"พวกนี้เป็นเจนเนเรชั่นที่ 2 ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยทั้งหมด ประทานโทษที่ต้องเอ่ยชื่อสถาบันรามคำแหง ที่มีคนไปข้างล่างไปร่วมปลุกม็อบที่ จ.ปัตตานี เป็นเด็กรามฯ ที่แฝงตัวไป และก็เป็นเด็กในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงเทพมหานครพอสมควรที่ลงไป ที่ มอ. ปัตตานี ก็มีส่วน ที่เรียนหนังสือก็อยู่บ้านแล้วไปเป็นโจร ผู้ก่อความไม่สงบ” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. – 18 มิ.ย. 2550

นั่นเป็นคำอธิบายการปรากฏตัวของกลุ่มนักศึกษาจากผู้กุมอำนาจทางการทหารสูงสุด ไม่ต่างไปจากข้อสรุปของกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มองว่าบรรดานักศึกษาเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่
ขณะที่ ตูแวดานียา ตูแวแมแง ประธานเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน อดีตรองนายกองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง แกนนำนักศึกษาที่จัดชุมนุมใหญ่หน้ามัสยิดกลางปัตตานี แจงว่า การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นเพียงกิจกรรมนักศึกษาพาเพื่อนลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน จัดเสวนาวิชาการ รวมทั้งจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหาของทางการ
เขายังยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแต่อย่างใด และย้ำว่าพวกเขาใช้หลัก “สันติประชาธรรม” ในการเคลื่อนไหว
ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะให้คำอธิบายอย่างไร การปรากฎตัวด้วยการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษาและประชาชนจำนวนหลายพันเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้บ่งบอกนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ท่ามกลางเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันจากฝีมือของขบวนการ “ใต้ดิน” การเผยตัวของม็อบเปอมูดอ (Permuda – เยาวชน) เป็นอีกหนึ่งในเกมรุก “ทางการเมือง” ที่หยิบยกประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมาเคลื่อนไหวทัดทานต่อรองกับอำนาจรัฐ ข้อเสนอของพวกเขาในนาม “เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน” ทั้ง 10 ข้อ กินความครอบคลุมทั้งประเด็นในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ได้นำมาสู่คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบประเด็นต่างๆ ที่กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแง่สงสัย ในจำนวนกรรมการหลายสิบคน มีตัวแทนนักศึกษากลุ่มผู้ชุมนุม 2 คน
ตูแวดานียา ยอมรับว่าองค์ประกอบของการชุมนุมมาจากนักศึกษารั้วรามคำแหง โดยเฉพาะกลุ่มพีเอ็นวายเอส (PNYS – Pattani Narathiwas Yala Songkhla Satul) ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากชายแดนใต้ นอกจากนี้ยังมีมาจากมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นอีกหลายสถาบัน ซึ่งทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่

นักศึกษากลุ่มนี้ยังได้เชื่อมเรื่องราวในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของนักศึกษาในปัญหาชายแดนใต้เมื่อการชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2518 ไว้หลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ “จุดชนวน” ที่ระบุว่ามีชาวบ้านถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐและมีผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์มาเป็นพยานบอกเล่าเหตุการณ์ พวกเขาจึงใช้ “มัสยิดกลางปัตตานี” เป็นที่ดำเนิน “กิจกรรม” และตั้งชื่อกลุ่มว่า “เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน” ล้อไปกับ “ศูนย์พิทักษ์ประชาชน” เมื่อปี 2518
***เผยตัวตน “ฝ่ายตรงกันข้าม”
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรอง วิเคราะห์การเปิดเผยตัวตนของกลุ่มนักศึกษาที่เชื่อมร้อยกับประชาชนเคลื่นไหวกดดันรัฐข้างต้น ว่า เป็นการการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาทั้งช่วงเวลาและการเลือกสถานที่
เขาเชื่อมั่นว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เชื่อมโยงกับ “ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต” โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคนนอกขบวนการบางรายที่ไม่ได้รับรู้วาระซ่อนเร้นของกลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากนี้ รูปแบบหรือ Pattern ในการก่อ “ม็อบ” ยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการชุมนุมของเด็กและผู้หญิงก่อนหน้านี้ กล่าวคือ หยิบยกประเด็นที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมมาปลุกกระแส และภายในที่ชุมนุมก็อาจจะมีคนที่ถูกจัดตั้งจากขบวนการเพียงบางส่วน ซึ่งท้ายที่สุดการชุมนุมก็เป็นเพียงหนึ่งในยุทธวิธีของฝ่ายตรงกันข้ามนั่นเอง
