xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กรฟท. - บิ๊กห้าว ส่อทำผิดกฎหมายฮั้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายงานพิเศษ “ต่อสัญญาเช่าที่ดินรถไฟ – เซ็นทรัล เดิมพันอนาคต รฟท. ความยาว 2 ตอนจบ

ตอนจบ


ผู้จัดการรายวัน - การเข้ามาตรวจสอบการต่อสัญญาเช่าที่ดินรถไฟของคณะกรรมการธิการคมนาคม พบเงื่อนงำความไม่โปร่งใสที่ผู้บริหาร รฟท. และ “ธีระ ห้าวเจริญ” ต้องตอบคำถามทั้งการเอื้อประโยชน์ให้เซ็นทรัลผูกขาดเช่าที่ดิน ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ การส่งข้อมูลไม่สมบูรณ์ให้กฤษฎีกาตีความ ทั้งยังทำหนังสือผูกมัดรฟท.ต้องต่อสัญญากับเซ็นทรัลรายเดียว ย้ำชัดการต่อสัญญาครั้งที่สองถือเป็นโครงการใหม่ที่ต้องให้ครม.อนุมัติก่อน และต้องเปิดประมูลใหม่ตามขั้นตอนพ.ร.บ.ร่วมทุน งัดกม.ฮั้วเอาผิดผู้เกี่ยวข้องถึงติดคุก

การยื่นขอต่อสัญญาเช่าที่ดินรถไฟของเซ็นทรัลที่ริเริ่มมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งมี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรมว.กระทรวงคมนาคม อาจไม่มีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้น เนื่องจากมีการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกามาเป็นใบเบิกทางให้ รฟท. และเซ็นทรัล ดำเนินการเจรจาต่อรองกันตกลงผลประโยชน์ระหว่างกันค่อนข้างชัดเจน

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ผลัดอำนาจการเมืองมาสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งแต่งตั้ง สนช. ขึ้นมาตรวจสอบการดำเนินงานและโครงการต่างๆ รวมถึงการต่อสัญญาระหว่างเซ็นทรัล – รฟท. ด้วยนั้น ทางคณะกรรมาธิการคมนาคม สนช. ได้เข้าไปตรวจสอบการตีความของกฤษฎีกาในเชิงลึก และมีความเห็นว่า การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดที่ให้คู่สัญญาเจรจาผลประโยชน์เพื่อต่อสัญญา เป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องและควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวใหม่ อีกทั้งยังพบว่าการดำเนินการของ รฟท.ส่อพิรุธเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน

ประเด็นสำคัญที่ กมธ. คมนาคม ตรวจสอบพบและเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลหลายครั้งนับตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมาจนบัดนี้ พบข้อพิรุธและมีข้อสังเกต ดังนี้

ประการแรก การเอื้อประโยชน์ให้เซ็นทรัลผูกขาดการเช่าที่ดินต่อไป

กรณีการให้เช่าพื้นที่ของรฟท.กับเซ็นทรัลฯ คณะกรรมาธิการฯ พบว่า เซ็นทรัลฯได้ขอต่ออายุสัญญาเช่าที่ของรฟท. และทางรฟท. เองก็ได้เตรียมตั้งคณะกรรมการขึ้นตามมาตรา 13 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ในการเตรียมเจรจากับเซ็นทรัลฯ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เซ็นทรัลฯ ผูกขาดในการเช่าที่ดินและเซ็นทรัลได้รับประโยชน์เต็มที่ แทนที่รฟท.จะเปิดประมูลให้เอกชนที่มีความสนใจเข้ามาแข่งขันเพื่อจะได้มีรายได้มากขึ้น และจะได้เป็นกรณีตัวอย่างทั้งเป็นบรรทัดฐานในการเช่าที่ดินรฟท.ที่อื่นๆ อีก

ประการที่สอง รฟท.ยึดมั่นทำสัญญาผูกพันแต่กับเซ็นทรัลโดยอ้างการตีความของกฤษฎีกาและพ.ร.บ.ร่วมทุน โดยไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ฮั้ว

คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า การที่ผู้แทน รฟท. ชี้แจงว่า “การรถไฟฯ มีสัญญาผูกพันอยู่กับบริษัทเซ็นทรัลฯ” นั้น ความจริงแล้วกรณีดังกล่าวรฟท.ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความแล้วมีความเห็นว่า “การรถไฟสามารถทำสัญญาใหม่ได้ ไม่มีการผูกพันว่า รฟท. จะต้องทำสัญญากับบริษัทเซ็นทรัลฯ เท่านั้น” รฟท.ยึดมั่นแต่จะเจรจากับเซ็นทรัลอย่างเดียว โดยไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือพ.ร.บ.ฮั้ว

ประเด็นข้างต้นนี้ นายอนุวงศ์ สุขศรีวงศ์ รองผู้ว่าการ รฟท. ก็ไม่สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ได้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแต่รับจะไปทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง

คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า การกระทำดังกล่าวของ รฟท. คำนึงถึงแต่จะทำตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ แต่ไม่ได้คำนึงถึง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 11 ความว่า “เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐคนใดที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐไปกำหนดเงื่อนไขที่มิได้มุ่งหมายให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อช่วยเหลือผู้เสนอราคารายใด มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานรัฐโดยไม่เป็นธรรมหรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดต้องระวางโทษจำคุก 5 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต” รวมทั้งมาตรา 12 และมาตรา 13 การหลีกเลี่ยงแบบนี้ของรฟท.ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษจำคุก

คณะกรรมาธิการฯ ยังเห็นพ้องกับนายพูลศักดิ์ อยู่ประเสริฐ หนึ่งคณะกรรมาธิการฯ ที่ชี้ว่า หลังสิ้นสุดสัญญาเช่าที่ดินเป็นเวลา 30 ปีระหว่าง รฟท. กับเซ็นทรัล ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การต่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่าง รฟท.กับเซ็นทรัล เพราะเมื่อครบกำหนดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของ รฟท. และขณะนี้ได้มีการตีความของอัยการสูงสุดและกฤษฎีกาแล้วว่า ไม่มีการผูกพันว่า รฟท. จะต้องทำสัญญากับเซ็นทรัลเท่านั้น ประเด็นของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า การดำเนินการต่อไปของ รฟท.หลังสิ้นสุดสัญญาว่าควรดำเนินการอย่างไร

คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า รฟท.ควรกำหนดแนวทางโดยให้ดำนินการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดยให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือโครงการและจะต้องใช้วิธีการคัดเลือกโดยการเปิดประมูลเพื่อความเป็นธรรมและโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ รฟท. และขอคัดค้านการเจรจาต่อรองใดๆ

ประการที่สาม มีข้อสังเกตว่า การส่งข้อมูลไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหารือข้อกฎหมาย ของ รฟท. ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทเซ็นทรัลฯ ได้ทำหนังสือที่ สนญ. 9/2543 ลงวันที่ 10 พ.ย. 2543 ถึง รฟท. เพื่อขอขยายกำหนดระยะเวลาเช่าหรือต่ออายุการเช่าที่ดิน แต่ทาง รฟท. ได้ทำหนังสือตอบกลับที่ บส / จส.1/1366/2544 ลงวันที่ 5 ก.พ. 2544 โดยแจ้งผลการพิจารณาว่า การขอกำหนดระยะเวลาเช่าหรือต่ออายุการเช่าที่ดินของบริษัทฯ มิได้เป็นไปตามเงื่อนไของสัญญาเช่าที่ดิน ฉบับลงวันที่ 19 ธ.ค. 2521 ข้อ 8 รฟท.จึงยังไม่อาจพิจารณาดำเนินการใดให้ได้

