xs
xsm
sm
md
lg

ตะลึงความยิ่งใหญ่คิงเพาเวอร์ หลักฐานมัด “ทุจริต” แต่เอาผิดไม่ได้!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แฉอภิมหาอำนาจ “คิง เพาเวอร์” ที่ทีมงานปราบปรามทุจริตได้มีการขุดคุ้ย ต่อสู้กันมาหลายรัฐบาล แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ ทั้งที่ข้อมูลหลักฐานแน่นปึ้ก ถึงยุคบิ๊ก คสช.มีการชงข้อมูลหลักฐานที่ทำให้ภาครัฐเสียผลประโยชน์มหาศาล เข้าสู่ที่ประชุม สปท.ผลปรากฏว่า การประชุมครั้งที่ 2 เรื่องทุจริตของคิวเพาเวอร์ ถูกถอดออกจากแฟ้มการประชุม ด้าน “พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป” นายทหารคนสนิทป๋าเปรม ทนไม่ได้ส่งข้อมูลทุจริตให้กับ “บิ๊กตู่” ขณะที่ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ แนะผู้ถือหุ้นรายย่อยใน AOT ฟ้องฐานทำให้เสียประโยชน์ แจงตระกูลศรีวัฒนประภา เจ้าพ่อคิวเพาเวอร์ ถือหุ้นใน AOT กว่า 20 ล้านหุ้น วัดใจนายกฯ จัดการปัญหานี้ หวั่นเรื่องเงียบเหมือนรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา

คิง เพาเวอร์ ชื่อนี้คนไทยทราบดีว่าเป็นเจ้าของกิจการร้านค้าปลอดภาษีเพียงรายเดียวในสนามบินของไทย และยังเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ของอังกฤษ ซึ่งฤดูกาลที่ผ่านมาสร้างความมหัศจรรย์ด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาได้ชนิดหักปากกาเซียน แถมยังเข้าซื้อกิจการธุรกิจการบินของไทยแอร์เอเชียอีก 39% เมื่อปีที่ผ่านมา

นับเป็นความสำเร็จของคิง เพาเวอร์ ด้านการลงทุนทั้งเรื่องฟุตบอลและการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจด้านการบิน

สำหรับกิจการหลักของคิง เพาเวอร์ คือการได้รับสัมปทานจากการท่าอากาศยานไทยให้เข้าบริหารพื้นที่สินค้าปลอดภาษีทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินตามหัวเมืองใหญ่ เดิมทีสัมปทานจะสิ้นสุดในวันที่ 27 กันยายน 2559 แต่ได้รับการอนุญาตให้ระยะเวลาขยายสัมปทานออกไปเป็น 27 กันยายน 2561 และขยายอีกครั้งเป็นสิ้นสุด 27 กันยายน 2563

แม้ที่ผ่านมาจะมีผู้ประกอบการรายอื่นที่แสดงความสนใจในธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี อย่างกลุ่มล็อกซเล่ย์ และกลุ่มเซ็นทรัล แต่ก็ไม่สามารถชนะการประมูลได้

ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีของคิง เพาเวอร์ ไม่ได้มีเพียงแค่ในสนามบินเท่านั้น แต่ยังมีร้านค้าที่ตั้งอยู่ในเมืองอย่างเช่น ที่ซอยรางน้ำ ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อีก เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าผู้ที่เตรียมตัวเดินทางอีกช่องทางหนึ่ง
ร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน
ซื้อได้จริงไม่ต้องใช้พาสปอร์ต

แต่กิจการร้านค้าปลอดภาษีในเมืองของคิง เพาเวอร์ ก็เจอปัญหา หลังจากที่มีลูกค้าบางรายสั่งซื้อสินค้าโดยไม่ต้องมีตั๋วโดยสารและพาสปอร์ต จนมีการนำเอาเรื่องดังกล่าวไปขยายความ โดยนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ดำเนินรายการ “ลงเอย อย่างไร” ตอน ของเถื่อน ภาษีเถื่อน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2553 และเป็นเหตุให้ทางคิง เพาเวอร์ ได้ฟ้องนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและพิธีกรชื่อดังในข้อหา “ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา”