เขาไม่แปลกใจว่า นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะมีบทบาทในลักษณะเช่นนี้ เพราะจากฐานข่าวกรอง ผู้นำด้านการทหารของบีอาร์เอ็นฯ ก็เคยร่ำเรียนอยู่ในระบบการศึกษาแบบของรัฐ
ในขณะที่ พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่เมื่อพิจารณาในสถานการณ์แวดล้อมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากแต่มีการตั้งใจให้เกิด มีแผนงานเป็นระบบรองรับชัดเจน มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวอาจมีหลายส่วน แต่เคลื่อนไหวครั้งนี้ในลักษณะแนวร่วมมุมกลับที่ต่อต้านรัฐบาล
“เป้าในการมองของเรายังอยู่ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นหลัก” เขากล่าวยอมรับและวิเคราะห์ว่า การชุมนุมในแต่ละครั้งรวมถึงครั้งนี้เป็นเสมือนงานที่ขบวนการฯ ต้องการสะสม โดยมีประเด็นที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การรับมือของทางการต่อการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้มีในสองระดับคู่ขนานกันไป ในระดับสากลที่ต้องขี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องต่างๆ ของผู้ชุมนุมกับนานาประเทศ ขณะที่ภายในประเทศ ก็ต้องคลี่คลายสถานการณ์ชุมนุมโดยสันติ ยึดหลักสกัดกั้นและตรวจสอบผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุม เพื่อไม่ให้เหมือนเหตุการณ์ที่หน้า สภ.อ.ตากใบ เมื่อ 2 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม เสธ.รมน.ภาค 4 ยังกล่าวด้วยว่า หากประเด็นข้อเรียกร้องมีมูลว่าชาวบ้านเดือดร้อนจริง ทางการก็พร้อมที่จะร่วมแก้ไข แม้ทางกองทัพจะเข้าใจว่าเป็นยุทธวิธีของฝ่ายตรงกันข้ามก็ตาม
***เตือนรัฐอย่าผลัก “นักศึกษา” เข้ามุมอับ
ส่วนคำอธิบายของ อับดุลเลาะ อับรู อาจารย์วิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.สงขลานครินทร์ ปัตตานี ที่ปรึกษาของกลุ่มนักกิจกรรมหลายองค์กร ระบุว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาน่าจะมาจากกรณีต่างๆ ที่พวกเขาเห็นว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และใช้ช่องทางการชุมนุมโดยสันติตามกรอบของรัฐธรรมนูญในการเคลื่อนไหว นักศึกษาเหล่านี้มีพื้นฐานทางศาสนาและไปต่อยอดในองค์ความรู้สายสามัญในมหาวิทยาลัย ทำให้พวกเขากล้าแสดงออกและกล้าเผชิญหน้ากับความไม่เป็นธรรม ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเมื่อปี 2518 ที่ได้รับอิทธิพลความคิดมาจากกระแสของเหตุการณ์ 14 ตุลาที่กรุงเทพฯ
เขาวิเคราะห์ว่า อิทธิพลทางความคิดต่อนักศึกษากลุ่มนี้น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยา ที่โลกมุสลิมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำจากมหาอำนาจของโลกและเชื่อมโยงปัญหาในพื้นที่เข้าไปในกรอบการวิเคราะห์ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในที่แม้จะมีขบวนการก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่จริง แต่พวกเขาก็ได้รับรู้ว่ามีเหตุการณ์ที่กระทำต่อชาวบ้านไม่น้อยเช่นกัน แม้กรณีการสังหารชาวบ้านที่ยะหาอันเป็นต้นเหตุของการชุมนุมจะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร แต่ชาวบ้านก็ได้พิพากษาไปแล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่

เขาเตือนว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษามาจากสามัญสำนึกที่ต้องการช่วยชาวบ้าน แต่หากทางการประณามว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกับโจร น่ากังวลว่าจะเป็นการผลักดันพวกเขาให้ตกอยู่ในอีกมุมหนึ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ เพราะต้องไม่ลืมว่าพวกเขามีความรู้และสามารถ “เล่น” กับอำนาจรัฐได้
***เปิด “พื้นที่สาธารณะ” ต่อรองรัฐ
ส่วน ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ปัตตานี ชี้ให้เห็นว่า การปรากฏตัวของนักศึกษาในที่ชุมนุมในบริบทสถานการณ์เช่นนี้ ถือเป็นการประกาศตัวอย่างชัดเจนของกลุ่มที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าอาจมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงหรือมีอิทธิพลทางอ้อมต่อกลุ่มนักศึกษาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าการเผยตัวใน “พื้นที่สาธารณะ” เช่นนี้ เท่ากับเป็นการยกระดับจากเดิมที่เน้นเพียงเคลื่อนไหวปฏิบัติการด้านการทหารเพื่อปลุกกระแสและเคลื่อนไหวจัดตั้งมวลชนในทางลับ
