xs
xsm
sm
md
lg

ป่าพรุแม่รำพึงVSโรงถลุงเหล็กสหวิริยา บนเส้นทางพัฒนาคู่ขนาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“......ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการทำลายระบบนิเวศน์ จะใช้อำนาจเงินและอิทธิพลเส้นสายที่ตัวมีอยู่เพื่อคุกคามพี่น้องที่ลุกขึ้นมาปกป้องทรัพย์ของชุมชนและแผ่นดิน บางครั้งก็อาศัยอำนาจรัฐผ่านข้าราชการทุจริตฉ้อฉล บางครั้งก็อาศัยการดำเนินคดีทางกฎหมายซึ่งต้องกินเวลายาวนาน ก่อให้เกิดความยากลำบากแก่พี่น้องที่ต้องคดี บางครั้งก็อาศัยอิทธิพลเถื่อนเช่นนักเลงหัวไม้หรือมือปืน เพื่อทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินของพี่น้อง ดังเช่นที่คุณเจริญ วัดอักษร แห่งอำเภอบ่อนอกได้ประสบมาแล้ว” คำประกาศมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน “พื้นที่เสี่ยงภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม” 26 พ.ค. 2550

“โรงถลุงเหล็กของสหวิริยา เป็นเพียงอุตสาหกรรมการรับจ้างทำของ เป็นอุตสาหกรรมของคนโง่ เอาเครื่องจักร วัตถุดิบเข้ามา แล้วจ้างคนมากดปุ่ม ” นิธิ เอียวศรีวงศ์ แห่งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สรุปสั้นๆ สะท้อนภาพการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาที่ยังไม่ไปถึงไหน เพราะไม่มีปัญญาพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมชั้นสูงที่ใช้มันสมองมากกว่า

การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จึงแลกมาด้วยการทำลายล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตดั้งเดิมที่เกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

"ไม่เพียงแต่ลงทุนในอุตสาหกรรมคนโง่เท่านั้น แม้กระทั่งวิธีคิด วิธีการจัดการกับชุมชนและมวลชนของนักลงทุนก็ยังล้าสมัย “น้อยมากที่นายทุนจะรู้วิธีจัดการที่เป็นธรรม ให้ชาวบ้านยอมรับได้ เมื่อนายทุนต้องเผชิญหน้ากับชุมชนที่ลุกขึ้นสู้ ก็จะหน้าโง่ถูกแก๊งนักเลงหัวไม้ มือปืนมาหลอก เสนอให้เก็บแกนนำ แทนที่จะนั่งคุยกันกับชุมชนเพื่อหาข้อตกลงร่วม ซึ่งเชื่อว่าหลายโครงการจะผ่านได้ ดีกว่าเอาเงินไปจ้างพวกนักเลงต้มตุ๋น” นิธิ ให้ทัศนะ

นับเป็นเวลากว่า 8 เดือนแล้วที่ความขัดแย้งระหว่างชุมชนรอบป่าพรุแม่รำพึง อ.บางสะพาน กับเครือสหวิริยา เจ้าของโครงการโรงถลุงเหล็กมูลค่าหลายแสนล้านได้เผชิญหน้า ท้าทายซึ่งกันและกัน โดยฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป ขณะที่อีกฝ่ายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมที่มีรัฐบาล นักการเมือง นักลงทุนข้ามชาติ พรั่งพร้อมไปด้วยนายแบงก์ อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และอดีตผู้บริหารรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานหนุนหลัง

เหตุผลสำคัญของฝ่ายชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาคัดค้านเพราะบริเวณที่เครือสหวิริยา จะเข้าปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างโครงการนั้นเป็นพื้นที่ป่าพรุ พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ชุมชนโดยรอบและคนนอกพื้นที่เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ที่สำคัญคือ พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งรับน้ำหรือแก้มลิงธรรมชาติของชาวบางสะพานก่อนไหลลงสู่ทะเล