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2556 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยนำคลิปวิดีโอการสั่งซื้อสุรา ไวน์ หลายลังจากบุคคลหนึ่ง โดยไม่ต้องมีหนังสือเดินทางและตั๋วเครื่องบิน ซึ่งสินค้าทั้งหมดถูกใส่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีชื่อบริษัทของโจทก์ติดอยู่ที่ถุงและมีผู้นำมาส่งให้ถึงบ้าน จึงเชื่อว่าสามารถสั่งซื้อสินค้าปลอดอากรจากบริษัทของโจทก์ได้จริง เป็นการพิสูจน์ได้ว่าคำพูดที่จำเลยกล่าวในรายการเป็นเรื่องจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 330 การกระทำของจำเลย จึงได้รับยกเว้นโทษความผิดฐานหมิ่นประมาท

บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา “ยืนตามศาลชั้นต้น” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2559 และมีการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาอีก โดย 3 สิงหาคม 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องคดี

สปท.ชำแหละคิง เพาเวอร์

ถัดมามีรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กรณีศึกษาโครงการของรัฐที่เสียเปรียบภาคเอกชน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของร้านค้าปลอดภาษีของคิง เพาเวอร์ โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา ซึ่งมีการแถลงข่าวเมื่อ 8 มิถุนายน 2559 ระบุว่า

บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ไม่ได้เป็นผู้ซื้อซองประกวดราคา ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเชิงเทคนิค หรือขั้นตอนการประกวดใดๆ คณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT อนุมัติเพื่อเซ็นสัญญากับบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แต่กลับลงนามในสัญญากับ บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด ทั้งที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทก่อนมีการลงนามสัญญา 2 วัน ถือเป็นสัญญาที่โมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และผิดกฎหมายหลายฉบับ ก่อให้เกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท เป็นเรื่องของการเรียกทรัพย์สินบางส่วนที่เสียหายไปคืนหลายหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้คณะอนุกรรมาธิการฯ สรุปผลการตรวจสอบในประเด็นกรณีศึกษาสัญญาเช่าพื้นที่พบว่า บริษัทท่าอากาศยานไทย ร่วมกับบริษัท คิง เพาเวอร์ กระทำผิดตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ 2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการทำสัญญาเช่าพื้นที่ โดยมีพยานหลักฐานที่สำคัญ คือ คำฟ้องของบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่ระบุว่าบริษัทได้ลงทุนตบแต่งร้านค้าทั้งในส่วนของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี มีมูลค่าการลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท และบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ลงทุนตบแต่งร้านค้าอีก 1,700 ล้านบาท

การกระทำความผิดต่อกฎหมายระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย กับ คิง เพาเวอร์ ทำให้รัฐเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 21,000 ล้านบาท และทำให้เกิดการผูกขาดสัญญามีอำนาจเหนือรัฐ อีกทั้งบริษัท ท่าอากาศยานไทยต้องได้รับผลตอบแทนจากการขายสินค้า 15% ใน 5 ปีแรก จากนั้นต้องปรับเพิ่มอีกทุกปี ปี ละ 1% แต่การกระทำของ ทอท.และคิง เพาเวอร์ มีการหลบเลี่ยงสัญญา เพราะ คิง เพาเวอร์ ขายสินค้านอกสนามบิน แต่มาส่งมอบสินค้าที่เคาน์เตอร์สนามบินโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนตามสัญญา

อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังไม่มีการติดตั้งระบบขายหน้าร้าน หรือ พีโอเอส (Point of sale) คือจุดขาย หรือจุดชำระเงินที่แคชเชียร์ ที่ควบคุมสต๊อกสินค้า โดยเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถตรวจสอบยอดขายสินค้าในร้านไปในตัวทันที (เรียลไทม์) เพื่อรายงานผลการตรวจสอบการดำเนินกิจการร้านค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ว่าถูกต้องตามที่รายงานหรือไม่

เป็นเหตุให้คิง เพาเวอร์ ฟ้องนายชาญชัยในความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 393

โดยที่ผลการศึกษาดังกล่าวก่อนที่จะถูกส่งให้กับนายกรัฐมนตรีนั้น ภายใน สปท.เองก็มีสมาชิกบางรายพยายามที่จะถอดเรื่องของคิง เพาเวอร์ออกมาแล้วรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายเรื่องของคิง เพาเวอร์ ก็ถูกบรรจุเข้าไปและส่งไปถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำเร็จ

ทั้งนี้ผลการศึกษาดังกล่าวได้ส่งให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปแล้ว ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
เนวิน ชิดชอบ และวิชัย ศรีวัฒนประภา
ถือหุ้นคู่สัญญา-แนะรายย่อยฟ้อง