การชุมนุมยังได้ประกาศหลักการ “สันติประชาธรรม” ในการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย ซึ่งในอีกด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการทำสัญญาประชาคมกับสังคม พวกเขามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับผิดชอบต่อข้อเรียกร้องของพวกเขา
ศรีสมภพ ยังระบุด้วยว่า ฝ่ายทางการเองก็จำต้องยอมรับกับลักษณะการเคลื่อนไหวดังกล่าว เพราะไม่แน่ว่าการเคลื่อนไหวด้วยแนวทางสันติวิธีดังกล่าวอาจเป็นทางออกของการแก้ปัญหาที่ในขณะนี้ต่างก็มีความสูญเสียสะสมขึ้นทุกวัน
เขาเห็นว่า การเคลื่อนไหวในพื้นที่เปิดจะนำมาสู่เวทีแลกเปลี่ยนและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันจากทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจกล่าวได้ว่า “พื้นที่สาธารณะ” นี่เองก็เป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายในสังคมใช้สื่อสารแลกเปลี่ยนประเด็น ข้อหารือ ด้วยการใช้เหตุและผลบนพื้นฐานที่มีเสรีภาพทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อตัวเป็นกลุ่มประชาสังคมต่างๆ อย่างไรก็ตาม อีกแนวคิดหนึ่งชี้ว่าพื้นที่สาธารณะเองก็ยังคงมีการครอบงำโดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่างและหยิบใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มตน
ด้วยมุมมองเช่นนี้ พื้นที่สาธารณะจึงเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงนิยามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความเป็นธรรมในพื้นที่ ความต้องการของผู้คนในพื้นที่ ทว่าอย่างน้อยก็เป็นพื้นที่ที่ถกเถียงกันโดยสันติ ไร้ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ศรีสมภพ วิเคราะห์การเคลื่อนไหวในลักษณะการชุมนุมว่าอาจมองได้หลายมุมมอง ในแง่ดีอาจหมายถึงการพยายามขับเคลื่อนเพื่อมุ่งหวังสะท้อนความต้องการของพวกเขาผ่านเวทีสาธารณะเพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง ทว่าหากมองในแง่ร้าย การเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่อาจคาดหวังจุดพลิกผันเพื่อนำไปสู่ภาวะจลาจลและทำให้สถานการณ์เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นในบอสเนียในช่วงเริ่มแรกของความขัดแย้งภายในที่จบลงด้วยการเข้ากุมสภาพของสงครามโดยกองกำลังนานาชาติ
เขาชี้ว่า การส่งเสริมให้พื้นที่สาธารณะเติบโตอาจมีความเสี่ยงที่สังคมไทยจำต้องอดทนยอมรับและเรียนรู้ร่วมไปกับสถานการณ์ ที่สำคัญจะต้องไม่ปล่อยให้การช่วงชิงพื้นที่สาธารณะจำกัดอยู่ทีเฉพาะคู่ขัดแย้งเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า “พื้นที่สาธารณะ” ในประเด็นปัญหาชายแดนใต้ในปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนผ่านสื่อมวลชนมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายได้อย่างรอบด้านและเสมอกัน ขณะที่การก่อตัวของพลังประชาสังคมเพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐและอีกฝ่ายที่มุ่งใช้ความรุนแรงครอบงำพื้นที่เองก็ยังไม่มีพลังชัดเจน
***มองย้อนประวัติศาสตร์ – เห็นช่องแนวทางการเมือง
การเผยตัวของ “นักศึกษา” ที่เคลื่อนไหวในการชุมนุมครั้งดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญหลายประการที่ควรจับตามองอย่างยิ่ง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ระยะใกล้ที่มีนักศึกษาและปัญญาชนเป็นตัวละครสำคัญ และในยุคสมัยที่สิ่งที่เรียกว่า “ภาคประชาสังคม” ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรมมากนัก
แหล่งข่าวนักธุรกิจรายหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นแกนนำกลุ่มพีเอ็นวายเอสในยุค 10 ปีแรก มองว่า กลุ่มนักศึกษาซึ่งมีพื้นเพเป็นคนเชื้อสายมลายู มีความรู้พื้นฐานด้านศาสนาบ้างแต่ไปต่อยอดกับความรู้สามัญในระดับอุดมศึกษาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อปัญหาชายแดนใต้ อย่างน้อย ในอดีตนักศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันขบวนการติดอาวุธให้หันมาให้ความสำคัญกับการต่อสู้ทางการเมืองแทนที่จะใช้ความรุนแรง

เขายอมรับว่า ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต ให้ความสำคัญต่อกลุ่มเยาวชนอย่างยิ่งยวด การก่อตั้งกลุ่มพีเอ็นวายเอสในยุคแรกๆ ก็อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของการจัดตั้งองค์กรเยาวชนเพื่อทำงานจัดตั้งทางความคิดให้กับเด็กหนุ่มสาวจากท้องถิ่นที่เดินทางร่ำเรียนในสายสามัญในกรุงเทพ โดยยึดโยงรูปแบบมาจากธรรมเนียมของพรรคคอมมิวนิสต์
ด้ยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่หน่วยข่าวกรองของทางการมักจะแปลความตัวย่อของกลุ่ม PNYS เป็น Patani National Youth Solidarity แทนเรียงร้อยชื่อจังหวัด