“ตามแผนก่อสร้างบริษัทจะถมที่ดินบริเวณป่าพรุสูงขึ้นจากเดิมถึง 7 เมตร หมู่บ้านรอบๆ น้ำท่วมหมดรวมทั้งอำเภอบางสะพานด้วย เพราะไม่มีพื้นที่รับน้ำ และทางน้ำไหลลงสู่ทะเลถูกปิดกั้น” วิฑูร บัวโรย ชาวบ้านหมู่ 1 ต.แม่รำพึง บอกกล่าวถึงสิ่งที่จะตามมาหลังโครงการนี้เกิดขึ้น

วิฑูร ซึ่งตั้งแต่เกิดมาก็เห็นสภาพป่าพรุแม่รำพึงมาร่วม 38 ปี โดยไม่มีใครถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ ชาวบ้านต่างร่วมกันใช้ประโยชน์จากป่าพรุที่เป็นป่าสาธารณะโดยธรรมชาติแห่งนี้ทั้งการหาปูปลา เก็บผักหญ้าสมุนไพร ใบจาก มาใช้ประโยชน์ ฯลฯ จึงนึกไม่ถึงมาก่อนว่า ป่าพรุที่เกื้อกูลหล่อเลี้ยงชีวิตรอบผืนป่าแห่งนี้จะมีเครือสหวิริยา ถือเอกสารสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของ

“บริษัทอ้างว่าเขามีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง แต่พวกเราถามว่าออกเอกสารสิทธิ์กันมาได้อย่างไร” วิฑูร และชาวแม่รำพึง เฝ้าเพียรถามและร่วมต่อสู้เพื่อให้มีการพิสูจน์ความจริง โดยยื่นหนังสือร้องเรียนไปหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทยฯ โดย หาญณรงค์ เยาวเลิศ รองเลขาธิการฯ เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ลงพื้นที่สำรวจศึกษาสภาพพื้นที่ป่าพรุแม่รำพึง ตามคำเรียกร้องของชาวบ้าน และฟันธงว่า “จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านนี้มา 10 ปี ขอตอบว่าพื้นที่นี้ใช่พื้นที่ชุ่มน้ำแน่นอน”

ผลสำรวจของมูลนิธิคุ้มครองฯ พบว่า บริเวณดังกล่าวซึ่งเมื่อดูจากแผนที่จะเป็นเป็นรูปคล้ายตัวนก เป็นพื้นที่น้ำท่วมขังประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งเรียกว่าป่าพรุ มีป่าเสม็ดขาวและกระจูด ตามการสำรวจมีนกน้ำประมาณ 76 ชนิด ปลา 46 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นปลาที่อยู่ในเวทแลนด์หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่จะขึ้นทะเบียนหลังการศึกษาสำรวจ ซึ่งที่ผ่านมา สผ.มีการประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศแล้ว 10 กว่าแห่ง ส่วนป่าพรุแม่รำพึงนั้น สผ.มีรายงานศึกษาออกมาหลายชิ้นแล้วและระบุว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่ สผ. ยังไม่มีการขึ้นทะเบียนและประกาศรับรองออกมาอย่างเป็นทางการ

มิหนำซ้ำ รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการถลุงเหล็ก ก็ยังผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านโครงการอุตสาหกรรม ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมิได้ให้ความสำคัญของผืนป่าพรุแต่อย่างใด จนเมื่อเกิดข้อร้องเรียนขึ้น สผ. จึงต้องมากลับมาพิจารณาทบทวนใหม่

ความชัดเจนในสถานะของป่าพรุแม่รำพึงว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำหรือไม่ การขึ้นทะเบียน และการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของทั้งสองฝ่ายทั้งชุมชนและโครงการถลุงเหล็กของสหวิริยา

กล่าวคือ หาก สผ. ซึ่งลงพื้นที่ศึกษาสำรวจอีกครั้งในขณะนี้ ชี้ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและนำสู่กระบวนการขึ้นทะเบียน ประกาศรับรอง ก็หมายความว่า พื้นที่ดังกล่าวจะต้องได้รับการรักษาสภาพเอาไว้ให้คงเดิมตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ในอนุสัญญาแรมซาร์ ว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย ชุมชนจะยังสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าพรุแม่รำพึงได้ต่อไป แต่ในทางกลับกัน หากรูปการออกมาเช่นนั้น ก็จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสหวิริยา ที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่นี้เพื่อก่อสร้างโครงการ

