xs
xsm
sm
md
lg

รฟท.เอื้อเซ็นทรัลผูกขาดเช่าที่ รฟท.เอื้อเซ็นทรัลผูกขาดเช่าที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายงานพิเศษ “เช่าที่ดินรถไฟ-เซ็นทรัล เดิมพันอนาคต รฟท.” ความยาว 2 ตอนจบ

ตอนที่ 1

ผู้จัดการรายวัน – ปัญหาการต่อสัญญาเช่าที่ดินทำเลทองผืนงามบริเวณสามเหลี่ยมปากทางลาดพร้าวระหว่างเซ็นทรัลกับการรถไฟวุ่นไม่จบ รฟท. โยนลูกกฤษฎีกาตีความใหม่ ถ่วงเวลาเปิดประมูลใหม่ตามแรงกดดันของ กมธ. คมนาคมที่ตรวจพบเงื่อนงำความไม่โปร่งใสเอื้อประโยชน์เซ็นทรัลผูกขาดเช่าที่ดินต่อ เดินหน้าเจรจาต่อรองผลประโยชน์ใหม่ โดยขีดตัวเลขประเมินค่าเช่าขั้นต่ำ 20,000 ล้านบาท “บรรณวิทย์” ย้ำเดินหน้าล่าชื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ“บิ๊กห้าว”

คณะกรรมาธิการคมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน เดินหน้าล่าชื่อ สนช. ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รมว.กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีพฤติกรรมทุจริต ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ โดยละเลยตรวจสอบทุจริต ความไม่โปร่งใสในกระทรวงคมนาคม ที่ สนช. ส่งข้อมูลให้ตรวจสอบและจัดการแก้ไขปัญหา ทั้งกรณีเซ็นทรัลขอต่อสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟฯ กรณีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่นักการเมืองฮุบเอาเป็นของตนเอง และโครงการแอร์พอร์ตลิงค์

***กล่าวจำเพาะกรณีที่ดินรถไฟผืนงามบริเวณสามเหลี่ยมปากทางลาดพร้าวที่กลุ่มเซ็นทรัลเช่าจาก รฟท. ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า กลายเป็นเกาเหลาชามใหญ่ระหว่าง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และ พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะประธานกมธ.คมนาคม ต้องการให้เปิดประมูลใหม่ แต่ฝ่ายเจ้ากระทรวงยังแทงกั๊ก

งานนี้ ประธาน กมธ.คมนาคม หารือกับสภาทนายความฯ และอาจใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้อง พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งการแต่นิ่งเฉยไม่ดำเนินการใดๆ ตามกฎหมาย รวมทั้งล่าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกด้วย โดยคาดว่าจะล่าชื่อให้ครบและเปิดอภิปรายได้ในเดือน.ค.นี้เป็นอย่างช้า

ข้างฝ่าย รฟท. ซึ่งเป็นคู่สัญญากับกลุ่มเซ็นทรัล เวลานี้ตกอยู่ในภาวะละล้าละลัง ไม่กล้าเดินหน้าต่อสัญญากับเอกชนหลังถูก กมธ.คมนาคม ออกมาไล่บี้ว่า กระบวนการดำเนินการต่อสัญญาให้กลุ่มเซ็นทรัล มีเงื่อนงำความไม่โปร่งใสอยู่หลายจุด ขณะเดียวกัน รฟท. ก็กริ่งเกรงกลุ่มเซ็นทรัล จะยกเอาเงื่อนไขสัญญาตามข้อ 8 ขึ้นมาต่อสู้และฟ้องร้อง รฟท.