หลังปี 2518 ซึ่งมีการชุมนุมใหญ่ที่มัสยิดกลางปัตตานี ภาพของปัญญาชนจากกรุงเทพฯ ทั้งที่เป็นผู้ที่มีเชื้อสายมลายูในพื้นที่หรือปัญญาชนต่างศาสนิกที่ลงมาร่วมเคลื่อนไหวกับชาวบ้าน สร้างกระแสให้มีการส่งบุตรหลานเข้าสู่ระบบการศึกษาสายสามัญมากขึ้นในเวลาต่อมา ทศวรรษที่ 2520 จึงเป็นเหมือนยุครุ่งเรืองของนักศึกษามลายูที่หลั่งไหลเข้ากรุงเทพจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายหลักคือ ม.รามคำแหง และในปี 2521 กลุ่มพีเอ็นวายเอสก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้น นอกจากเพื่อตอบสนองต่อภารกิจใต้ดินแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อดูแลเยาวชนพลัดถิ่นเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมของเมืองหลวง
ทว่าในเวลาต่อมา นักศึกษาเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ผลักดันจุดเปลี่ยนจากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธใต้ดินมาสู่การต่อสู้ในระบบ ทั้งในรูปแบบของการต่อสู้ทางการเมืองในรัฐสภา รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะการได้เรียนรู้ ประกอบกับประสบการณ์ทางการเมืองในเมืองหลวงได้หล่อหลอมให้พวกเขาได้เห็นช่องทางเลือกในการต่อรองทางการเมือง นอกเหนือจากการติดอาวุธต่อสู้
“แนวความคิดเรื่องกลุ่มการเมืองอย่างกลุ่มวาดะห์และชมรมนักกฏหมายมุสลิมก็เกิดขึ้นในช่วงนี้” และนั่นนำมาสู่การเชื่อมร้อยกับนักกิจกรรมมุสลิมอีกหลายคนในกรุงเทพฯ เพื่อก่อตัวกระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมในพื้นที่สาธารณะ
เขาวิเคราะห์ว่า แนวร่วมในการต่อกรกับรัฐไทยเพื่อเป้าประสงค์แบ่งแยกดินแดนในอดีต ต่างสมาทานความคิด อุดมการณ์ กระทั่งยุทธวิธีมาจากบทเรียนที่เกิดขึ้นทั่วโลก “ลัทธิเอาอย่าง” เช่นนี้ ดำรงอยู่แม้แต่ในขบวนการนักศึกษาชายแดนใต้และนั่นนำมาสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ นอกเหนือจากความอ่อนแอภายในขบวนการที่เริ่มอ่อนแรงและเกิดความแตกแยกทางความคิดเมื่อ “อุซตาซการิม” หรือฮัจยีอับดุลการิม ฮัสซัน ผู้นำทางความคิดของขบวนการบีอาร์เอ็นเริ่มปฏิเสธทฤษฎีการต่อสู้ที่ผ่านมาของขบวน
อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากภาครัฐที่เปิดช่องทางของรัฐบาลด้วยนโยบาย 66/23 แต่เพียงเท่านั้น
ประกอบกับบริบทแวดล้อมในขณะนั้นก็มีปัจจัยภายนอกหนุนนำให้นักศึกษาเหล่านี้เรียนรู้ คือ สถานการณ์ปฏิวัติในอิหร่านเมื่อปี 2522 สงครามมูญาฮิดีนระหว่างอัฟกานิสถานและรัสเซียตั้งแต่ปี 2522 - 2535 ซึ่งส่งอิทธิพลให้การต่อสู้ที่แต่เดิมอิงแนวคิดชาตินิยมมลายูและแนวคิดสังคมนิยม มาสู่การแสวงหาแนวทางที่ยึดโยงกับศาสนามากขึ้น
ปัญญาชนยุคนั้นจึงมีบทบาทอย่างสำคัญในการเดินสายขายแนวคิดการต่อสู้ “บนดิน” กับแกนนำและกองกำลังของคนรุ่นก่อน ว่ากันว่านักการเมืองหนุ่มอดีตนักศึกษากลุ่มพีเอ็นวายเอสเคยปราศรัยสด ณ ฐานที่มั่นกลางป่าเขาในแถบเทือกเขาที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ต่อหน้ากองกำลังติดอาวุธนับร้อยของขบวนการบีอาร์เอ็นเพื่อให้สนับสนุนการต่อสู้ในระบบรัฐสภา
ในระหว่างการต่อสู้ทางความคิดภายในขบวนการ การชุมนุมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ก็อุบัติขึ้นหลายครั้ง อาทิเช่น การประท้วงเรียกร้องให้นักศึกษาหญิงของสถาบันราชภัฎยะลาสามารถคลุมฮิญาบได้เมื่อปี 2531 หรือการประท้วงกรณีกรมศิลปากรจะขึ้นทะเบียนมัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2533 เป็นต้น ซึ่งแทบทุกครั้งขบวนการใต้ดินแทบจะไม่มีบทบาทใดๆ ทว่าผลสะเทือนของการเคลื่อนไหวดังกล่าว คือ การมองเห็นช่องทางในการต่อรองกับอำนาจรัฐในประเด็นวัฒนธรรมและศาสนา
แม้ในเวลาต่อมา พวกเขาจะยึดกุมอำนาจรัฐได้ในนามของสมาชิกรัฐสภาและตัวแทนของท้องถิ่นยังได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในระดับรัฐมนตรีหลายคน ทว่าการกลายสภาพเป็นนักการเมืองที่มุ่งแสวงหาประโยชน์และรักษาอำนาจของพวกเขาได้ทำให้พื้นที่ทางการเมืองผ่าน “กลุ่มวาดะห์” ต้องมืดมนลง เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรัฐบาลทักษิณ
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายดังกล่าวยังเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองในระบบรัฐสภาจะยังคงเป็นทางเลือกสำหรับคนท้องถิ่นได้อยู่ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ประเด็นข้อเสนอที่เป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าใครหรือกลุ่มใดเสนอตนเป็นตัวแทน
“ผมคิดว่าหากมีพรรคการเมืองใดที่เสนอเขตปกครองพิเศษในพื้นที่แห่งนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะได้รับเลือก”
นี่คือบทสรุปจากบทเรียนที่คนมลายูมุสลิมได้เรียนรู้และยังไม่แน่ชัดว่าขณะนี้ผู้คนในท้องถิ่นมีทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรงหรือไม่