พื้นที่ป่าพรุแม่รำพึง จึงถือเป็นจุดสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายสำหรับโครงการถลุงเหล็กที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกเหนือจากปัญหาด้านเงินทุนที่เครือสหวิริยา กำลังดิ้นรนแก้ไขแผนลงทุนใหม่ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สหวิริยา พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ที่จังหวัดแต่งตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยยืนกระต่ายขาเดียวว่า บริษัทมีเอกสารสิทธิ์ที่ดินถูกต้อง

นอกเหนือจากพื้นที่ป่าพรุแล้ว ชุมชนยังยกประเด็นการขอเช่าพื้นที่ป่าช้าเก่า ทางสาธารณะ รวมประมาณ 15 ไร่ และการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติอีกพันกว่าไร่ขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงร่วมกันเพราะกระบวนการพิจารณาอนุญาตขององค์กรปกครองท้องถิ่น หรือ อบต. มีเงื่อนงำ (อ่านรายละเอียดใน ลำดับเหตุการณ์)

เหตุผลที่ชุมชนยกเรื่องการขอเช่าพื้นที่สาธารณะมาเป็นประเด็นสำคัญ เพราะ โครงการของสหวิริยาที่ต้องการพื้นที่ 1,500 ไร่ ในหมู่ที่ 7 ต.แม่รำพึงนั้น สร้างความวิตกกังวลต่อการล่มสลายของชุมชน เพราะหมู่ 7 มีพื้นที่ทั้งหมดเพียง 2,500 ไร่ หากสหวิริยาใช้ไป 1,500 ไร่ ซึ่งไม่รวมโครงการเก่าจะเหลือพื้นที่เดิมของหมู่บ้านไม่กี่ร้อยไร่ และถ้าหากบริษัทรุกไล่ปรับไถอย่างต่อเนื่องชาวบ้านเกรงว่า ชุมชนดั้งเดิมในหมู่ที่ 7 คงถึงกาลล่มสลาย ถูกลบออกไปจากแผนที่

“สู้วันนี้ยังมีโอกาสรอด แต่ถ้าไม่สู้เราก็ตายอย่างเดียว” วิฑูร ในฐานะประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ลั่นวาจา

ขณะที่ชุมชนแม่รำพึงและใกล้เคียง มีวิถีชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และอนาคตของลูกหลานเป็นเดิมพัน ฟากฝั่งของสหวิริยา ก็มีความมั่งคั่งร่ำรวยด้วยเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเหล็กระดับโลก เป็นเดิมพัน

สหวิริยา ไม่ใช่นักลงทุนหน้าใหม่ในพื้นที่อ.บางสะพาน แต่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่นี้ เข้ามาปักหลักในพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ปี 2533 หรือ 17 ปีมาแล้ว ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในเขตเวสเทิร์นซีบอร์ด มีเม็ดเงินลงทุนหลายหมื่นล้านบาท เฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กรีดร้อน สามารถทำรายได้ให้กับเครือสหวิริยานับแสนล้านต่อปี

อุตสาหกรรมเหล็กของสหวิริยาซึ่งได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ นั้น บ่งบอกว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนเต็มที่ อีกทั้งยังเป็น 1 ใน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายในการ “สร้างความมั่นคงของเศรษฐกิจและสังคมของชาติ” อีกต่างหาก มองจากมุมนี้ เครือสหวิริยาคือนักลงทุนผู้มีคณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ

หากมองย้อนกลับไป เครือสหวิริยา มีโอกาสทะยานติดปีกขึ้นสู่ทุนข้ามชาติในระดับโลกตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว หากประเทศไทยไม่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เสียก่อน เพราะช่วงเวลานั้น สภาพัฒน์ ในฐานะนักวางแผนเศรษฐกิจของชาติ หนุนส่งให้เครือสหวิริยา เป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในเขตเวสเทิร์นซีบอร์ด ทั้งอุตสาหกรรมเหล็กและนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึงกับวางแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในจ.ประจวบฯ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับลูกค้าสำคัญคือ เครือสหวิริยา

