xs
xsm
sm
md
lg

เปิดข้อเท็จจริง ... ทำไมต้องเอา ปตท. คืนมา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และผู้ฟ้องคดี 4 ราย จัดทำเอกสาร “ข้อเท็จจริงกรณี ปตท. ทำไมต้องเอา ปตท.คืนมา” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลโดยจะแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ (14 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดพิพากษาคดี โดยเนื้อหาของเอกสาร ได้ตอบข้อสงสัย 7 ประเด็นอันเป็นเหตุผลว่า “ทำไมต้องเอา ปตท.คืนมา” คือ 1) องค์กรผู้บริโภคบ้าคลั่งหรือ ? 2) ความเสียหายจากการขายปตท. ขายแล้วขาดทุน ขายทำไม 3) ผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่รัฐบาลทักษิณถึงคุณปิยสวัสดิ์ 4) ปตท. กำไรปีละ 100,000 ล้านบาท ท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน และผลกระทบของภาคธุรกิจจริงๆ

5) การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน 500,000 ล้านบาท ของปตท. เป็นทรัพย์สินของประเทศที่สูญหายไป 6) การแก้พระราชกฤษฎีกา และออกกฎหมายเพื่อล้มล้างความผิด หยุดใช้เทคนิกกฎหมายเพื่ออ้างต่อศาล และ 7) ปตท. ออกจากตลาดแล้วเศรษฐกิจเสียหาย จริงหรือ ?

**บทเกริ่นนำ ทำไมต้องเอาคืน ปตท.

ก่อนฟ้อง ปตท. มีคนสองกลุ่มที่เฝ้ามองว่า องค์กรผู้บริโภค จะฟ้องปตท.เมื่อไหร่ โดยกลุ่มหนึ่งมองด้วยสายตาสนับสนุนและหากไม่มีการฟ้องอาจจะคิดว่ากลุ่มผู้ฟ้องถูกซื้อด้วยเงินก้อนโต จาก ปตท. แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับมองว่า ปตท. ต่างจากกรณี กฟผ. ซึ่งถูกแปรรูปมายาวนานแล้ว หากจะฟ้องร้องจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย

หลังฟ้อง หลังวันนัดฟังคำสั่งตุลาการผู้แถลงคดี ใกล้จะปิดคดี สถานการณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้โทรศัพท์มากมายทั้งชมเชย สนับสนุน บางกลุ่มแนะนำให้มูลนิธิฯ ระดมทุนจากประชาชนทั่วประเทศร่วมกันออกเงินซื้อปตท.คืน โทรศัพท์บางสายก็ต่อว่าต่อขานว่ากำลังทำให้เศรษฐกิจเสียหาย หรือแม้แต่สื่อมวลชนบางฉบับ เช่น

“เจตนาดีที่บ้าคลั่ง” จุดยืนมูลนิธิฯ เป็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น วันที่ 3 ธันวาคมนี้ หลังจากศาลได้นัดฟังคำสั่งของตุลาการผู้แถลงคดี ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

หรือแม้แต่คอลัมน์ “ลมเปลี่ยนทิศ” ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 3 ธันวาคม ที่พูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หากปตท. จะถูกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์

การฟ้องครั้งนี้ จึงมีความหมายและมีความสำคัญ เพราะท้าทายสามัญสำนึก จริยธรรมพื้นฐานของสังคมไทยว่า ยังยึดมั่นในความเป็นธรรมทางกฎหมายมากน้อยเพียงไร หรือพร้อมจะใช้ข้ออ้างประเด็นทางเศรษฐกิจระยะสั้นของคนกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมาแลกกับความเป็นธรรมทางกฎหมายกันแน่ ผู้ฟ้องคดีเชื่อว่า คดี ปตท. จะให้บทเรียนที่สำคัญกับนักการเมืองและข้าราชการที่ฉ้อฉลว่า การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องจะพ่ายแพ้ต่อความเป็นธรรมทางกฎหมายในที่สุด