อ่านรายงาน
"นักศึกษาและพื้นที่การเมืองในไฟใต้" ฉบับเต็มความยาว 3 ตอนจบ
ที่เว็บไซต์ ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ (IDSW)
ตอน 1 : ตัวตน "ม็อบเปอมูดอ" ใน "พื้นที่การเมือง"
ตอน 2 : เปิดฉากต่อรองในหนทาง "สันติวิธี"
ตอน 3 : หนุน "พื้นที่การเมือง" ต่อรองอำนาจรัฐ
นั่นเป็นคำอธิบายการปรากฏตัวของกลุ่มนักศึกษาจากผู้กุมอำนาจทางการทหารสูงสุด ไม่ต่างไปจากข้อสรุปของกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มองว่าบรรดานักศึกษาเหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่
ขณะที่ ตูแวดานียา ตูแวแมแง ประธานเครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน อดีตรองนายกองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง แกนนำนักศึกษาที่จัดชุมนุมใหญ่หน้ามัสยิดกลางปัตตานี แจงว่า การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นเพียงกิจกรรมนักศึกษาพาเพื่อนลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน จัดเสวนาวิชาการ รวมทั้งจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหาของทางการ
เขายังยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแต่อย่างใด และย้ำว่าพวกเขาใช้หลัก “สันติประชาธรรม” ในการเคลื่อนไหว
ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะให้คำอธิบายอย่างไร การปรากฎตัวด้วยการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษาและประชาชนจำนวนหลายพันเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้บ่งบอกนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ท่ามกลางเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันจากฝีมือของขบวนการ “ใต้ดิน” การเผยตัวของม็อบเปอมูดอ (Permuda – เยาวชน) เป็นอีกหนึ่งในเกมรุก “ทางการเมือง” ที่หยิบยกประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมาเคลื่อนไหวทัดทานต่อรองกับอำนาจรัฐ ข้อเสนอของพวกเขาในนาม “เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน” ทั้ง 10 ข้อ กินความครอบคลุมทั้งประเด็นในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ ได้นำมาสู่คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบประเด็นต่างๆ ที่กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแง่สงสัย ในจำนวนกรรมการหลายสิบคน มีตัวแทนนักศึกษากลุ่มผู้ชุมนุม 2 คน
ตูแวดานียา ยอมรับว่าองค์ประกอบของการชุมนุมมาจากนักศึกษารั้วรามคำแหง โดยเฉพาะกลุ่มพีเอ็นวายเอส (PNYS – Pattani Narathiwas Yala Songkhla Satul) ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจากชายแดนใต้ นอกจากนี้ยังมีมาจากมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นอีกหลายสถาบัน ซึ่งทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่
นักศึกษากลุ่มนี้ยังได้เชื่อมเรื่องราวในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของนักศึกษาในปัญหาชายแดนใต้เมื่อการชุมนุมใหญ่เมื่อปี 2518 ไว้หลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ “จุดชนวน” ที่ระบุว่ามีชาวบ้านถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐและมีผู้ที่เหลือรอดจากเหตุการณ์มาเป็นพยานบอกเล่าเหตุการณ์ พวกเขาจึงใช้ “มัสยิดกลางปัตตานี” เป็นที่ดำเนิน “กิจกรรม” และตั้งชื่อกลุ่มว่า “เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน” ล้อไปกับ “ศูนย์พิทักษ์ประชาชน” เมื่อปี 2518
***เผยตัวตน “ฝ่ายตรงกันข้าม”
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรอง วิเคราะห์การเปิดเผยตัวตนของกลุ่มนักศึกษาที่เชื่อมร้อยกับประชาชนเคลื่นไหวกดดันรัฐข้างต้น ว่า เป็นการการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาทั้งช่วงเวลาและการเลือกสถานที่
เขาเชื่อมั่นว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เชื่อมโยงกับ “ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต” โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคนนอกขบวนการบางรายที่ไม่ได้รับรู้วาระซ่อนเร้นของกลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากนี้ รูปแบบหรือ Pattern ในการก่อ “ม็อบ” ยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการชุมนุมของเด็กและผู้หญิงก่อนหน้านี้ กล่าวคือ หยิบยกประเด็นที่ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมมาปลุกกระแส และภายในที่ชุมนุมก็อาจจะมีคนที่ถูกจัดตั้งจากขบวนการเพียงบางส่วน ซึ่งท้ายที่สุดการชุมนุมก็เป็นเพียงหนึ่งในยุทธวิธีของฝ่ายตรงกันข้ามนั่นเอง