ในช่วงนั้นบรรดาเทคโนแครตแห่งสภาพัฒน์และรัฐบาลได้อนุมัติการขยายพื้นที่อีสเทิร์นซีบอร์ด เฟส 2 พร้อมกับผลักดันโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ด และโครงการแลนด์บริดจ์ภายใต้กรอบความร่วมมือ IMT-GT ระหว่างไทย – มาเลเซีย - อินโดนีเซีย ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม แต่สองโครงการหลังต้องชะลอออกไปหลังเกิดปัญหาเศรษฐกิจ

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น ทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กของสหวิริยาเชื่องช้าลงเพราะขาดเม็ดเงินลงทุน สถานะบริษัทซวนเซไม่ต่างไปจากกลุ่มทุนอื่นๆ แต่ความพยายามของรัฐบาล กลุ่มทุน และบรรดาเทคโนแครตที่ต้องการพัฒนาประเทศโดยมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับกลุ่มทุนไม่กี่หยิบมือก็ไม่ได้ลดราลงไป

"ไม่ใช่ว่านึกอยากทำโรงถลุงเหล็กเป็นแฟชั่นก็ทำ แต่ทุกอย่างถูกเซตไว้ตั้งแต่ต้น ผ่านการมองจากภาพรวม” อนุวัติ ชัยกิตติวนิช ผอ.ฝ่ายวางแผนวิสาหกิจ เครือสหวิริยา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อไม่นานมานี้ สะท้อนให้เห็นรากฐานการวางแผนของกลุ่มทุนที่ไม่อาจให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง

ร่วมสิบปีให้หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ เครือสหวิริยา เร่งพลิกฟื้นโครงการถลุงเหล็กขึ้นมาใหม่ ด้วยความเพียรพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่ง ครม.ยุคทักษิณ มีมติเห็นชอบเมื่อปี 2548 หลังจากถูกตั้งคำถาม ถูกคัดค้านจากหลายฝ่ายถึงการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะไทยไม่มีวัตถุดิบรองรับต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด ศักยภาพการแข่งขันต่ำ เครือสหวิริยาปัญหาเรื่องเงินทุนซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเอ็นพีแอลแก่ประเทศชาติโดยรวม

การลงทุนของเครือสหวิริยาในอภิมหาโปรเจคโรงถลุงเหล็กมูลค่า 5 แสนกว่าล้าน ถือเป็น “จิ๊กซอร์” สำคัญของสองเป้าหมายใหญ่ที่กลุ่มตระกูลวิริยะประไพกิจ มุ่งมั่นไปให้ถึง หนึ่ง คือการปั้นยอดขายให้ถึง 2 แสนล้านบาทภายใน 5-10 ปีข้างหน้าโดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กเป็นตัวทำรายได้ที่สำคัญ จากปัจจุบันเครือสหวิริยามีรายได้เกือบแสนล้านจากโรงเหล็กรีดร้อนที่บางสะพาน และ สอง การก้าวขึ้นเป็นบริษัทอุตสาหกรรมเหล็กยักษ์ใหญ่ 1 ใน 5 ของโลก หลังการลงทุนโรงถลุงเหล็กครบทั้ง 5 เฟสภายในระยะเวลา 15 ปี

จุดยืนในการต่อสู้เพื่อเป้าหมายของแต่ละฝ่าย ระหว่างชุมชนรอบป่าพรุแม่รำพึงกับกลุ่มทุนเครือสหวิริยา จึงแตกต่างกันราวฟ้าดิน ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่บนคนละเส้นทางการพัฒนา ฝ่ายหนึ่งกำลังไล่ล่าทุนนิยมโลกอย่างเร่งร้อน แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังยึดถือการพึ่งพาตัวเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นแนวทางที่รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมามีไว้เพื่อ “โฆษณา” แต่ไม่ได้ต้องการนำสู่การปฏิบัติจริงและหนุนเสริมให้ชุมชนยืนหยัดอยู่ได้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วการพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่การพัฒนาที่มุ่งกอบโกยแต่ฝ่ายเดียวต่างหากที่ไม่มีใครต้องการ ดังคำของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่บอกว่า “ผมอยากอยู่กับทุนนิยมที่เชื่องลง มีเมตตา ทำหน้าให้น่ารักบ้างได้ไหม”

