั้นผู้ใหญ่กลับพุ่งเป้าถล่มที่ตัว ผอ.สำนักพุทธฯ

หากย้อนกลับไปดูเส้นทางการทำงานของ พันตำรวจโทพงศ์พร พราหม์เสน่ห์ ในยุคที่ทำงานให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หลายคดีเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง รวมทั้งคดีรถโบราณของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และอยู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในช่วงที่มีการตรวจสอบวัดพระธรรมกาย จากกรณีร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจรจากการทุจริตในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

นี่จึงเป็นอีกปมหนึ่งที่พระในสายของวัดปากน้ำ และวัดพระธรรมกาย เฝ้าจับตามองการทำงานของ ผอ.สำนักพุทธฯ คนนี้เป็นพิเศษ ดังนั้น ปฏิบัติการกดดันจึงรุกคืบถึงขั้นเสนอให้มีการเปลี่ยนตัว ผอ.สำนักพุทธฯ

“จริงๆ แล้วเขาอยากให้ไปถึงเปลี่ยนรัฐบาล ผอ.สำนักพุทธฯ เป็นแค่ด่านหน้าที่ยกขึ้นมาอ้างเท่านั้น หากรัฐบาลทำตามข้อเรียกร้องของพระสังฆาธิการจริง ก็เท่ากับลดความศักดิ์สิทธิ์ของมาตรา 44 ลง ซึ่งวัดพระธรรมกาย ทำสำเร็จมาแล้วที่ไม่สามารถนำตัวพระธัมมชโย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้”
พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา วรวิหาร(ภาพจาก kalyanamitra.org)
ปากน้ำ-ธรรมกาย-เสื้อแดง

วันนี้ถือว่าพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปเปิดหน้าเปิดตัวกันออกมาแล้วว่าอยู่ภายใต้ปีกใด จากเดิมที่ค่อนข้างคลุมเครือไม่ชัดเจนกับบทบาท และท่าทีของท่าน เจ้าคุณพิพิธ อยู่ในสายที่สนับสนุนสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช และยังเคยทักท้วงการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย

พระพรหมดิลก เจ้าคุณเอื้อน เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เป็นพระผู้ใหญ่ มีตำแหน่งในมหาเถรสมาคมอีกรูปที่ออกมาตำหนิการทำงานของ ผอ.สำนักพุทธฯ ถูกหลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุว่า เป็นผู้ที่สนับสนุนคนเสื้อแดง และชื่นชมยกย่องพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทร์ ที่ไม่เชิญ ผอ.สำนักพุทธฯ เข้าร่วมในพิธีกรรมของทางวัด และพบใบปลิวโจมตีการทำงานของสำนักพุทธฯ

และยังมีอีกหลายวัดใหญ่ที่เจ้าอาวาสมีตำแหน่งในมหาเถรสมาคม และอยู่ในสายสัมพันธ์เดียวกับวัดที่กล่าวถึงมาข้างต้น รวมไปถึงองค์กรพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทย ที่แถลงการณ์ที่ออกมานั้นไม่แตกต่างไปจากคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์

เมื่อย้อนกลับไปในช่วงที่วัดพระธรรมกายเกิดวิกฤตก็พบว่า มีเครือข่ายพระสังฆาธิการแห่งคณะสงฆ์ไทยออกมาแสดงจุดยืนปกป้องวัดพระธรรมกาย ด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าพระชั้นผู้ใหญ่ที่เปิดหน้าเคลื่อนไหวในครั้งนี้ มักมีความสัมพันธ์กับวัดปากน้ำ ที่ท่านเจ้าอาวาสเคยประกาศเป็นวัดพี่วัดน้องกับวัดพระธรรมกาย เมื่อวัดใดวัดหนึ่งประสบเหตุ เครือข่ายพระชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ต่างออกมาช่วยกันเพื่อระงับเหตุ ไม่เพียงแค่เรื่องระหว่างวัดกับวัดเท่านั้น แต่ยังพบเห็นเรื่องพระชั้นผู้ใหญ่กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่โยงไปยังพรรคการเมืองบางพรรคได้

กำลังโหลดความคิดเห็น