ไม่อย่างนั้นแล้ว ก็ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เพราะคนจำนวนไม่น้อย คิดว่าเรื่องมันล่วงเลยมานานแล้ว ถึงแม้จะมีความผิดพลาดก็ช่วยๆ กันไป เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของคนมีอำนาจทางเศรษฐกิจโดยผู้กระทำการทั้งหลายที่สร้างความเสียหายต่อประเทศไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ เป็นเพราะเราคิดกันแบบนี้หรือไม่ ทำให้ความฉ้อฉลของผู้มีอำนาจรัฐถึงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างสง่างามมาโดยตลอด แม้แต่การแปรรุป กฟผง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายยังไม่เห็นว่า จะมีใครรับผิดชอบกับความผิดที่เกิดขึ้น

ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00 น. จะเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมไทย ไม่ว่าผลของคดีจะถูกตัดสินออกมาเช่นไร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ขอน้อมรับคำตัดสินนั้น

**องค์กรผู้บริโภคบ้าคลั่งหรือ ?

พวกเราไม่ใช่พวกบ้าคลั่ง แต่หากจะกล่าวว่า เป็นพวกสู้ไม่ถอยต่อความไม่ถูกต้องเห็นจะถูกต้องที่สุด การฟ้องคดี กฟผ. ในอดีต ก็ถูกบอกว่าผีจะลงหลุมแล้วทำไมขุดขึ้นมาอีก

ประชาธิปไตย ไม่ใช่การไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น แต่ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ติดตาม ตั้งคำถามต่อความไม่ถูกต้อง และหาผู้รับผิดชอบที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตลอดจนทำให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะ เศรษฐกิจ สังคม การดำเนินการแปรรูป กฟผ. เป็นเพียงการแปรทรัพย์สมบัติสาธารณะให้กลายเป็นทรัพย์สินเอกชนที่ยังคงอำนาจผูกขาด

หากเป็นประเทศอื่นๆ คงได้เห็นความรับผิดชอบด้วยการลาออกของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องให้ทหารมาทำการรัฐประหาร รวมถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและครอบครัวในหลายรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการปรับโครงสร้างถาวรในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจทั้งหลายที่ควรมีองค์ประกอบของนักวิชาการและตัวแทนผู้บริโภค

แต่สิ่งที่ได้มาจากการฟ้องคดีในครั้งนั้น คือ การสนับสนุนกำลังกาย กำลังใจ และงบประมาณ จากผู้คนผู้บริโภคทุกสารทิศ ทั้งในและต่างประเทศ และนับเป็นการฟ้องที่มีผู้ร่วมฟ้องคดีมากที่สุด ถึง 2,038 คน

กรณีการแปรรูป ปตท. ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้บริโภคทั้งระบบสาธารณูปโภคของประเทศ ระบบเศรษฐกิจ สายพานการผลิต ราคาสินค้า ฯลฯ เมื่อพบว่า มีข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง การใช้สิทธิในกระบวนการศาลเพื่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งที่องค์กรและพลเมืองประชาชนคนเล็กคนน้อย พึงมีสำนึกเข้าร่วมกระทำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางกฎหมาย ซึ่งเป็นความมั่นคงที่แท้จริงต่อสังคมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

**ความเสียหายจากการขาย ปตท. ขายแล้วขาดทุน ขายทำไม

1. การตีมูลค่าทรัพย์สิน การขายหุ้นในราคาต่ำมาก ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศไม่น้อยกว่า 190,000 ล้านบาท

หุ้นปตท. เมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ราคาปิดตลาดอยุ่ที่ 380 บาทต่อหุ้น แต่เมื่อปี 2544 ถูกรัฐบาลทักษิณ นำออกไปขายในราคาเพียง 35 บาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2549 วันที่มูลนิธิและพวก อีก 4 คน ฟ้องคดี หุ้นปตท. ราคา 236 บาท

ขายหุ้นทั้งหมด 25 เปอร์เซ็นต์ ของปตท. เมื่อปี 2544 เป็นจำนวน 800 ล้านหุ้น ในราคา 35 บาทต่อหุ้น จะได้เงินสูงสุดไม่เกิน 28,000 ล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงคือ รัฐและประชาชนถูกโกงไปมากกว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น เพราะ