เรื่องดังกล่าวข้างต้น ทางรฟท.ไม่ได้ส่งข้อมูลให้คณะกรรมการกฤษฎีกา และรฟท.ไม่ได้ถามให้ชัดๆ ว่า การทำหนังสือขอต่อสัญญาของเซ็นทรัลฯ เป็นใช้สิทธิ์ตามสัญญา ข้อ 8 แล้วหรือไม่ และการทำหนังสือปฏิเสธการพิจารณาขอต่อสัญญาของรฟท. ถือว่าคู่สัญญาคือเซ็นทรัลฯ ผู้เช่า และผู้ให้เช่า คือ รฟท.ตกลงกันไม่ได้ ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นทางเซ็นทรัลฯ ผู้เช่าต้องส่งมอบอาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดให้แก่ รฟท. ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น

สำหรับข้อมูลที่ รฟท. ส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น มีเพียงหนังสือที่ สนญ 1/2544 ลงวันที่ 5 มี.ค. 2544 ซึ่งทางเซ็นทรัลฯ ส่งไปยังผู้ว่าการ รฟท. แสดงความจำนงขอเช่าทรัพย์สินตามโครงการเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว หลังจากหนังสือขอต่อสัญญาฉบับแรกถูกปฏิเสธ

ด้วยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และคำถามจาก รฟท. ที่ไม่ชัดเจน จึงทำให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความว่า หนังสือของบริษัทเซ็นทรัลฯ ลงวันที่ 5 มี.ค. 2544 ที่ส่งไปยังผู้ว่าการ รฟท. เป็นการแสดงเจตนาจะประกอบกิจการต่อไปของฝ่ายผู้เช่าตามสัญญา ข้อ 8 ของสัญญาเช่าที่ดินแล้ว รฟท.จึงต้องทำการเจรจากับบริษัทเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง ผลประโยชน์ตอบแทน ค่าเช่า และอายุของสัญญาเพื่อทำการตกลงร่วมกันในรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ ที่จำเป็นในการเช่าอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินกิจการของโครงการทั้งหมดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ซึ่งย่อมต้องรวมถึงการเช่าที่ดินต่อไปด้วย

ประเด็นนี้ กมธ.คมนาคม มีความเห็นต่างจากคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยชี้ว่า การขอต่อสัญญาของเซ็นทรัล เมื่อปี 2543 และถูกปฏิเสธจาก รฟท. ถือเป็นการใช้สิทธิ์ตามสัญญา ข้อ 8 และคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ทางเซ็นทรัลฯ ต้องส่งมอบอาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดให้แก่ รฟท. ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น และรฟท. ต้องนำมาเปิดประมูลใหม่ตามเงื่อนไขของพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานในกิจการองรัฐหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือเรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.บ.ร่วมทุน ปี 2535

ข้อโต้แย้งและความเห็นต่างดังกล่าวข้างต้นของ กมธ. คมนาคม ทำให้ รฟท. ต้องกลับไปทำเรื่องย้อนถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาใหม่อีกครั้ง

ประการที่สี่ การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มุ่งเน้นเฉพาะมาตรา 25 ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนนั้นไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ตามข้อหารือของ รฟท. ที่ส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ความว่า ระบุว่า “การให้เช่าทรัพย์สินตามข้อหารือได้ดำเนินการไปก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ จะต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากมาตรา 25 บัญญัติให้ขั้นตอนที่ผ่านมาแล้วไม่ต้องย้อนกลับไปดำเนินการอีก จะถูกต้องหรือไม่เพียงใด”

คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า ประเด็นที่คณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุด ตีความนั้น เน้นที่มาตรา 25 บทเฉพาะกาลของพ.ร.บ.ร่วมทุน ความว่า “โครงการใดที่ให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการซึ่งได้กระทำไปแล้วในขั้นตอนใดก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปให้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.นี้”

การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่บริษัทมีหนังสือขอต่อสัญญา ในปี 2544 ว่าบริษัทได้แสดงเจตนาจะประกอบกิจการต่อไป ....... และหากคู่สัญญาตกลงกันได้ ก็จะต้องมีการทำสัญญาตกลงให้สิทธิแก่บริษัทเซ็นทรัลฯ ซึ่งถือว่าการดำเนินการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐฯ ซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พ.ร.บ.ร่วมทุน ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 25

การตีความในลักษณะดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมกมธ.คมนาคม มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางหลายครั้ง และเห็นพ้องว่า การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ถูกต้องควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวใหม่

ตามรายงานสรุปผลการประชุมของ กมธ.คมนาคม ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2550 ระบุว่า การดำเนินการที่ได้กระทำไปแล้วน่าจะหมายถึงการทำสัญญาเช่าในวันที่ 19 ธ.ค. 2521 เท่านั้น ส่วนการแจ้งขอต่อสัญญาใหม่ ตามข้อ 8 ไม่ใช่การที่ได้ดำเนินการไปแล้วก่อนพ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ ดังนั้นการกระทำต่างๆ ต้องดำเนินการ ตามพ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมทุนตั้งแต่ต้น

นายพูลศักดิ์ อยู่ประเสริฐ กรรมาธิการ ยังได้แสดงความเห็นว่า ตามที่ได้พิจารณาบันทึกข้อความของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการตอบข้อซักถามของ รฟท. กรณีการทำสัญญากับเซ็นทรัลฯ นั้น ตนเองไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย โดยกฤษฎีกาอ้างถึงมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ว่า “โครงการใดที่ให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการซึ่งได้กระทำไปแล้วในขั้นตอนใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปให้กระทำตามพระราชบัญญัตินี้” จากข้อความดังกล่าว หากกระทำตามพ.ร.บ.นี้ รฟท.ต้องกลับไปดำเนินการตามมาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 8 ก่อน

ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการของบริษัทเซ็นทรัลฯ เป็นโครงการที่มีมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท รฟท.ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องไปว่าจ้างบริษัทเอกชนศึกษาและประเมินโครงการตามที่สภาพัฒน์กำหนดไว้ และนำเสนอกระทรวงการคลัง คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการก่อน

ส่วนการตีความของกฤษฎีกาที่ว่า “ขั้นตอนใดที่ รฟท. ได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มีผลบังคับใช้เป็นอันใช้ได้ ส่วนขั้นตอนใดที่จะต้องดำเนินการต่อไป จะต้องทำตามพ.ร.บ.นี้” ซึ่งหมายถึงการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 เพื่อพิจารณาเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องมีในสัญญาและพิจารณาดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าทรัพย์สินตามโครงการนี้โดยไม่ต้องดำเนินการเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการใหม่นั้น เห็นว่าไม่ถูกต้อง การดำเนินการจริงๆ ในเรื่องนี้ต้องเริ่มต้นใหม่

กรรมาธิการฯ รายดังกล่าว จึงเห็นว่า การกระทำของ รฟท. และเซ็นทรัลแสดงให้เห็นถึงการข้ามขั้นตอนการดำเนินงาน ไม่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐและไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในเบื้องต้นจึงน่าสงสัยในประเด็นการตีความของกฤษฎีกา ดังนั้นจึงเห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะที่เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบสั่งการให้ รฟท. ดำเนินการโครงการดังกล่าวตั้งแต่ต้นและควรให้บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามาร่วมประมูลด้วย

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีข้อสรุปในเรื่องนี้ว่า จากการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงเห็นได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการทำให้รัฐได้รับความเสียหายและเสียประโยชน์มาก จึงมีหนังสือถึงรมว.คมนาคม ให้สั่งการดำเนินการในการสัญญาเช่าที่ดินผืนดังกล่าวให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องและรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน อีกทั้งยังได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องว่าจะนำเรื่องดังกล่าวให้ศาลปกครองตีความเพื่อให้ได้ข้อยุติเป็นที่สุดในการตรวจสอบการเช่าที่ดินระหว่างรฟท.และเซ็นทรัล

