วันที่ 12 มี.ค. 2550 สังคมไทยได้สูญเสียบุคลากรคนสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมไปอีกคน บทบาทของเขาในฐานะนักเคลื่อนไหวคนสำคัญของขบวนการภาคประชาชน หลายครั้งที่มีการชุมนุมทางการเมืองหรือการชุมนุมเรียกร้องของ “คนจนเมือง” หรือเครือข่ายของคนสลัม สุวิทย์ วัดหนู มักเป็นกลไกสำคัญของการเชื่อมร้อยประสานพลังเพื่อต่อรองกับรัฐ
ตลอดระยะเวลากว่าค่อนชีวิต สุวิทย์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้าสู่การงานอันหลากหลายโดยมีแกนหลักทางความคิดความเชื่อที่ว่าสังคมที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ด้วยการให้ความเป็นธรรมแก่กันอย่างเสมอหน้า แม้ว่าในแต่ละช่วงชีวิต วิธีการในการต่อสู้ของเขาจะปรับเปลี่ยนไปตามบริบทและเหตุปัจจัยรอบข้างมากน้อยเพียงใดก็ตาม
ในช่วงวัยหนุ่ม เขาเป็นแกนนำนักศึกษาจากทิศบูรพาที่เหมารถเข้าร่วมเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 14 ตุลา เมื่อเติบโตขึ้นอีกเข้าสู่ช่วงการทำงาน ความโดดเด่นทางการเมืองของเขาทำให้ต้องลี้ภัยเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกับรัฐบาลเผด็จการ หลังจากนั้น จังหวะของชีวิตนำพาเขาออกจากป่าเพื่อเผชิญการต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธีเพื่อสิทธิที่อยู่อาศัยของคนชั้นล่างในเมือง ตลอดจนเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนอย่างเข้มข้นจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
สุวิทย์เกิดวันที่ 20 ธ.ค. 2495 ที่บางสะเหร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลภาคตะวันออก สภาพแวดล้อมของชนบทหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่ใจกว้างและมีรากเหง้าหลักยึดอยู่ที่วิถีชีวิตอันเรียบง่าย เขาเป็นบุตรคนที่ 2 ของตระกูลวัดหนู จากบรรดาพี่น้อง 8 คน เริ่มเรียนประถมที่โรงเรียนบ้านบางสะเหร่จนจบ ป. 7 และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนชลชายกระทั่งจบ ม.ศ.5 และสอบเอ็นซ์ทรานเข้า ม.ศรีนครินทรวิโรฒน์ วิทยาเขต บางแสน หรือ ม.บูรพาในปัจจุบัน ในสาขาเอกฟิสิกส์ – คณิตศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์และจบการศึกษาภายใน 4 ปี
ช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้นี่เอง ที่หล่อหลอมวัยหนุ่มของเขาให้มุ่งมั่นในแนวทางการทำงานเพื่อส่วนรวม เขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสโมสรนิสิต ในปี 2514 ท่ามกลางกระแสดอกไม้บานของหนุ่มสาวเสื้อขาวและบรรยากาศทางการเมืองของเผด็จการทหารที่กดทับสังคมไทยมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่สภาวะที่สุกงอม การชุมนุมใหญ่ที่ธรรมศาสตร์ในเดือนตุลาปี 2516 เริ่มต้นขึ้น เขาและเพื่อนนักศึกษาจากทิศตะวันออกก็เคลื่อนขบวนเข้าเสริมขบวน.ในทันทีและมีบทบาทอย่างสำคัญในการเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “14 ตุลา”
หลังจบการศึกษา ด้วยวุฒิปริญญาตรี เขาทำงานเป็นอาจารย์วิทยาลัยช่างกลแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปี ก่อนที่จะถูกกดดันจนต้องลี้ภัยการเมืองเข้าสู่แนวป่าที่ภาคใต้ในปลายปี 2518 เพื่อจับปืนร่วมรบกับ พคท. ที่เขตงานสุราษฎร์ธานี ด้วยหวังว่าแนวทางนี้จะสามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้คนในสังคมได้ เขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าขยายเขตงานของ พคท.ที่ชุมพรในระยะเวลาสุดท้ายของสงครามกลางเมืองครั้งนั้น