1) ก่อนกำหนดราคาหุ้นของ ปตท. มีการแก้บัญชีย้อนหลัง ทำให้ทุนและกำไรสะสมของ ปตท. จำนวน 50,121 ล้านบาท ถูกลดเหลือเพียง 14,441 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินของ ปตท. เมื่อเป็นรัฐวิสาหกิจหายไปถึง 36,000 ล้านบาท สินทรัพย์ที่หายไปมีมูลค่ามากกว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น

2) เงินที่ได้จากการขายหุ้น ต้องจ่ายให้บริษัทผู้ขายหุ้น 800 ล้านบาท

3) ประกาศจ่ายเงินปันผลก่อนขายหุ้นว่าภายใน 3 เดือน จะปันผลหุ้นละ 2 บาท แม้จะยังไม่ได้คำนวณผลประกอบการเป็นเงิน 1,600 ล้านบาท

4) ขายหุ้นให้พนักงานและผู้บริหารในราคาพาร์ 10 บาท จำนวน 48 ล้านหุ้น ถือเป็นกติกาขององค์กร แต่นี่คือการนำสมบัติชายมาแบ่งปันกันมิใช่หรือ ซึ่งฝ่ายบริหารได้อาศัยการแบ่งหุ้นให้พนักงานระดับล่างของปตท. เป็นเกราะกำบังในการได้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัติชาติมากกว่าพนักงานทั่วไป ผู้ว่า ปตท. ขายหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้ได้เงินมากกว่า 100 ล้านบาท โดยซื้อหุ้นราคาพาร์เพียงหุ้นละ 10 บาท (ซึ่งในช่วงที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับราคา 350 – 380 บาท ซึ่งเท่ากับขายในราคาที่สูงกว่าราคาพาร์ถึง 3,400-3,700%)

5) การประเมินมูลค่าบริษัทในเครือปตท. ซึ่งรัฐวิสาหกิจ ปตท. เคยลงทุนบริษัทในเครือจำนวน 63,672 ล้านบาท กลับถูกตีมูลค่าติดลบ 5,190 ล้านบาท เท่ากับยกบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจ ปตท. ให้ฟรีแล้วยังแถมเงินให้อีก 5,190 ล้านบาท

เมื่อรวมการประเมินลดมูลค่าทรัพย์สิน ปตท. ทั้งหมด ปรากฏว่า มีจำนวนถึง 106,008 ล้านบาท เทียบกับการขายหุ้น ปตท. ได้เงินสูงสุดไม่เกิน 28,000 ล้านบาท เท่ากับการขายรัฐวิสาหกิจ ปตท.แบบขาดทุน คำถามคือ ขายทำไม ?

การขายหุ้นในราคาต่ำมาก ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศไม่น้อยกว่า 190,000 ล้านบาท สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากข้อเท็จจริงที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 33 บาทต่อหุ้น (ราคาขายหุ้นละ 35 บาท โดยประกาศล่วงหน้าว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 2 บาท หลังขายหุ้นเพียง 3 เดือน) กลายเป็น 195 บาทต่อหุ้น (ธันวาคม 2546) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 6 เท่าตัวในเวลา 2 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการแก้บัญชีย้อนหลัง ทั้งการประเมินราคาก็เกิดขึ้นโดยร่วมกันทั้งความคิดและการกระทำระหว่างผู้ดูแลทรัพย์สินที่ไม่ใช่เจ้าของ กับตัวแทนจัดจำหน่ายหุ้น

2. การแปรสภาพ ปตท. ได้เปิดทางการคอร์รัปชั่นให้ขยายรูปแบบและทวีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ภายหลังการแปรรูป ยังได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมือง

โดยในอดีต ธุรกิจที่มีการก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนมักเป็นบริษัทขนาดเล็ก สำนักงาน ป.ป.ช. ได้กำหนดให้นักการเมืองที่มาบริหารบ้านเมืองให้ถือหุ้นไม่เกิน 5% ในบริษัทต่างๆ แต่ในปัจจุบัน บมจ. ปตท. มีมูลค่ากิจการสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งหากให้นักการเมืองถือหุ้นได้ 5% จะหมายความว่านักการเมืองจะสามารถถือหุ้นได้ 50,000 ล้านบาท บมจ.ปตท. จึงกลายเป็นบริษัทที่ทำให้รูปแบบการกระจายผลประโยชน์ของบริษัทธุรกิจพลังานไปสู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงอย่างกว้างขวางและมูลค่ามหาศาล เพื่อหวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นมากกว่าการรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ สาธารณะ และประชาชน

ผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณถึงคุณปิยสวัสดิ์

1. เอื้อประโยชน์ให้กับญาติ พรรคพวก นักการเมืองและเครือข่าย

การจัดสรรขายหุ้นบริษัท ปตท. ซึ่งเป็นสมบัติของชาติและของประชาชนทุกคน มีการจัดสรรในลักษณะอภิสิทธิ์ จำนวน 47,245,725 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ต่ำกว่าราคาขายทั่วไปหุ้นละ 35 บาท และในการจัดสรรหุ้นที่ขายให้กับประชาชนทั่วไป ประชาชนแทบไม่มีโอกาสที่จองหุ้นได้ เนื่องจากปรากฏว่า การจองหุ้นหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 1 นาที 17 วินาที ในบางสาขา ธนาคารที่เปิดให้ประชาชนไปเข้าคิวจองซื้อคนแรกของคิวที่รอตั้งแต่เวลา 03.00 น. ไม่ได้รับการจัดสรร ในขณะที่บรรดาญาติและพรรคพวกนักการเมืองผู้มีอำนาจได้รับการจัดสรรหุ้นสูงสุดถึงครอบครัวละ 5,106,000 หุ้น อันเป็นการจัดสรรหุ้นที่ไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะตระกูลจุฬางกูล และ มหากิจศิริ

2. รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มีมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น 40 ล้าน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และภรรยา ถือหุ้นอยู่ในกิจการพลังงาน ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของรัฐมนตรีที่ดูแลนโยบายพลังงาน ทั้งการได้มาในราคาต่ำกว่าจองหุ้นบลูชิปหลายตัว ขณะเดียวกันก็มีเรื่องส่วนต่างราคาหุ้นในกระดาน โดยการให้ข่าวด้านนโยบายที่ส่งผลต่อราคาหุ้นในกระดาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม ปตท. ซึ่งราคาได้ปรับสูงหลายร้อยเปอร์เซนต์ในปีนี้ จากการให้ข่าวของรัฐมนตรี ซึ่งรวมไปถึงหุ้นที่มีนอมินี (ตัวแทน) ถืออยู่ด้วย

ภรรยานายปิยสวัสดิ์ ถือหุ้น ปตท. หลังจากนายปิยสวัสดิ์ พ้นตำแหน่งกรรมการแปรรูป ปตท. ไม่ถึง 3 ปี

นอกจากนั้น การที่รัฐมนตรนีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อสาธารณะว่า ได้ออกพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน เพื่อมาแก้ไขคดี ปตท. แล้ว เป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการออกนโยบายกฎหมายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ บมจ. ปตท. เป็นที่ตั้ง

การออกนโยบายที่เอื้อต่อธุรกิจพลังงาน ในช่วง 1 ปี หลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เช่น การอนุมัติแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP 2007) ซึ่งส่งผลให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 26 โรง (ไม่รวมโรงไฟฟ้าถ่านหิน นิวเคลียร์ และเขื่อนขนาดใหญ่) ใน 15 ปี ส่งผลต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นกว่า 100% ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงต่อธุรกิจของ บมจ. ปตท.