***การต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินรฟท.ของกลุ่มเซ็นทรัล ขณะนี้ รฟท. จึงแยกดำเนินการออกเป็น 2 แนวทางควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ รฟท. จะทำหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้ตีความข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แนวทางการดำเนินการ และการปฏิบัติที่ชัดเจนอีกครั้งหลังจากเคยยื่นเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง

***ส่วนอีกทางหนึ่งคือ การคัดเลือกบริษัทประเมินทรัพย์สินและประเมินราคาค่าเช่าและผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสมเพื่อเจรจากับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งจะตั้งโต๊ะเจรจากันในเร็วๆ นี้เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม จุดหมายในการดำเนินการทั้งสองแนวทาง รฟท.ไม่ได้ผูกมัดว่า สุดท้ายแล้วต้องต่อสัญญากับกลุ่มเซ็นทรัลสถานเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาจะออกมาอย่างไร และผลประโยชน์ตอบแทนใหม่ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะให้กับ รฟท.นั้น สมน้ำสมเนื้อกันหรือไม่

บัญชา คงนคร รักษาการผู้ว่าการ รฟท. กล่าวก่อนหน้านี้ว่า รฟท.ได้มอบหมายให้ ดิสทัต โหตระกิตย์ กรรมการ รฟท. ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย โดยข้อมูลใหม่ที่จะส่งไปหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่งนั้น มีประเด็นหลักในเบื้องต้นที่ขอหารือและตีความ เช่น

1) กรณีกลุ่มเซ็นทรัล ทำหนังสือเมื่อปี 2543 – 2544 เพื่อขอต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกับรฟท. ถือเป็นการใช้สิทธิ์ตามข้อ 8. ของสัญญาเดิมแล้วหรือไม่ และมีผลทำให้การเจรจาต่อสัญญาสิ้นสุดลงหรือไม่ ในเมื่อ รฟท. ยังไม่ได้พิจารณาเพราะเป็นข้อเสนอที่ไม่สอดคล้องตามเงื่อนไขที่สัญญากำหนด

2) กรณีที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) มีผลบังคับใช้กระทบต่อสัญญาข้อ 8 หรือไม่

3) รฟท. สามารถเปิดประมูลใหม่ ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ได้เลยหรือไม่

4) กรณี พ.ร.บ.ร่วมทุน ระบุว่า โครงการใดเกิดก่อนพ.ร.บ.ร่วมทุน ก็ให้เข้ามาอยู่ภายใต้พ.ร.บ.นั้นจะต้องปฏิบัติอย่างไร และกรณีดังกล่าว ถือว่ามีผลทำให้เป็นโครงการใหม่ที่ต้องเปิดประมูลใหม่หรือไม่ ?

ส่วนอีกแนวทางคือการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ค่าเช่าใหม่กับกลุ่มเซ็นทรัลนั้น รฟท.มีตัวเลขประเมินเบื้องต้นโดยใช้โมเดลค่าเช่ากรณีศูนย์การค้ามาบุญครอง มาเป็นแนวทาง ซึ่งโดยรวมแล้วกลุ่มมาบุญครอง จ่ายผลประโยชน์ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระยะเวลา 30 ปี วงเงินประมาณ 25,400 ล้านบาท ดังนั้น อย่างต่ำที่สุดที่ รฟท. ควรจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าที่ดินทำเลทองดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้เช่ารายเดิม คือ กลุ่มเซ็นทรัล หรือผู้เช่ารายใหม่

*** เดิมพันอนาคตรฟท.ปลดหนี้

การต่อสัญญาเช่าระหว่างรฟท.กับกลุ่มเซ็นทรัล คงไม่มีแรงกระเพื่อมมากนักหากไม่มีชายชื่อ “บรรณวิทย์” สนช. ที่สื่อบางฉบับตั้งให้เป็น “รัฐมนโท” เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพราะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และรฟท.ไม่ว่าชุดใดก็ตามมักเอื้ออำนวยประโยชน์สูงสุดให้กับเอกชนหาใช่องค์กร รฟท. แต่อย่างใด เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อประเมินจากสินทรัพย์ของ รฟท. ที่มีมูลค่ารวมกันมากถึง 72,664 ล้านบาท ในปี 2548 แต่องค์กรแห่งนี้ มีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์เพียง 952 ล้านบาท หรือมีรายได้ตอบแทนเพียงร้อยละ 1.31 ของมูลค่าสินทรัพย์