เขาเคยเล่าในเวลาต่อมาว่า การตัดสินใจเข้าป่าในครั้งนั้น นอกจากจะเพื่อหลีกเร้นจากกระบวนการปราบปรามจับกุมแกนนำประชาชนและนักศึกษาที่มีบทบาททางการเมืองจำนวนมากแล้ว ยังมีเจตนาเพื่อประกันความปลอดภัยของครอบครัวของเขาเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะผิดหวังกับการต่อสู้ที่สิ้นสุดลง แต่ประสบการณ์พิเศษครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดมา
สุวิทย์ใช้เวลาต่อสู้ในแนวทางจับปืนสู้ด้วยอาวุธเป็นเวลาประมาณ 8 ปี ก่อนออกจากป่ามาในช่วงประมาณปี 2526 - 2527 โดยที่ไม่ได้มอบตัวกับทางการ เขากลับมาปรับตัวและใจเข้าสู่วิธีชีวิตคนเมืองอยู่พักใหญ่ เริ่มแรกเขาทำงานหลายอย่างจากความช่วยเหลือของเพื่อนพ้องน้องพี่ ทั้งงานหนังสือพิมพ์ ร้านอาหาร รวมไปถึงการทำสวนที่ชุมพร หลังจากทำงานอยู่พักใหญ่เขาก็กลับเข้ากรุงเทพตามคำเชิญชวนของครูประทีป อึ้งทรงธรรม ให้ทำงานร่วมกับมูลนิธิดวงประทีปเมื่อประมาณปี 2530
และนั่นคือก้าวแรกของการได้กลับมาร่วมงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อเติมเต็มอุดมคติเพื่อส่วนรวมของเขาอีกครั้ง สุวิทย์เริ่มเข้าสู่สายงานชุมชนเมืองด้วยโครงการเขตปลอดยาเสพติดในชุมชนคลองเตย และมีโอกาสเห็นภาพการทำงานร่วมกับชาวชุมชนของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) เขาจึงโยกตัวเองเข้าสู่การทำงานในองค์กรแห่งนี้เรื่อยมาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในวัย 54 ปี
อาจกล่าวได้ว่า สุวิทย์ เป็นหนึ่งในนักพัฒนายุคแรกๆ ที่เกาะติดประเด็นของ “คนจนเมือง” มาโดยตลอด และร่วมต่อสู้ในฐานะ “พี่เลี้ยง” ของชาวชุมชนเพื่อให้ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในสังคมประชาธิปไตยและสิทธิที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนสิทธิในที่อยู่อาศัยที่ประชาชนในรัฐพึงได้รับ นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งสุวิทย์ยังเป็นนักพัฒนาที่เกาะติดกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมุ่งหวังถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริง
จึงไม่แปลกอะไรเลย ที่เราจะเคยเห็นภาพเขาอยู่ท่ามกลางการการเคลื่อนไหวของชาวสลัมในนามของเครือข่ายสลัม 4 ภาคและสมัชชาคนจน การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการไล่รื้อชุมชนแออัด รวมไปถึงการเคลื่อนไหวผลักดันในระดับโครงสร้างอย่างการผลักดัน พ.ร.บ.ชุมชนแออัด ภาคประชาชน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างกรณีพฤษภาทมิฬปี 2535 และการผนึกกำลังไล่ทักษิณปี 2549 ซึ่งเขารับหน้าที่โฆษกของเวทีของเหตุการณ์ทั้งสอง
ในบทบาทของนักพัฒนา เขายังมีส่วนร่วมในการก่อรูปของขบวนชาวบ้านดังกรณีเครือข่ายสลัม 4 ภาค และสมัชชาคนจนในฐานะที่ปรึกษา เขายังเป็นหนึ่งในกรรมการ ครป.มาตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬและเป็นเลขาธิการในห้วงปี 2543 – 2545 ในขณะที่ยังเป็นเลขาธิการ มพศ.มาเป็นระยะเวลาหลายปี นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นเลขาธิการเครือข่ายเดือนตุลา อันเป็นองค์กรเครือข่ายของเพื่อนพ้องคนเดือนตุลา
และนั่นคือบทบาทเพียงบางส่วนในเสี้ยวชีวิตของเขา – สุวิทย์ วัดหนู
**เสียงจากสหาย – ต้นแบบของการยืนหยัด
ชำนาญ บรรจงเกลี้ยง หรือ สหายศรี กรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ผู้ดูแลเขตงานในภาคใต้และเคยมีประสบการณ์ร่วมกันในป่าทางใต้ กล่าวถึงสุวิทย์ว่า สุวิทย์เป็นเด็กหนุ่มที่มีท่าทีจริงจัง เป็นคนตั้งอกตั้งใจ มีความรับผิดชอบ เสียสละ และใจกว้าง สุวิทย์ยังเป็นคนที่มีจิตวิญญาณรักความเป็นธรรม ที่สำคัญ เขายังเป็นคนไม่มักใหญ่ใฝ่สูง และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ความโดดเด่นของสุวิทย์ที่สหายนำอาวุโสรายนี้จับต้องได้ คือ การยังคงอุดมคติการทำงานเพื่อคนอื่นอย่างเคร่งครัดและยืนหยัด ผ่านการทำงานในองค์กรและช่องทางต่างๆ ตามที่สถานการณ์จะอำนวย และสำหรับมิตรสหายด้วยกันแล้ว พูดได้เต็มปากว่าสุวิทย์เป็นคนที่ช่วยเหลือดูแลผู้คนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าใครจะเจ็บไข้ได้ป่วย สุวิทย์จะต้องติดตามดูแล