ภายหลังการออกนโยบายดังกล่าว ทำให้มูลค่ากิจการของ ปตท. เพิ่มขึ้น 79% หรือหากคิดคำนวณจากบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์จากแผน PDP 2007 รวมทั้ง บมจ. ปตท. บริษัทในกลุ่มนี้จะมีมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้น 66% ในขณะที่มูลค่ากิจการ หรือมูลค่าหุ้นอื่นๆ นอกกลุ่มธุรกิจพลังงานในตลาดหลักทรัพย์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพียง 8% ไม่ต่างไปจากปรากฏการณ์หุ้นการเมืองในยุครัฐบาลทักษิณ ที่มีงานวิจัยจากทีดีอาร์ไอว่าหุ้นที่เกี่ยวพันกับการเมือง จะมีอัตราเพิ่มมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ

ปตท.กำไรปีละ 100,000 ล้านบาท ท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน และผลกระทบของภาคธุรกิจจริงๆ

การเปลี่ยนสภาพแปรรูป ปตท. ทำให้กิจการปิโตรเลียมถูกผูกขาดโดยเอกชน สร้างความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชนผู้บริโภคและต่อประเทศ ซึ่งความเดือดร้อนมากเกินควรของประชาชนผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างๆ ทั้งหลายในประเทศ รับรู้ได้ง่ายๆ จากผลประกอบการของปตท.มีกำไรมหาศาลมากกว่าระดับปกติปีละกว่า 100,000 ล้านบาท

ปตท.มีกำไรมากขนาดที่มีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 45 – 55% หรือค้าขายโดยคืนทุนในเวลาเพียง 2 ปี

การผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจก๊าซหุงต้ม และธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ทำให้บริษัท ปตท. และบริษัทในเครือ สามารถกำหนดราคาน้ำมันแพงเกินควร ลิตรละ 3.00 น. ขูดรีดเอากำไรจากประชาชนเกินควรปีละประมาณ 84,000 ล้านบาท และตั้งราคาก๊าซแพงเกินควรไปปีละกว่า 40,000 ล้านบาท


ในขณะที่กลุ่มบางกลุ่มได้กอบโกยผลประโยชน์จากการแปรรูป ปตท. อย่างเป็นกอบเป็นกำ ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ของประเทศที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต กลับต้องประสบแต่ความสูญเสียและความทุกข์ยาก ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ถูกค้ากำไรเกินควรโดย บมจ.ปตท. เฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ทะยานสูงขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 10,000 บาท/ครัวเรือน ในปี 2543 ก่อนการแปรรูป ปตท. เป็น 17,000 บาท/ครัวเรือน/ปี ในเวลานี้

แต่เดิมนั้น ก่อนการแปรรูป ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปตท. เป็นกลไกในการตรึงราคาน้ำมันในประเทศเมื่อราคาน้ำมันของตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นมาโดยตลาด โดย ปตท. จะนำกำไรส่วนเกินจากธุรกิจฝั่งก๊าซธรรมชาติมาชดเชยราคาน้ำมันให้ผู้บริโภค เนื่องจากราคาน้ำมันจะสูงขึ้นจริงตามราคาตลาดโลก เพราะประเทศไทยต้องซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติ เป็นทรัพยากรด้านเชื้อเพลิงที่สามารถจัดหาได้ภายในประเทศ แต่ต้องอิงตามราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาก๊าซธรรมชาติก็จะสูงขึ้นด้วย ฉะนั้น เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ปตท.ก็สามารถนำกำไรจากก๊าซธรรมชาติมาเกลี่ยภาระรายจ่ายที่เกิดจากราคาน้ำมันให้สังคมและผู้บริโภคได้ตลอดมา

จนกระทั่ง เมื่อมีการแปรรูป ปตท. ภาระการตรึงราคาน้ำมันเป็นภาระของผู้บริโภค โดยการจัดตั้งกองทุนน้ำมันที่มีการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผูกติดกับราคาน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรเชื้อเพลิงภายในประเทศ เมื่อ ปตท. แปรรูปแล้วกลับไม่นำกำไรส่วนเกินของกิจการก๊าซธรรมชาติมาเกลี่ยชดเชยให้กับสังคมและผู้บริโภค ก่อให้เกิดกำไรผลพลอยได้จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น เป็นกำไรส้มหล่นที่ ปตท.ได้เก็บเกี่ยวเข้าองค์กรตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้หุ้น ปตท. ที่เคยติดลบในปี 2545 พลิกทะยานขึ้นสู่กำไรระดับแสนล้านบาทในปี 2549