ยิ่งพิจารณาจากกรณีของกลุ่มเซ็นทรัลที่จ่ายค่าเช่าที่ดินทำเลทองบริเวณสามเหลี่ยมปากทางลาดพร้าว ในราคาปีละ 3 ล้านบาท และมีอัตราเพิ่มขึ้น 5% ทุกปี จนปีสุดท้ายได้รับค่าเช่าปีละ 10.6 ล้านบาทเท่านั้นยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ผลประโยชน์จากที่ดิน รฟท. ตกอยู่กับใครทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ

***โดยรวมแล้ว ที่ดินของรฟท.ที่มีอยู่กว่า 250,000 ไร่ทั่วประเทศ มีพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากถึง 50,000 ไร่ แต่ รฟท. กลับมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 67,434 ล้านบาท และขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นปี 2548 มีตัวเลขขาดทุนสะสมอยู่มากถึง 36,104 ล้านบาท นั่นทำให้ รฟท. กำลังเดินสู่ความหายนะถึงขั้นล้มละลาย หากไม่พลิกวิกฤตจากแรงกดดันรอบด้านมาหนุนส่งให้รฟท.ตั้งโต๊ะเจรจาต่อรองกับเซ็นทรัลอย่างสมศักดิ์ศรี สมน้ำสมเนื้อ

*** เซ็นทรัล ต้อน รฟท.เซ็นต่อสัญญา

สำหรับกรณีของการเช่าที่ดิน รฟท. ของบริษัทเซ็นทรัลอินเตอร์พัฒนา จำกัด ได้ลงนามสัญญาเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวกับ รฟท. เมื่อปี 2521 เนื้อที่ 47.22 ไร่ (75,558 ตร.ม.) ในราคาปีละ 3 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี สิ้นสุด ณ วันที่ 18 ธ.ค. 2551 หรือนับจากนี้ประมาณ 1 ปี 4 เดือน

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2543 บริษัทเซ็นทรัลฯ โดยนายสุทธิเกียรติ ทำหนังสือถึง รฟท. ขอเช่าพื้นที่ต่อล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2551 ออกไปอีก 30 ปี คือ สิ้นสุดวันที่ 18 ธ.ค. 2581 แต่นายยลชัย เขมังกรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสินทรัพย์ รฟท. ได้ทำหนังสือตอบกลับ ลงวันที่ 5 ก.พ. 2544 แจ้งผลการพิจารณาว่า การขอขยายกำหนดระยะเวลาเช่าหรือต่ออายุการเช่าที่ดินของบริษัทฯ มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาเช่าที่ดิน ฉบับลงวันที่ 19 ธ.ค. 2524 ข้อ 8 จึงยังไม่อาจพิจารณาดำเนินการใดให้ได้

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2544 นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ บริษัทเซ็นทรัลฯ ทำหนังสือถึง รฟท. อีกครั้ง โดยแจ้งว่า บริษัทยินดีจะทำตามเงื่อนไขในข้อ 8 ของสัญญาเช่าที่ดินฉบับลงวันที่ 19 ธ.ค. 2521 โดยประสงค์จะขอเช่าทรัพย์สินตามโครงการเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เพื่อประกอบกิจการต่อไปเป็นเวลาอีกอย่างน้อย 30 ปี หลังจากหมดอายุสัญญาเช่า กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป

ตามสัญญา ข้อ 8 ฉบับเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2521 ระบุว่า “สัญญาที่ดินนี้มีกำหนด 30 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่า 30 ปีแล้ว ผู้เช่ายอมให้อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์อาคารและอุปกรณ์สิ่งก่อสร้างและส่วนควบต่างๆ ระบบเครื่องทำความเย็น ระบบเครื่องไฟฟ้า ระบบเครื่องโทรศัพท์ ระบบกำจัดสิ่งโสโครกและน้ำเสีย เครื่องตกแต่งและครุภัณฑ์ ฯลฯ ที่ใช้ในการดำเนินกิจการของโครงการทั้งหมด ซึ่งในอยู่ในที่เช่า ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้น