ประเด็นที่ห้า การทำหนังสือผูกมัดตัวเองว่ารฟท.จะต้องต่อสัญญาให้เซ็นทรัล
 
ในเรื่องนี้ที่ประชุมคณะกรรมการรถไฟ ครั้งที่ 5/2549 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2549 มีมติว่าจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการต่อสัญญา โดยแต่งตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการกับรัฐ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และต่อมา นายถวิล สามนคร รองผู้ว่าการ รฟท. ได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนผู้ประกอบการที่ดินของการรถไฟฯ บริเวณสามเหลี่ยมย่านพหลโยธิน”

แต่เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2550 ที่ผ่านมา นายอนุวงศ์ สุขศรีวงศ์ รองผู้ว่าการ รฟท. ได้ทำหนังสือถึงกลุ่มเซ็นทรัลฯ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าได้มีการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อดำเนินการพิจารณาต่ออายุสัญญาเช่าให้กับกลุ่มเซ็นทรัลโดยพลการ ทั้งที่คณะกรรมการตามมาตรา 13 ไม่เคยมีมติดังกล่าว

ทั้งนี้ ข้อความในหนังสือที่นายอนุวงศ์ สุขศรีวงศ์ ส่งถึงกลุ่มเซ็นทรัลฯ ระบุว่า “ขอเรียนว่าการรถไฟฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 แห่งพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 เพื่อดำเนินการต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวข้างต้นให้กับบริษัทเซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด แล้ว ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย

นอกเหนือจากประเด็นการขอต่ออายุสัญญาเช่าแล้ว กมธ. ยังตรวจสอบพบว่า รฟท.ไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐคือการยินยอมให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาและการต่อเติมพื้นที่ในภายหลัง

กล่าวคือ เซ็นทรัลฯ ตกลงทำสัญญาเช่าที่ดินกับรฟท. เมื่อปี 2521 จากนั้นเมื่อประมาณปี 2524 – 2526 ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาข้อ 3. คือ กำหนดเวลาก่อสร้างและพื้นที่ก่อสร้าง โดยเพิ่มพื้นที่จากเดิมประมาณ 50,000 ตร.ม. เพิ่มเป็นประมาณ 139,000 ตร.ม. ซึ่งถือว่าผิดแบบ รฟท.สามารถยกเลิกสัญญาได้ แต่รฟท.กลับอนุญาตให้มีการแก้ไขแบบได้ รวมทั้งมีการแก้ไขสัญญาให้สามารถเปลี่ยนแปลงแบบได้ โดยทางเซ็นทรัลฯ จ่ายเงินเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้นในการแก้ไขแบบก่อสร้างที่เพิ่มพื้นที่ขึ้นมามาเกือบสองเท่าตัว

ส่วนการต่อเติมอาคารหลายครั้งโดยไม่ได้ขออนุญาตตามที่ได้สัญญา ข้อ 10.ทาง รฟท.ก็ไม่ได้ริบเงินประกันสัญญาหรือยกเลิกสัญญาเพราะผู้เช่าทำผิดสัญญาแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ปี 2546 เมื่อรฟท.พบว่า เซ็นทรัล ไม่ได้ทำตามสัญญาทั้งสองฝ่ายก็เพียงแต่ทำบันทึกข้อตกลงโดยเซ็นทรัลฯ ยินยอมชำระเงินค่าเสียหายให้ รฟท. จำนวน 540 ล้านบาท โดยผ่อนชำระตั้งแต่ปี 2546 – 2551 ทั้งที่หากรฟท.ดำเนินการตามสัญญาแล้ว จะต้องมีการยกเลิกสัญญากับเซ็นทรัล กรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รฟท. ไม่ปฏิบัติตามสัญญาและไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ

การเดินหน้าขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ ของคณะกรรมาธิการคมนาคม จึงนับเป็นโอกาสดีที่สังคมไทยจะได้เปิดหูเปิดตาสดับรับฟังการหมกเม็ดซ่อนเร้นไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนมาโดยตลอดอย่าง รฟท.และผู้กำกับดูแลควบคุมคือเจ้ากระทรวงคมนาคม
กำลังโหลดความคิดเห็น