การแปรรูป ปตท. ได้สร้างระบบอามิสสินจ้างในระบบข้าราชการและนักการเมือง ทั้งนี้เดิมทีนั้น ข้าราชการมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประเทศ แต่ภายหลังจากการแปรรูป ปตท. ได้เกิดนวัตกรรมใหม่ในการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมือง และข้าราชการ โดยเป็นวงจรอุบาทว์ที่นักการเมืองจะแต่งตั้งข้าราชการเป็นตัวแทนไปนั่งเป็นบอร์ดในบริษัทพลังงาน โดยทำให้นักการเมืองและข้าราชการด้านหนึ่งทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ในขณะเดียวกันก็ดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในบริษัทพลังงานที่คอยรับผลประโยชน์จากการกำหนดนโยบายดังกล่าว

ตัวอย่างเช่น ในอดีต ก่อนรัฐบาลยุคปัจจุบันมีข้าราชการดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการในบริษัทพลังงาน 5-6 คน แต่ในช่วงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้เพิ่มจำนวนข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการในบริษัทพลังงานเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว ในขณะที่บริษัทพลังงานที่ข้าราชการไปดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการ มีจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

**การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน 500,000 ล้านบาทของปตท. เป็นทรัพย์สินของประเทศที่สูญหายไป


เมื่อพิจารณาถึงเงื่อนไขการขายหุ้นครั้งแรกของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าจะแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกจากกิจการบริษัท ปตท. ภายในระยะเวลา 1 ปีหลังการขายหุ้น เป็นวิธีการทำให้มูลค่าหุ้น IPO ของปตท. ต่ำ เหลือแค่หุ้นละ 35 บาท

แต่รัฐบาลทักษิณ ได้ใช้วิธีแยบยลในการฮุบสมบัติชาติ คือ จัดการให้ท่อส่งก๊าซกลายเป็นสมบัติของบริษัท ปตท. ด้วยการเปลี่ยนนโยบายด้านการจัดการพลังงานเป็นระบบผูกขาดเจ้าเดียว ทำให้ท่อส่งก๊าซซึ่งเป็นสมบัติของชาติกลายเป็นทรัพย์สินของบริษัท ปตทง ทำให้หุ้นของ ปตท. มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นประจักษ์พยานถึงการคอร์รัปชั่นทางนโยบายในยุครัฐบาลทักษิณ

ด้วยเหตุนี้ ยิ่งมีเหตุผลความถูกต้องตามกฎหมายและความชอบธรรมที่ทรัพย์สิน สิทธิ และประโยชน์ของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจะต้องกลับคืนสู่รัฐ โดยผู้ถือหุ้นไม่สามารถโต้แย้งใดๆ ได้

ในท้ายที่สุด ไม่ว่าภาพรวมของคดีจะออกมาอย่างไร ที่ดินที่ได้มากจาการเวนคืนที่ดินของประชาชน รวมทั้งท่อส่งก๊าซธรรมชาติอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ติดอยู่กับที่ดิน สิทธิที่ไปรอนสิทธิที่ดินของประชาชน รวมทั้งท่อส่งก๊าซธรรมชาติ อันเป็นทรัพยสิทธิติดอยู่กับที่ดิน ทรัพย์สิน และทรัพยสิทธิ เหล่านี้จะต้องกลับคืนสู่รัฐทั้งสิ้น

**แก้พระราชกฤษฎีกา และออกกฎหมายเพื่อล้มล้างความผิด หยุดใช้เทคนิคกฎหมายเพื่ออ้างต่อศาล

การกระทำที่กล่าวมา ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การแปลงสภาพและแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงต้องมีการแก้ไขในภายหลัง แต่การกระทำดังกล่าวไม่สามารถทำให้การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้

