xs
xsm
sm
md
lg

"อนุพงษ์ เผ่าจินดา" ทหารอาชีพ ผู้กุมอำนาจรัฐประหารเงียบ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.คนใหม่
ในที่สุด ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่ ก็มาลงที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เตรียมทหารรุ่นที่ 10 รุ่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลที่อ้างว่าครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋น มีความโดดเด่นในฐานะทหารเสือราชินี มีภาพเป็นทหารอาชีพ

หลายฝ่ายจึงเห็นพ้องว่า พล.อ.อนุพงษ์ มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ทหารต้องกลับเข้ากรมกอง ทำกองทัพให้เป็นปึกแผ่น เข้มแข็ง ไม่โอนเอียงเข้าหาผลประโยชน์และการเมือง

การแสดงออกถึงบทบาทการเป็นทหารอาชีพของพล.อ.อนุพงษ์ เห็นได้จากห้วงเวลาหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งมั่นอยู่ในกองทัพ ดูแลงานด้านความมั่นคง ปฎิเสธตำแหน่งบอร์ดในรัฐวิสาหกิจใหญ่

ขณะที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร คู่แคนดิเดตที่ถูกเด้งไปรับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม เลือกเดินเข้าไปรับตำแหน่งประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจใหญ่ 2 แห่ง คือ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทศท. จำกัด (มหาชน) กระทั่งทำให้ภาพพจน์มัวหมองลงเพราะถูกลากจูงเข้าไปเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลของรัฐวิสาหกิจใหญ่ทั้งสองจนถูกสังคมตั้งคำถาม

ขณะเดียวกัน การแสดงบทบู๊ประกาศขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ สอดประสานกับเสียงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ ทำให้พล.อ.สพรั่ง ถูกกันออกนอกวงที่คุกรุ่นไปด้วยกระแส คมช. - รัฐบาล - ชนชั้นนำ เลือกหนทางสมานฉันท์กับขั้วอำนาจเก่า

ถึงแม้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เรียนเตรียมทหารรุ่น 10 แต่ขณะที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาค 1 ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เขากล้าพูดว่า “เพื่อนตท.10 ไม่จำเป็นจะต้องมีความเห็นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนกันหมด” จนทำให้ถูกมองเป็นฝ่ายต้านทักษิณ

ในคืนเกิดเหตุรัฐประหาร พล.ท.อนุพงษ์ แม่ทัพภาค 1 ก็จัดวางกำลังตามจุดเป้าหมายภายใต้แผน "ปฐพี 149" โดยมีกองกำลังจากกองทัพภาคที่ 3 ของ พล.ท.สพรั่ง เป็นฝ่ายประสาน ถึงแม้ว่าล่าสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะออกมาบอกว่า การทำรัฐประหารที่ผ่านมาเขาโชว์เดี่ยวพร้อมพันเอกคู่ใจเพียง 2 คน ไม่มีวีรบุรุษ พล.อ.อนุพงษ์ และพล.อ.สพรั่ง เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น

พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2492 ชื่อเล่น "ป็อก" เรียนเตรียมทหารรุ่น 10 และจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยจปร. รุ่นที่ 21 จบปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ รปศ.รุ่น 15 รวมถึงวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 46 ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นมากชื่อเสียง อย่าง จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี , ไกรทิพย์ ไกรฤกษ์ , ประวิช รัตนเพียร , สุวัจน์ ลิปตพัลลภ , ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ , ภูมิธรรม เวชยชัย , ศ.ดร.ดำรง เกษมเศรษฐ์ และ พล.อ.ท.สมชาย เธียรอนันต์ ฯลฯ

ด้านการชีวิตราชการ พล.อ.อนุพงษ์ ถือเป็นนายทหาร ที่คุมกำลังรบมาโดยตลอด จากตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ทหารเสือราชินี (ผบ.ร.21รอ.) เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) และเลื่อนตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และ แม่ทัพภาคที่ 1