สหายศรี บอกด้วยว่า มิตรสหายและนักเคลื่อนไหวจะต้องศึกษาเรียนรู้จากชีวิตของสุวิทย์ ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมตลอดชีวิตและมีจิตใจที่กว้างขวาง
**ขาดกำลังหลัก “ขบวนประชาชน”
ในขณะที่ บัณฑร อ่อนดำ ประธานมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) บอกว่า สุวิทย์เป็นคนทำงานที่มีบทบาทเน้นหนักสิทธิที่อยู่อาศัยที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขายังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนขบวนการประชาชน โดยเฉพาะในเมือง สุวิทย์มีศักยภาพในการระดมคนให้ออกมาเคลื่อนไหวได้ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยหากไม่ได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน ซึ่งก็เกิดจากการที่เขาแสดงให้เห็นว่าเขาทำงานจริงๆ
เขาบอกต่อว่า การสูญเสียคนอย่างสุวิทย์ไปถือเป็นการขาดกำลังสำคัญของขบวนการประชาชนไปอย่างสำคัญ เพราะคนที่สามารถทำงานทั้งในด้านการจัดตั้งคน จัดตั้งกลุ่ม รวมไปถึงงานเคลื่อนไหวในภาคประชาชนยังมีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่การสร้างคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาก็ประสบกับปัญหา
สุวิทย์ยังเป็นหนึ่งในนักพัฒนาที่มีความมุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคม ทั้งใต้ดินและบนดิน และมีลักษณะที่กัดไม่ปล่อย เอาการเอางาน ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานตามแฟชั่น นั่นจะเห็นได้จากการเกาะติดประเด็น “คนจนเมือง” ของเขา ที่สำคัญ เขายังเป็นคนที่ทิ้งเพื่อนพ้อง ใครจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตายจากไป เขาก็จะต้องจัดการให้หมด เขาจะเป็นหัวหอกในการดูแลพรรคพวกในเครือข่าย
“จนถึงตอนนี้ ก็มีคนรู้น้อยมากว่าสุวิทย์เขามีเงินเดือนๆ ละประมาณหมื่นเท่านั้น ซึ่งก็เป็นทั้งการลงขันกันของ มพศ. พรรคพวกเดือนตุลา หรือไม่ก็เป็นเอ็นจีโอที่ให้ทั้งที่เป็นการส่วนตัว ก่อนหน้านี้เขาก็พอมีงานเขียนบทความบ้าง แต่ก็ไม่น้อย ดีหน่อยที่ครอบครัวเขาดี”
**ผู้เปรียบเสมือน พี่ – เพื่อน - ญาติ
สุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นักเคลื่อนไหวรุ่นน้อง บอกว่า สุวิทย์เป็นคนที่มีจุดยืนชัดเจน โดยจะเลือกข้างที่จะอยู่กับผู้ด้อยโอกาสมาโดยตลอด และนั่นคือความโดดเด่นของสุวิทย์ ในขบวนการประชาชน
สำหรับสุริยะใส สุวิทย์ ยังเป็นเหมือนต้นแบบในการทำงานเพื่อสังคมของเขา หลายครั้งต่างจังหวะเวลาขณะที่กำลังเป็นนักศึกษาหรือเป็นเอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางแรงเสียดทานต่างๆ ที่กำลังเผชิญ เกิดความสับสน ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจกับงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ด้วยความที่ความคิดตกตะกอนมาก่อน สุวิทย์จะคอยปลอบใจให้หนักแน่น ทำให้เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังทำ มั่นใจว่าเป็นหนทางที่จะสร้างความเป็นธรรมในสังคม แม้ว่าการทำงานในลักษณะอย่างนี้จะเป็นเสียส่วนน้อยในสังคมและถูกโจมตีจากหลายฝ่ายในต่างห้วงเวลาก็ตาม