/////////////////////////

ลำดับเหตุการณ์สำคัญ

ม.ค. 2548 ครม.มีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตเหล็กขั้นต้นของเครือสหวิริยาที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.ชุมพร ตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม

มิ.ย. 2548 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตเหล็กขั้นต้น (โรงถลุงเหล็ก) ของเครือสหวิริยา ระยะที่ 1 วงเงินลงทุน 90,200 ล้านบาท กำลังการผลิตเหล็กปีละ 5 ล้านตัน มีกำหนดเริ่มผลิตในปี 2551 โดยรัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักร 1,085 ล้านบาท และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี รวม 18,027 ล้านบาท
ส่วนโครงการระยะที่ 2 – 5 วงเงินลงทุนรวม 400,000 ล้านบาท บอร์ดบีโอไออนุมัติในหลักการที่จะให้การส่งเสริม

หลังจากนั้น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เห็นชอบในหลักการที่เครือสหวิริยานำพื้นที่โครงการอุตสาหกรรมเหล็กครบวงจร 6,404 ไร่ ขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมโดยรอผลการเห็นชอบรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม มีหนังสือถึง จ.ประจวบฯ เร่งรัดการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ 1,297 ไร่ และกรมชลประทาน อนุมัติการขอใช้น้ำเพิ่มเติมจากคลองบางสะพานอีก 30 ล้านลบ.ม.ต่อปี

เม.ย. 2549 เครือสหวิริยา ซึ่งว่าจ้างบ.ปัญญาคอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัทธารา คอนซัลแตนท์ จำกัด เสนอรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)

เม.ย. 2549 การประชุมทำประชาคมหมู่ที่ 7 ต.แม่รำพึง มีเสียงเป็นเอกฉันท์คัดค้านการให้เช่าพื้นที่ป่าช้าสาธารณะ 11 ไร่เศษ และทางสาธารณะ 4 ไร่เศษ

พ.ค. 2549 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รับเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านต.แม่รำพึง ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1) การออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนในพื้นที่ที่เป็นป่าพรุที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งสหวิริยา มีหลักฐานการซื้อขายครอบครองโดยชอบ ซึ่งต้องตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ว่ามีการออกโดยชอบหรือไม่
2) การที่อบต.อนุญาตให้สหวิริยา เช่าพื้นที่ป่าช้าสาธารณะและทางสาธารณะซึ่งชุมชนมีการคัดค้านการให้เช่าที่สาธารณะดังกล่าว และ 3) การขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยแต่เดิมสหวิริยา ขอใช้ประมาณ 1,200 กว่าไร่ แต่ปัจจุบันได้ลดลงมาเหลือ 22 ไร่

มิ.ย. 2549 คณะอนุกรรมการสิทธิในการจัดการที่ดินและป่า ในคณะกรรมการสิทธิฯ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง และเข้าพบรมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ขอให้ชะลอการอนุมัติอีไอเอ รวมทั้งการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนไว้ก่อน

ก.ค. 2549 อบต.แม่รำพึง ส่งเรื่องถึงผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ขอให้พิจารณาเรื่องที่สหวิริยาขอเช่าพื้นที่ป่าช้าสาธารณะและทางสาธารณะใหม่

ส.ค. 2549 ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 จัดประชุมประจำเดือน แล้วให้บริษัทไปชี้แจง จากนั้นจึงขอมติที่ประชุมว่าเห็นด้วยจะให้เช่าหรือไม่ ปรากฏว่า ผ่าน 40 เสียง ไม่ผ่าน 29 เสียง (จำนวนชาวบ้านมีอยู่ทั้งหมด 326 คน) แล้วส่งสรุปผลลงมติให้อบต.แม่รำพึง

ก.ย. 2549 ประชาชนในพื้นที่ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบฯ รวมตัวเคลื่อนไหวยื่นหนังสือคัดค้านไปทุกหน่วยงาน และร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับที่ดินที่ตั้งโครงการโรงถลุงเหล็ก ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน ซึ่งมีการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนพื้นที่ที่เป็นป่าพรุ พื้นที่ชุ่มน้ำ