หลังจากเหตุการณ์ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เลื่อนยศเป็น พล.อ. ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หรือที่เรียกว่า 5 เสือ ทบ. และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คู่กับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และเป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ กระทั่งขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขณะนี้คือ ผบ.ทบ. คนที่ 36 โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 2553

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บรรดาผู้นำและนายทหาร จะบอกกับสังคมว่า พล.อ.อนุพงษ์ มีความเป็นทหารมืออาชีพและจะไม่นำเอากองทัพไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ในมุมมองของ สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร ที่วิเคราะห์ผ่านบทความเรื่อง "รัฐประหารเงียบ !" กลับชี้ว่า เวลานี้ศูนย์กลางการเมืองกำลังจะถูกดึงมาไว้ในมือกองทัพมากกว่านักการเมืองหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

เพราะเมื่อรัฐบาลทหาร นำโดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผ่านร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2550 การออกกฎหมายที่มารองรับบทบาทของทหารในอนาคตพร้อมกับโอนอำนาจการควบคุมสังคมไปไว้ที่กองทัพ อาจกล่าวได้ว่าเกิด "รัฐประหารเงียบ" ขึ้นแล้ว

กฎหมายดังกล่าว ซึ่งเป็นร่างที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนี้ หากมีการนำมาใช้จะเสมือนการก่อตั้ง "รัฐทหาร" หรือ "รัฐความั่นคง" ที่ทุกอย่างถูกควบคุมโดยหน่วยงานความมั่นคง

สภาพเช่นนี้ กระบวนการทางการเมืองจึงถูกครอบงำด้วย "กระบวนการทำให้เป็นทหาร" ที่มองปัญหาภัยคุกคามกองทัพ มีนัยเท่ากับภัยคุกคามประเทศ ผลประโยชน์ของกองทัพมีค่าทางสมการคณิตศาสตร์เท่ากับผลประโยชน์ของชาติ

สุรชาติ ชี้ว่า กองทัพสามารถยึดอำนาจได้โดยการกดดันให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อค้ำจุนสถานะและผลประโยชน์ของกองทัพ ดังจะเห็นได้ว่า การประกาศข้อกำหนดต่างๆ เมื่อมีเหตุอันเป็นภัยต่อความมั่นคงนั้น ควรจะเป็นการออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แต่อำนาจเช่นนี้กลับถูกโอนไปไว้กับผู้บัญชาการทหารบกในตำแหน่งของผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ. รมน.)
 
ซึ่งนาทีนี้ ผบ.ทบ.และผอ.รมน. ย่อมหมายถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา


"ในการนี้ ผอ. รมน. (ผบ. ทบ.) ยังสามารถออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารได้ ซึ่งคำสั่งเช่นนี้ควรเป็นอำนาจของรัฐบาลในฐานะองค์อธิปัตย์ในทางการเมือง ตัวอย่างของประเด็นเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่าอำนาจของกองทัพกำลังอยู่ในสถานะที่เกินกว่าอำนาจของฝ่ายการเมืองโดยไม่จำเป็นต้องใช้การขู่ หรือคุกคาม ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือการยืนยันถึงการรัฐประหารเงียบที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลกำลังมีสถานะหลักลอยมากขึ้นนั่นเอง" สุรชาติ ระบุ

สัญญาณดังกล่าว บ่งบอกถึงปรากฏการณ์ว่าทหารกำลังเป็นสถาบันที่มีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอ่อนแอลงโดยปริยาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเมืองภาคประชาชน ที่ไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้น
 
การโฆษณาว่า ผบ.ทบ.คนใหม่ มีคุณสมบัติเป็นทหารอาชีพ จึงไม่ได้มีหลักประกันใดๆ ต่อสังคม การเมืองไทยในอนาคตว่า ทหารจะไม่ยุ่งการเมืองและผลประโยชน์ เพราะทหารวางแผนดำเนินการครอบงำ ควบคุม ทุกองคาพยพไว้ในมือเบ็ดเสร็จเรียบร้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น