นอกจากนั้น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อสาธารณะว่า ได้ออก พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน เพื่อมาแก้ไขคดี ปตท. แล้ว เป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การออกนโยบายกฎหมายดังกล่าวมีขึ้นเพื่อล้มล้างความผิดเพิมที่ไม่ถูกต้อง และตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย

เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่ออ้างต่อศาลว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีตามคำฟ้อง ได้ระงับสิ้นไป และทำให้การฟ้องคดีไม่มีมูล ไม่ว่าจะเป็น

หนึ่ง การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 โดยการตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550

สอง การแสดงเจตจำนงที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืน ที่บริษัท ปตท. ได้รับโอนมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คืนให้กับกระทรวงการคลัง

สาม การออกกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ............

**ปตท.ออกจากตลาดแล้ว เศรษฐกิจเสียหาย จริงหรือ ?

หาก ปตท. กลับไปสู่สถานะเดิมคือ เป็นของรัฐ ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะเข้ามาปฏิรูปโครงสร้างกิจการปิโตรเลียมของประเทศเสียใหม่ ไม่เกิดอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้จากการขัดขวางของผู้ถือหุ้นอื่นๆ ในบริษัทปตท. ทั้งนี้ เพื่อนำผลประโยชน์ทั้งหลายจากทรัพยากรและธุรกิจปิโตรเลียมของประเทศกลับคืนสู่ประชาชนคนไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วสามารถนำเงินเหล่านี้มาจัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ระบบบริการสาธารณสุข หรือแม้แต่บริการสาธารณะ เป็นต้น

กรณีผู้ถูกฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า หากศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้การแปรรูป ปตท. เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและให้กลับสู่สถานะเดิมแล้ว ผู้ถือหุ้นจะเกิดความสับสนวุ่นวาย ต่างชาติจะหมดความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นของไทย มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศนั้น เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงรัฐบาลได้ขายหุ้นออกไปได้เงินมาเพียงหุ้นละ 35 บาทเท่านั้น

ความเสี่ยงเรื่องราคาหุ้น ก็เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศรับรู้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ในวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด หุ้นบริษัทปตท. มีราคา 236 บาท ในช่วง 100 วันหลังยื่นฟ้อง ราคาหุ้นลดลงต่ำสุด 208 บาท หรือลดลงประมาณร้อยละ 10 หลังจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมา หุ้น ปตท. มีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 440 บาท และช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็มีราคาระดับ 370 บาท ซึ่งชัดเจนว่า ภายหลังการยื่นฟ้องคดี ปตท. ตลาดเวลามากกว่า 1 ปี ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะขายหุ้นบริษัท ปตท. ที่ซื้อไว้ก่อนหน้านั้นออกไปโดยมีกำไรมากมาย และต้องไม่ลืมคำเตือนว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง”

รวมทั้งผู้ถือหุ้นก็รับรู้โดยตลอดว่า ราคาหุ้นไม่รวมมูลค่ากิจการท่อส่งก๊าซ และทรัพย์สินที่ได้จากการเวนคืน รอนสิทธิ

หรือหากจะพิจารณาจากคำชี้แจงของ ปตท. ต่อผู้ถือหุ้นของตนเองและปรากฎในเว็บไซต์ของ ปตท. ก็ยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบแต่ประการใด ดังนี้

“ ...... อนึ่ง หากผลของคำพิพากษาออกมาในทางลบกับ ปตท. กล่าวคือ หากศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ นั้นจะมีผลทำให้สถานะของปตท. กลับไปเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ในส่วนภาระผูกพันตามสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวกับหุ้นกู้ระหว่าง ปตท. และผู้ถือหุ้นกู้หรือนิติบุคคลอื่นๆ นั้น อาจเปลี่ยนแปลงแค่สถานะของผู้ออกหุ้นกู้

“กล่าวคือ คู่สัญญาซึ่งแต่เดิมคือ ปตท. จะกลายเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ส่วนภาระผูกพันตามสัญญาในส่วนอื่นอาจยังคงไม่เปลี่ยนแปลงโดยพิจารณาเทียบเคียงกับบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 208/2549 เรื่องการดำเนินตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาเกี่ยวกับการแปลงสภาพ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็น บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ.กฟผ.) นั้น

“คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ไม่เคยถูกยกเลิกไปและการจดทะเบียนจัดตั้ง บมจ.กฟผ. ไม่มีสถานะเป็นนินิติบุคคลมาตั้งแต่ต้นและกลับคืนสู่สถานะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เสมือนไม่เคยมีการจัดตั้ง บมจ.กฟผ.เลย นิติกรรมสัญญาและธุรกรรมต่างๆ ที่บมจ.กฟผ.กระทำไป ถือได้ว่าเป็นการกระทำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บรรดากิจการ สิทธิ หนี้ ความรับผิดชอบ และสินทรัพย์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่โอนไปยัง บมจ. กฟผ. หรือที่ตกเป็นของกระทรวงการคลัง จึงถือได้ว่า ไม่เคยเกิดขึ้น”

**บทส่งท้าย หมายเหตุ : สรุปคำฟ้อง ปตท.

00 กระบวนการดำเนินการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ และกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น ขั้นตอนการดำเนินการขัดแย้งกับกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นไม่รอบด้าน

00 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งต้องมีคุณสมบัติพิเศษอิสระจากการเมือง และไม่มีส่วนได้เสียเพื่อถ่วงดุลกับอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์มิชอบ แต่พบว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน มีคุณสมบัติขัดกับกฎหมาย คือ

000 นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ มีตำแหน่งเป็นกรรมการในนิติบุคคล 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด และบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจ ที่จะเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น อันถือเป็นลักษณะต้องห้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท

000 นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจที่จะเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น อันถือเป็นลักษณะต้องห้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท

00 กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท 2 คน ได้แก่ นายมนู เลียวไพโรจน์ และนายวิเศษ จูภิบาล กระทำผิดตามพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 มาตรา 18 ประกอบมาตรา 12 และไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นของกฎหมาย เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า บุคคลทั้งสองได้เข้าถือหุ้นของบริษัท ปตท. เพื่อประโยชน์ส่วนตน อันมิใช่การมอบหมายจากทางราชการ การมอบหมายจากทางราชการปรากฏเฉพาะการมอบหมายเป็นกรรมการบริษัท มิได้มอบหมายให้เข้าถือหุ้นบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตน

00 ประเทศชาติเสียหายจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินราคาถูก ขายขาดทุน ดังที่กล่าวมาแล้ว

00 ผู้บริโภค ภาคธุรกิจในฐานการผลิตเดือดร้อนจากการผูกขาดและกำไรสูงเกินควร คือ
000 น้ำมันราคาแพง และการกำหนดโครงสร้างราคา การกำกับดูแลที่ไม่ชอบธรรม กำไรที่ขูดรีด การก่อหนี้กองทุนน้ำมัน การฮั้วราคาน้ำมันระหว่างโรงกลั่นกับปั๊มน้ำมัน การทำลายผู้ประกอบการรายเล็กในท้องตลาด
000 ก๊าซธรรมชาติผูกขาด ราคาแพง โครงสร้างราคา ปากหลุม ค่าหัวคิว ค่าท่อ กำไรจากก๊าซ ฮั้วกันระหว่างปตท.และบริษัทลูก
000 ราคาไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากก๊าซ สิทธิพิเศษที่ ปตท. ผูกขาดขายก๊าซ 100% และน้ำมัน 80% ให้ กฟผ. ในราคาแพงกว่าที่ขายให้บริษัทลูกของ ปตท.

00 การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในสาระสำคัญ คือ
000 คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่มีผลทางกฎหมาย
000 ขัดกับมาตรา 59 และ ข้อ 2.2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
000 ไม่สอดคล้องกับระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
000 จงใจให้ข้อมูลเท็จแก่ประชาชน โดยระบุรายชื่อคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพียงรายเดียว คือ นายธีระ วิภูชนิน จงใจปกปิดรายชื่อนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และ นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่า บุคคลทั้งสองมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น