ต.ค. 2549 อบต.แม่รำพึง เห็นชอบให้สหวิริยา เช่าพื้นที่ป่าช้าสาธารณะ 11 ไร่เศษ และทางสาธารณะ 4 ไร่เศษ โดยอ้างผลสรุปการลงมติของ หมู่ที่ 7 ที่ผู้ใหญ่บ้านส่งมาให้

ก.พ. 2550 คณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านโครงการอุตสาหกรรม ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติเห็นชอบในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการถลุงเหล็กสหวิริยา

มี.ค. 2550 สผ. ชะลอการแจ้งมติคณะกรรมการผู้ชำนาญที่เห็นชอบในอีไอเอ ให้กับหน่วยงานต่างๆ จากนั้น สผ. กรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ได้ร่วมกับคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และชาวบ้านตรวจสอบพื้นที่ป่าพรุที่กังขาว่าออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ พร้อมกับมีการประชุมหาข้อยุติที่จังหวัด โดยมีรองผู้ว่าฯ และคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธาน มีตัวแทนสหวิริยา, ชาวบ้าน และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่ายๆ ละ 5 คน คือ ตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน, บริษัท, หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สผ. กรมที่ดิน, ตัวแทนจังหวัด เพื่อตรวจสอบพื้นที่ชุ่มน้ำและการออกเอกสารสิทธิ์ให้ชัดเจน โดยมีกำหนดเวลาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน แต่บริษัทไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วม

หลังจากนั้น ความขัดแย้งในพื้นที่ก็คุกรุ่นหนักขึ้นและบานปลาย ทางบริษัทสหวิริยา เดินหน้าปรับที่ดินในบริเวณป่าพรุ กลุ่มชาวบ้านจึงเข้าไปตั้งเพิงพักในบริเวณพื้นที่ป่าพรุเพื่อเฝ้าระวัง 24 ชม. มิให้มีการรุกทำลาย บริษัทสหวิริยา จึงแจ้งข้อหาบุกรุกต่อชาวบ้าน 6 คน พร้อมกับขึ้นป้ายประจานแกนนำและชาวบ้าน ฝั่งชาวบ้านเองก็เข้าแจ้งความกลับข้อหาหมิ่นประมาท และขึ้นป้ายคัดค้านการสร้างโรงถลุงเหล็ก ประณามการบุกรุกทำลายป่าพรุ ฝ่ายบริษัทก็เข้าแจ้งความหมิ่นประมาทต่อชาวบ้านรวมทั้งทำลายป้ายของชาวบ้าน

ขณะเดียวกัน แกนนำการเคลื่อนไหวคนสำคัญ ได้เข้าแจ้งความและร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ถูกมือปืนคุกคามติดตามเอาชีวิต ขณะที่แกนนำคนอื่นๆ ก็ได้รับโทรศัพท์ขู่ฆ่าเอาชีวิตเช่นเดียวกัน

พ.ค. 2550 คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นำโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ และสมเกียรติ ตั้งนโม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ทำพิธีปักป้ายประกาศเขต “พื้นที่เสี่ยงภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม” เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บ้านกรูด – บ่อนอก และทับสะแก ที่เคลื่อนไหวคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

พ.ค. 2550 เครือสหวิริยา ปรับแผนการลงทุนในเฟสแรกและเลื่อนเวลาการผลิตจากเดิมที่จะลงทุน 90,200 ล้านบาท เริ่มผลิตเหล็ก 5 ล้านตันภายในปี 2551 ปรับเป็นการผลิตในเฟสแรก จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2552-2554 ปีแรก 2552 เริ่มลงทุน 36,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 12,000 ล้านบาท ปี 2553 ลงทุน 20,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 1.5 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 6,700 ล้านบาท และปี 2554 ลงทุน 34,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 2 ล้านตัน ทุนจดทะเบียน 11,350 ล้านบาท การปรับแผนดังกล่าว เครือสหวิริยา ต้องเสนอไปยังบีโอไอเพื่อพิจารณาอนุมัติอีกครั้ง
 
ทั้งนี้ นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยา สตีล อินดัสตรี ระบุว่า แผนที่ขอปรับใหม่ที่ยื่นกับนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น กระทรวงฯ ไม่มีนโยบายที่จะส่งเสริมในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง จึงจะรอยื่นกับรัฐบาลใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น