นอกจากสุวิทย์จะเป็นทั้งพี่และเพื่อนร่วมงานแล้ว สุริยะใสยังมองว่าสุวิทย์เปรียบเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง และมองว่าการสูญเสียเขาไปในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นความสูญเสียเพียงแค่พี่ เพื่อน และญาติเท่านั้น หากแต่เป็นการสูญเสียบุคลากรคนสำคัญของขบวนการภาคประชาชน โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อปากท้องของคนด้อยโอกาสในเมือง ซึ่งเป็นภารกิจที่สุวิทย์เกาะติดมาเป็นเวลานาน
สุวิทย์ ยังมีภารกิจร่วมกับ ครป. และสมัชชาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (สปป.) ในการรวบรวมความคิดเห็นในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับคู่ขนานจากความเห็นขององค์กรประชาชนในเครือข่ายทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน สุวิทย์ ยังเป็นหัวหอกหลักในการรวบรวมความเห็นของ “คนจนเมือง” ทั้งคนสลัม คนไร้บ้าน ฯลฯ เพื่อขมวดเป็นข้อเสนอต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับคนจนเมือง แต่ภารกิจเหล่านี้ คนที่เหลืออยู่ยังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อไป
**ยืนหยัด..พันธมิตรประชาชนฯ
ในขณะที่ สำราญ รอดเพชร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในฐานะที่เคยเป็นโฆษกบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตคู่กับสุวิทย์และกรำศึกช่วงขับไล่ระบอบทักษิณมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน ระบุว่า เขารู้สึกเสียใจและเสียดายอย่างที่สุดจากการจากไป ในขณะที่ยังมีศักยภาพอีกมากมายในการต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนและคนชั้นล่าง
"หลายเดือนช่วงประท้วง ผมอยู่ปิดเวทีกับพี่เขาทุกคืน พี่สุวิทย์ เป็นเอ็นจีโอ ที่มีจิตใจยืนหยัดไม่ศิโรราบกับความไม่ชอบธรรมหรือความอยุติธรรม แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้ารู้จักพี่เขาจริงๆ แกเป็นคนเปิดกว้างไม่คับแคบ ผมว่าแกน่ารักมาก และที่สำคัญไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่มีผลประโยชน์ จะพูดว่าเป็นวีรบุรุษคนจนผมว่าพูดได้เต็มปาก" สำราญบอก
สำราญ ระบุด้วยว่า เขาและเพื่อนพ้องยังมีภารกิจซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ก็คือ การจัดแข่งขันกอล์ฟการกุศลในวันที่ 27 เม.ย.นี้ เพื่อหารายได้ให้กับมูลนิธิเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยและ ครป. ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่สุวิทย์ร่วมทำงานด้วยมาโดยตลอด
**ภารกิจสานต่อ...พรรคประชาชน
“พรรคการเมืองของประชาชน” คือภารกิจที่คั่งค้างของสุวิทย์ จากคำบอกเล่าของสุริยะใส ระบุว่า สุวิทย์จริงจังกับการเดินสายประสานความเห็นจากเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เคยร่วมต่อสู้ทั้งในป่าและในเมืองเพื่อปักธงสร้างพรรคการเมืองเพื่อเป็นพื้นที่ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ระยะหลังๆ ในช่วง 4 – 5 ปี สุวิทย์และมิตรสหายจำนวนหนึ่งต่างขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อภารกิจนี้ ซึ่งริเริ่มขึ้นก่อนจะเกิดขบวนของพันธมิตรประชาชนฯ
นั่นเป็นที่มาของเจตนาที่จะไม่รับตำแหน่งหรือภารกิจเพิ่มเติมใน ครป. เมื่อครั้งประชุมสมัชชาใหญ่ ครป. กลางปี 2548 ภายหลังจากที่คลุกคลีตีโมงมาเป็นระยะเวลายาวนาน เพื่อปลีกตัวและเวลาให้เพียงพอสำหรับการจัดตั้งพรรคการเมืองทางเลือกดังกล่าว
“แกเคยบอกว่าจะทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อสร้างพรรคการเมืองนี้ให้ได้” สุริยะใส ผู้ซึ่งอาจต้องมารับภารกิจสานต่อเจตนารมณ์ของ “สุวิทย์” ในบรรลุผลในอนาคต กล่าวทิ้งท้าย