เป็นอันว่าผลการศึกษาชิ้นนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือรัฐบาล แทนที่จะได้เม็ดเงินนำเข้ารัฐมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของยอดขายสินค้าที่ก่อนหน้านี้ไม่มีการติดตั้งระบบ Point of sale ทำให้ไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริงว่ายอดขายจริงเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากภายใต้สัญญารายได้ของการท่าอากาศยานไทยจะผูกอยู่กับ 15% ที่คิง เพาเวอร์ต้องแบ่งให้

ขณะที่คู่สัญญาอย่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่อยู่ 70% กลับไม่เร่งดำเนินการเพื่อทวงสิทธิประโยชน์ที่เสียไป อีกทั้งผู้ถือหุ้นใน AOT มีคนในตระกูลศรีวัฒนประภาถือหุ้นในอันดับที่ 9 นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ถือหุ้น 11.46 ล้านหุ้น หรือ 0.8% และอันดับ 10 นางสาววรมาศ ศรีวัฒนประภา ถือหุ้น 9.059 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.63%

“ตอนนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเตรียมที่จะฟ้องทางการท่าฯ ในฐานที่ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์จากการทำสัญญากับคิง เพาเวอร์” นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กล่าว
วิชัย ศรีวัฒนประภา และนักฟุตบอล เข้าพบ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสทีมเลสเตอร์ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015/16
ยิ่งยุคนี้มาเต็ม

หากย้อนกลับไปถึงการอนุมัติให้คิง เพาเวอร์ได้สิทธิ์ในการบริหารพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษีนั้น คือ 20 เมษายน 2547 ตรงกับช่วงที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นผู้อนุมัติ ในรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร และการขยายอายุสัมปทานให้กับคิง เพาเวอร์ ตรงกับยุคที่นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากที่กลุ่มเพื่อนเนวิน ชิดชอบ ได้ย้ายมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์จนได้เป็นรัฐบาล

สำหรับหัวเรือใหญ่ของคิง เพาเวอร์ คือนายวิชัย ศรีวัฒนประภา แนบแน่นกับกลุ่มการเมืองโดยเฉพาะกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ แม้ในบางรัฐบาลที่ไม่สบอารมณ์กับกลุ่มของนายเนวินนัก ธุรกิจของคิง เพาเวอร์ก็ฝ่าด่านนั้นมาได้อย่างเช่นพื้นที่ที่สนามบินดอนเมือง ที่ใช้รองรับสายการบินโลว์คอสต์

แม้นักวิเคราะห์ทางการเมืองหลายคนจะประเมินว่าการเข้าซื้อหุ้น 39% ในไทยแอร์เอเชีย เป็นการเตรียมไว้หากคิง เพาเวอร์เกิดการพลาดพลั้งในการประมูลครั้งต่อไป เพราะบนเครื่องบินก็มีบริการขายของปลอดภาษีได้เช่นเดียวกัน แต่หากประเมินสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ คิง เพาเวอร์ อาจยังไม่มีความจำเป็นต้องเปิดดิวตี้ฟรีลอยฟ้า

เนื่องจากในวันนี้ขั้วอำนาจทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์อีกต่อไป แต่น้ำหนักกลับมาอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค แม้ว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีตที่ปรึกษาพรรคจะประกาศเลิกเล่นการเมืองไปแล้วก็ตาม แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าสายสัมพันธ์ในทางทหารของเนวินนั้นไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกับพี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์

แม้กระทั่งคนที่เคยเอ่ยปากว่าเนวินเป็นคนทรยศ ยังต้องยอมมีไมตรีด้วย ไม่ใช่เพียงแค่กาวใจอย่างอนุทิน ชาญวีรกูล เท่านั้น

ดังนั้นผลของการศึกษาในเรื่องของคิง เพาเวอร์ ที่ส่งให้กับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไปแล้วนั้นอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตราบใดที่โครงสร้างหลักของรัฐบาลปัจจุบันยังเป็นอยู่ในเวลานี้ และหากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 แล้วเสร็จและเปิดใช้ ย่อมต้องมีการเปิดประมูลพื้นที่ให้บริการสินค้าปลอดภาษีกันอีก คำถามที่ตามมาคือใครจะได้สัมปทานให้เข้ามาบริหารพื้นที่

กำลังโหลดความคิดเห็น