“ผู้ให้เช่าจะให้ผู้เช่าที่ดินแปลงนี้ ได้เช่าอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินการกิจการของโครงการทั้งหมด เพื่อประกอบกิจการต่อไปได้อีกครั้งละไม่น้อยกว่า 10 ปี ในอัตราค่าเช่าและผลประโยชน์ตอบแทนตามที่จะได้ตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้เช่าจะต้องแจ้งความจำนงกับผู้ให้เช่าก่อนครบกำหนดอายุสัญญาเช่าไม่น้อยกว่า 1 ปี ถ้าผู้เช่าไม่ประสงค์จะประกอบกิจการต่อไป หรือตกลงกันไม่ได้ ผู้เช่าต้องมอบอาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นให้กับผู้เช่าทั้งสิ้น”

ต่อมา เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2544 รฟท. ทำหนังสือหารือสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ว่าการต่ออายุสัญญาการเช่าดังกล่าว จะต้องผ่านกระบวนการพ.ร.บ.ร่วมทุน หรือไม่ อย่างไร เนื่องจากสินทรัพย์ที่ รฟท. จะให้เอกชนเช่าครั้งนี้มีมูลค่าเกินกว่าหนึ่งพันล้านบาท ซึ่ง อสส. ทำหนังสือตอบรฟท.สรุปว่า เป็นสัญญาที่อยู่ในบังคับตามมาตรา 25 ของพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และทาง รฟท. ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ต่อรองผลประโยชน์ตามมาตรา 14 (4) คือ ให้พิจารณาดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการตามที่เห็นสมควร

*** เซ็นทรัล ชี้นำ รฟท.เดินตาม

ต่อมา เซ็นทรัล ได้แจ้งให้ รฟท. ทำหนังสือไปถามคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีอำนาจในการตีความกฎหมายโดยตรง และรฟท.ได้ทำตามโดยทำหนังสือที่ 1/7596/2548 ลงวันที่ 13 ธ.ค. 2548 หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ใน 2 ประเด็น คือ

1) การจัดทำสัญญาให้บริษัทเซ็นทรัลฯ เช่าทรัพย์สินตามคำมั่นที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ และจะต้องดำเนินการเริ่มตั้งแต่มาตรา 13 คือ แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการหรือไม่

และ 2) การให้เช่าทรัพย์สินตามข้อหารือได้ดำเนินการไปก่อนวันที่ พ.ร.บ.ร่วมทุน ใช้บังคับจะต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.นี้หรือไม่ เนื่องจากมาตรา 25 บัญญัติให้ขั้นตอนที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องย้อนกลับไปดำเนินการอีก จะถูกต้องหรือไม่ เพียงใด

*** เอื้อเซ็นทรัลผูกขาด

ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา (พิเศษ) มีหนังสือเรื่องเสร็จที่ 182/2549 ลงวันที่ 8 เม.ย. 2549 ตอบข้อหารือ รฟท. โดยมีความเห็นว่า 1) สัญญาดังกล่าวเป็นการลงทุนที่อยู่ในบังคับแห่งพ.ร.บ.ร่วมทุน

2) ตามกรณีที่หารือเกี่ยวกับคำมั่นที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 นั้น เห็นว่า เป็นเพียงเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นเพื่อให้บริษัทเซ็นทรัลฯ สามารถที่จะขอให้มีการเจรจาเพื่อเช่าอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินกิจการของโครงการทั้งหมด เพื่อประกอบกิจการต่อไปได้ โดยเปิดโอกาสให้คู่สัญญาสามารถทำความตกลงร่วมกันเกี่ยวกับระยะเวลาเช่า อัตราค่าเช่า และผลประโยชน์ตอบแทน ตลอดจนรายละเอียดและเงื่อนไขของสัญญาใหม่ได้