เขาไม่แปลกใจว่า นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะมีบทบาทในลักษณะเช่นนี้ เพราะจากฐานข่าวกรอง ผู้นำด้านการทหารของบีอาร์เอ็นฯ ก็เคยร่ำเรียนอยู่ในระบบการศึกษาแบบของรัฐ
ในขณะที่ พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่เมื่อพิจารณาในสถานการณ์แวดล้อมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากแต่มีการตั้งใจให้เกิด มีแผนงานเป็นระบบรองรับชัดเจน มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวอาจมีหลายส่วน แต่เคลื่อนไหวครั้งนี้ในลักษณะแนวร่วมมุมกลับที่ต่อต้านรัฐบาล
“เป้าในการมองของเรายังอยู่ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นหลัก” เขากล่าวยอมรับและวิเคราะห์ว่า การชุมนุมในแต่ละครั้งรวมถึงครั้งนี้เป็นเสมือนงานที่ขบวนการฯ ต้องการสะสม โดยมีประเด็นที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การรับมือของทางการต่อการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้มีในสองระดับคู่ขนานกันไป ในระดับสากลที่ต้องขี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องต่างๆ ของผู้ชุมนุมกับนานาประเทศ ขณะที่ภายในประเทศ ก็ต้องคลี่คลายสถานการณ์ชุมนุมโดยสันติ ยึดหลักสกัดกั้นและตรวจสอบผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุม เพื่อไม่ให้เหมือนเหตุการณ์ที่หน้า สภ.อ.ตากใบ เมื่อ 2 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เสธ.รมน.ภาค 4 ยังกล่าวด้วยว่า หากประเด็นข้อเรียกร้องมีมูลว่าชาวบ้านเดือดร้อนจริง ทางการก็พร้อมที่จะร่วมแก้ไข แม้ทางกองทัพจะเข้าใจว่าเป็นยุทธวิธีของฝ่ายตรงกันข้ามก็ตาม
***เตือนรัฐอย่าผลัก “นักศึกษา” เข้ามุมอับ
ส่วนคำอธิบายของ อับดุลเลาะ อับรู อาจารย์วิทยาลัยอิสลามศึกษา ม.สงขลานครินทร์ ปัตตานี ที่ปรึกษาของกลุ่มนักกิจกรรมหลายองค์กร ระบุว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาน่าจะมาจากกรณีต่างๆ ที่พวกเขาเห็นว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และใช้ช่องทางการชุมนุมโดยสันติตามกรอบของรัฐธรรมนูญในการเคลื่อนไหว นักศึกษาเหล่านี้มีพื้นฐานทางศาสนาและไปต่อยอดในองค์ความรู้สายสามัญในมหาวิทยาลัย ทำให้พวกเขากล้าแสดงออกและกล้าเผชิญหน้ากับความไม่เป็นธรรม ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกับนักศึกษาที่เคลื่อนไหวเมื่อปี 2518 ที่ได้รับอิทธิพลความคิดมาจากกระแสของเหตุการณ์ 14 ตุลาที่กรุงเทพฯ
เขาวิเคราะห์ว่า อิทธิพลทางความคิดต่อนักศึกษากลุ่มนี้น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยา ที่โลกมุสลิมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำจากมหาอำนาจของโลกและเชื่อมโยงปัญหาในพื้นที่เข้าไปในกรอบการวิเคราะห์ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในที่แม้จะมีขบวนการก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่จริง แต่พวกเขาก็ได้รับรู้ว่ามีเหตุการณ์ที่กระทำต่อชาวบ้านไม่น้อยเช่นกัน แม้กรณีการสังหารชาวบ้านที่ยะหาอันเป็นต้นเหตุของการชุมนุมจะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร แต่ชาวบ้านก็ได้พิพากษาไปแล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่
เขาเตือนว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษามาจากสามัญสำนึกที่ต้องการช่วยชาวบ้าน แต่หากทางการประณามว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกับโจร น่ากังวลว่าจะเป็นการผลักดันพวกเขาให้ตกอยู่ในอีกมุมหนึ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ เพราะต้องไม่ลืมว่าพวกเขามีความรู้และสามารถ “เล่น” กับอำนาจรัฐได้
***เปิด “พื้นที่สาธารณะ” ต่อรองรัฐ
ส่วน ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ปัตตานี ชี้ให้เห็นว่า การปรากฏตัวของนักศึกษาในที่ชุมนุมในบริบทสถานการณ์เช่นนี้ ถือเป็นการประกาศตัวอย่างชัดเจนของกลุ่มที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าอาจมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงหรือมีอิทธิพลทางอ้อมต่อกลุ่มนักศึกษาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าการเผยตัวใน “พื้นที่สาธารณะ” เช่นนี้ เท่ากับเป็นการยกระดับจากเดิมที่เน้นเพียงเคลื่อนไหวปฏิบัติการด้านการทหารเพื่อปลุกกระแสและเคลื่อนไหวจัดตั้งมวลชนในทางลับ
การชุมนุมยังได้ประกาศหลักการ “สันติประชาธรรม” ในการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย ซึ่งในอีกด้านหนึ่งเท่ากับเป็นการทำสัญญาประชาคมกับสังคม พวกเขามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับผิดชอบต่อข้อเรียกร้องของพวกเขา
ศรีสมภพ ยังระบุด้วยว่า ฝ่ายทางการเองก็จำต้องยอมรับกับลักษณะการเคลื่อนไหวดังกล่าว เพราะไม่แน่ว่าการเคลื่อนไหวด้วยแนวทางสันติวิธีดังกล่าวอาจเป็นทางออกของการแก้ปัญหาที่ในขณะนี้ต่างก็มีความสูญเสียสะสมขึ้นทุกวัน