***ทั้งนี้ โดยไม่มีข้อผูกพันว่า รฟท. จะต้องให้บริษัทเซ็นทรัลฯ เช่าต่อไป เนื่องจากข้อ 8 ของสัญญาดังกล่าวกำหนดไว้ด้วยว่า หากบริษัทเซ็นทรัลฯ ไม่ได้แจ้งความจำนงภายในเวลาที่กำหนดหรือคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ให้บริษัทเซ็นทรัลฯ ผู้เช่าส่งมอบอาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดให้แก่ รฟท. ผู้ให้เช่าทั้งสิ้น
 
เมื่อปรากฏว่า บริษัทเซ็นทรัลฯ ได้มีหนังสือ ที่ สนญ. 1/2544 ลงวันที่ 5 มี.ค. 2544 ถึงผู้ว่าการ รฟท. แสดงความจำนงขอเช่าทรัพย์สินตามโครงการเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ย่อมเป็นกรณีที่บริษัทเซ็นทรัลฯ แสดงเจตนาจะประกอบกิจการต่อไปตามข้อ 8 ของสัญญาเช่าที่ดินแล้ว รฟท.จึงต้องทำการเจรจากับบริษัทเซ็นทรัลฯ เกี่ยวกับข้อเรียกร้อง ผลประโยชน์ตอบแทน และอายุของสัญญา เพื่อตกลงร่วมกันรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ ที่จำเป็นในการเช่าอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินการของโครงการทั้งหมดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ซึ่งย่อมต้องร่วมถึงการเช่าที่ดินต่อไปด้วย

3) คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า หากคู่สัญญาตกลงกันได้ จะต้องมีการทำสัญญาตกลงให้สิทธิแก่บริษัทเซ็นทรัลฯ เช่าอาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ดังกล่าวเพื่อประกอบกิจการต่อไป จึงถือว่าการดำเนินการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พ.ร.บ.ร่วมทุน ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 25 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว บัญญัติให้การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการโครงการในขั้นตอนใด ที่ รฟท. ได้กระทำไปแล้วก่อนพ.ร.บ.นี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้
 
4) ส่วนขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการต่อไปก็ต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.นี้ อันได้แก่ การเจรจาต่อรองค่าตอบแทนและผลประโยชน์ของรัฐ ทั้งนี้ รฟท. ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 เพื่อพิจารณาเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องมีในสัญญาและพิจารณาดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าทรัพย์สินตามโครงการนี้ ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 14 โดยไม่ต้องดำเนินการประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการใหม่ และดำเนินการตามมาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา 24 ต่อไป

ถึงแม้การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา จะชัดเจนว่าให้ รฟท.กับเซ็นทรัล เดินหน้า เจรจาต่อรองผลประโยชน์เพื่อทำความตกลงตามสัญญา ข้อ 8 และนำไปสู่การเซ็นต่ออายุสัญญา แต่ทว่าเมื่อคณะกรรมาธิการคมนาคม สนช. เข้ามาตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกในเรื่องดังกล่าวกลับพบเงื่อนงำความไม่โปร่งใสซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง กระทั่งตั้งคำถามถึงการตีความของกฤษฎีกาด้วย

***พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ฟันธงว่า เรื่องนี้มีความไม่โปร่งใสชัดเจน มีการเอื้อประโยชน์ให้เซ็นทรัลผูกขาดการเช่า ข้อมูลที่รฟท.ส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ กระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 13 พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ยังมีเงื่อนงำการผูกมัดตัวเองในการต่อสัญญากับเซ็นทรัลของผู้บริหารรฟท.อีกด้วย

กำลังโหลดความคิดเห็น