เขาเห็นว่า การเคลื่อนไหวในพื้นที่เปิดจะนำมาสู่เวทีแลกเปลี่ยนและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันจากทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจกล่าวได้ว่า “พื้นที่สาธารณะ” นี่เองก็เป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายในสังคมใช้สื่อสารแลกเปลี่ยนประเด็น ข้อหารือ ด้วยการใช้เหตุและผลบนพื้นฐานที่มีเสรีภาพทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อตัวเป็นกลุ่มประชาสังคมต่างๆ อย่างไรก็ตาม อีกแนวคิดหนึ่งชี้ว่าพื้นที่สาธารณะเองก็ยังคงมีการครอบงำโดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่างและหยิบใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มตน
ด้วยมุมมองเช่นนี้ พื้นที่สาธารณะจึงเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงนิยามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความเป็นธรรมในพื้นที่ ความต้องการของผู้คนในพื้นที่ ทว่าอย่างน้อยก็เป็นพื้นที่ที่ถกเถียงกันโดยสันติ ไร้ความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ศรีสมภพ วิเคราะห์การเคลื่อนไหวในลักษณะการชุมนุมว่าอาจมองได้หลายมุมมอง ในแง่ดีอาจหมายถึงการพยายามขับเคลื่อนเพื่อมุ่งหวังสะท้อนความต้องการของพวกเขาผ่านเวทีสาธารณะเพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง ทว่าหากมองในแง่ร้าย การเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่อาจคาดหวังจุดพลิกผันเพื่อนำไปสู่ภาวะจลาจลและทำให้สถานการณ์เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นในบอสเนียในช่วงเริ่มแรกของความขัดแย้งภายในที่จบลงด้วยการเข้ากุมสภาพของสงครามโดยกองกำลังนานาชาติ
เขาชี้ว่า การส่งเสริมให้พื้นที่สาธารณะเติบโตอาจมีความเสี่ยงที่สังคมไทยจำต้องอดทนยอมรับและเรียนรู้ร่วมไปกับสถานการณ์ ที่สำคัญจะต้องไม่ปล่อยให้การช่วงชิงพื้นที่สาธารณะจำกัดอยู่ทีเฉพาะคู่ขัดแย้งเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่า “พื้นที่สาธารณะ” ในประเด็นปัญหาชายแดนใต้ในปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนผ่านสื่อมวลชนมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายได้อย่างรอบด้านและเสมอกัน ขณะที่การก่อตัวของพลังประชาสังคมเพื่อสร้างทางเลือกให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐและอีกฝ่ายที่มุ่งใช้ความรุนแรงครอบงำพื้นที่เองก็ยังไม่มีพลังชัดเจน
***มองย้อนประวัติศาสตร์ – เห็นช่องแนวทางการเมือง
การเผยตัวของ “นักศึกษา” ที่เคลื่อนไหวในการชุมนุมครั้งดังกล่าวจึงมีนัยสำคัญหลายประการที่ควรจับตามองอย่างยิ่ง เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ระยะใกล้ที่มีนักศึกษาและปัญญาชนเป็นตัวละครสำคัญ และในยุคสมัยที่สิ่งที่เรียกว่า “ภาคประชาสังคม” ยังไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปธรรมมากนัก
แหล่งข่าวนักธุรกิจรายหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นแกนนำกลุ่มพีเอ็นวายเอสในยุค 10 ปีแรก มองว่า กลุ่มนักศึกษาซึ่งมีพื้นเพเป็นคนเชื้อสายมลายู มีความรู้พื้นฐานด้านศาสนาบ้างแต่ไปต่อยอดกับความรู้สามัญในระดับอุดมศึกษาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อปัญหาชายแดนใต้ อย่างน้อย ในอดีตนักศึกษาเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันขบวนการติดอาวุธให้หันมาให้ความสำคัญกับการต่อสู้ทางการเมืองแทนที่จะใช้ความรุนแรง
เขายอมรับว่า ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต ให้ความสำคัญต่อกลุ่มเยาวชนอย่างยิ่งยวด การก่อตั้งกลุ่มพีเอ็นวายเอสในยุคแรกๆ ก็อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของการจัดตั้งองค์กรเยาวชนเพื่อทำงานจัดตั้งทางความคิดให้กับเด็กหนุ่มสาวจากท้องถิ่นที่เดินทางร่ำเรียนในสายสามัญในกรุงเทพ โดยยึดโยงรูปแบบมาจากธรรมเนียมของพรรคคอมมิวนิสต์
ด้ยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่หน่วยข่าวกรองของทางการมักจะแปลความตัวย่อของกลุ่ม PNYS เป็น Patani National Youth Solidarity แทนเรียงร้อยชื่อจังหวัด
หลังปี 2518 ซึ่งมีการชุมนุมใหญ่ที่มัสยิดกลางปัตตานี ภาพของปัญญาชนจากกรุงเทพฯ ทั้งที่เป็นผู้ที่มีเชื้อสายมลายูในพื้นที่หรือปัญญาชนต่างศาสนิกที่ลงมาร่วมเคลื่อนไหวกับชาวบ้าน สร้างกระแสให้มีการส่งบุตรหลานเข้าสู่ระบบการศึกษาสายสามัญมากขึ้นในเวลาต่อมา ทศวรรษที่ 2520 จึงเป็นเหมือนยุครุ่งเรืองของนักศึกษามลายูที่หลั่งไหลเข้ากรุงเทพจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายหลักคือ ม.รามคำแหง และในปี 2521 กลุ่มพีเอ็นวายเอสก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้น นอกจากเพื่อตอบสนองต่อภารกิจใต้ดินแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อดูแลเยาวชนพลัดถิ่นเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมของเมืองหลวง
ทว่าในเวลาต่อมา นักศึกษาเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ผลักดันจุดเปลี่ยนจากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธใต้ดินมาสู่การต่อสู้ในระบบ ทั้งในรูปแบบของการต่อสู้ทางการเมืองในรัฐสภา รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะการได้เรียนรู้ ประกอบกับประสบการณ์ทางการเมืองในเมืองหลวงได้หล่อหลอมให้พวกเขาได้เห็นช่องทางเลือกในการต่อรองทางการเมือง นอกเหนือจากการติดอาวุธต่อสู้
“แนวความคิดเรื่องกลุ่มการเมืองอย่างกลุ่มวาดะห์และชมรมนักกฏหมายมุสลิมก็เกิดขึ้นในช่วงนี้” และนั่นนำมาสู่การเชื่อมร้อยกับนักกิจกรรมมุสลิมอีกหลายคนในกรุงเทพฯ เพื่อก่อตัวกระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมในพื้นที่สาธารณะ
เขาวิเคราะห์ว่า แนวร่วมในการต่อกรกับรัฐไทยเพื่อเป้าประสงค์แบ่งแยกดินแดนในอดีต ต่างสมาทานความคิด อุดมการณ์ กระทั่งยุทธวิธีมาจากบทเรียนที่เกิดขึ้นทั่วโลก “ลัทธิเอาอย่าง” เช่นนี้ ดำรงอยู่แม้แต่ในขบวนการนักศึกษาชายแดนใต้และนั่นนำมาสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ นอกเหนือจากความอ่อนแอภายในขบวนการที่เริ่มอ่อนแรงและเกิดความแตกแยกทางความคิดเมื่อ “อุซตาซการิม” หรือฮัจยีอับดุลการิม ฮัสซัน ผู้นำทางความคิดของขบวนการบีอาร์เอ็นเริ่มปฏิเสธทฤษฎีการต่อสู้ที่ผ่านมาของขบวน
อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากภาครัฐที่เปิดช่องทางของรัฐบาลด้วยนโยบาย 66/23 แต่เพียงเท่านั้น
ประกอบกับบริบทแวดล้อมในขณะนั้นก็มีปัจจัยภายนอกหนุนนำให้นักศึกษาเหล่านี้เรียนรู้ คือ สถานการณ์ปฏิวัติในอิหร่านเมื่อปี 2522 สงครามมูญาฮิดีนระหว่างอัฟกานิสถานและรัสเซียตั้งแต่ปี 2522 - 2535 ซึ่งส่งอิทธิพลให้การต่อสู้ที่แต่เดิมอิงแนวคิดชาตินิยมมลายูและแนวคิดสังคมนิยม มาสู่การแสวงหาแนวทางที่ยึดโยงกับศาสนามากขึ้น
ปัญญาชนยุคนั้นจึงมีบทบาทอย่างสำคัญในการเดินสายขายแนวคิดการต่อสู้ “บนดิน” กับแกนนำและกองกำลังของคนรุ่นก่อน ว่ากันว่านักการเมืองหนุ่มอดีตนักศึกษากลุ่มพีเอ็นวายเอสเคยปราศรัยสด ณ ฐานที่มั่นกลางป่าเขาในแถบเทือกเขาที่ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ต่อหน้ากองกำลังติดอาวุธนับร้อยของขบวนการบีอาร์เอ็นเพื่อให้สนับสนุนการต่อสู้ในระบบรัฐสภา
ในระหว่างการต่อสู้ทางความคิดภายในขบวนการ การชุมนุมของประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ก็อุบัติขึ้นหลายครั้ง อาทิเช่น การประท้วงเรียกร้องให้นักศึกษาหญิงของสถาบันราชภัฎยะลาสามารถคลุมฮิญาบได้เมื่อปี 2531 หรือการประท้วงกรณีกรมศิลปากรจะขึ้นทะเบียนมัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานเมื่อปี 2533 เป็นต้น ซึ่งแทบทุกครั้งขบวนการใต้ดินแทบจะไม่มีบทบาทใดๆ ทว่าผลสะเทือนของการเคลื่อนไหวดังกล่าว คือ การมองเห็นช่องทางในการต่อรองกับอำนาจรัฐในประเด็นวัฒนธรรมและศาสนา
แม้ในเวลาต่อมา พวกเขาจะยึดกุมอำนาจรัฐได้ในนามของสมาชิกรัฐสภาและตัวแทนของท้องถิ่นยังได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในระดับรัฐมนตรีหลายคน ทว่าการกลายสภาพเป็นนักการเมืองที่มุ่งแสวงหาประโยชน์และรักษาอำนาจของพวกเขาได้ทำให้พื้นที่ทางการเมืองผ่าน “กลุ่มวาดะห์” ต้องมืดมนลง เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรัฐบาลทักษิณ
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายดังกล่าวยังเชื่อมั่นว่า พรรคการเมืองในระบบรัฐสภาจะยังคงเป็นทางเลือกสำหรับคนท้องถิ่นได้อยู่ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ประเด็นข้อเสนอที่เป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าใครหรือกลุ่มใดเสนอตนเป็นตัวแทน
“ผมคิดว่าหากมีพรรคการเมืองใดที่เสนอเขตปกครองพิเศษในพื้นที่แห่งนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะได้รับเลือก”
นี่คือบทสรุปจากบทเรียนที่คนมลายูมุสลิมได้เรียนรู้และยังไม่แน่ชัดว่าขณะนี้ผู้คนในท้องถิ่นมีทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรงหรือไม่
อ่านรายงาน
"นักศึกษาและพื้นที่การเมืองในไฟใต้" ฉบับเต็มความยาว 3 ตอนจบ
ที่เว็บไซต์ ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ (IDSW)
ตอน 1 : ตัวตน "ม็อบเปอมูดอ" ใน "พื้นที่การเมือง"
ตอน 2 : เปิดฉากต่อรองในหนทาง "สันติวิธี"
ตอน 3 : หนุน "พื้นที่การเมือง" ต่อรองอำนาจรัฐ