“เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า คณะรัฐประหารชุดนี้หน่อมแน้มที่สุดที่เราเคยเห็นมา ที่เขาหน่อมแน้มก็ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนอ่อนโยนไม่เหี้ยมโหด ข้อนั้นผมไม่ทราบเพราะไม่รู้จักเขา แต่ผมเชื่อว่าสังคมไทยได้ก้าวมาสู่จุดที่คณะรัฐประหารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหน่อมแน้ม ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า อำนาจไม่อาจแก้ปัญหาได้หมดจดอย่างที่เขาและคนไทยอีกมากเคยเชื่อกันมา” นิธิ เอียวศรีวงศ์ (รัฐประหาร 19 กันยาฯ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน : มกราคม 2550)
.................................................
ความยุ่งยากซับซ้อนของปัญหาความไม่สงบของบ้านเมืองที่รัฐบาลและคมช.ต้องเผชิญหน้าในปี 2550 นี้ ฉายชัดตั้งแต่เริ่มเปิดศักราชเมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงเทพมหานครใจกลางเมืองหลวงของประเทศถึง 8 จุด มีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลายสำนักวิเคราะห์ไปในแนวทางเดียวกันว่า ตลอดปีนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดสภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต เพราะมีเงื่อนไขที่ท้าทายอำนาจ ท้าทายความสามารถของ รัฐบาลและคมช. จากทุกสารทิศ
หากวิเคราะห์แยกแยะกลุ่มต่างๆ และเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดสภาวะวิกฤตแล้ว อาจจำแนกคร่าวๆ เป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ
หนึ่ง กลุ่มขั้วอำนาจเก่า ซึ่งประกอบด้วย หัวคะแนน สมาชิกพรรคไทยรักไทย พันธมิตรธุรกิจ และข้าราชการบางส่วนที่ได้รับประโยชน์จากรัฐบาลทักษิณ ทหารและตำรวจบางส่วน มวลชนรากหญ้าที่เป็นฐานเสียงจัดตั้งและชื่นชอบนโยบายประชานิยม กลุ่มนี้มักถูกเรียกขานว่าเป็น “คลื่นใต้น้ำ”
สอง คณะรัฐบาลและคมช. ที่มีจุดอ่อนในตัวเอง เช่น ผลประโยชน์ของทหารหลังรัฐประหาร การเตรียมสืบทอดอำนาจ ความอ่อนหัดของ คมช. คณะรัฐบาล รวมทั้งกลไกที่จัดตั้งขึ้น ทั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.), สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่สำคัญคือ ผลงานของ คมช. และรัฐบาลที่ไม่โดดเด่นโดนใจดังความคาดหวังของสังคม
นอกจากนั้น ภายในคมช.เองก็ไม่ได้มีความเป็นเอกภาพ และรัฐมนตรีบางคนในคณะรัฐบาลขิงแก่ ยังมีพฤติกรรมใส่เกียร์ว่างเสียเองอีกด้วย
สาม กลุ่มถ่วงอำนาจคมช.และรัฐบาล หมายถึงกลุ่มข้าราชการที่ใส่เกียร์ว่าง ไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของคมช.และรัฐบาล มีทั้งข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรม ทหาร ตำรวจ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีผลประโยชน์อยู่กับขั้วอำนาจเดิม, รักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย เพราะคมช.และรัฐบาลมีอายุบริหารราชการแผ่นดินเพียงสั้นๆ เพียงหนึ่งปี, กังวลว่าทักษิณ จะหวนกลับคืนมามีอำนาจ
สี่ กลุ่มยึดหลักการต่อต้านรัฐประหารและกลุ่มองค์กรที่เคลื่อนไหวเพื่อปัญหาปากท้อง ไม่เอาด้วยทั้งระบอบทักษิณและคณะรัฐประหาร กลุ่มนี้จะมีนักวิชาการบางส่วน และองค์กรภาคประชาชนบางกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน เชิดชูระบอบประชาธิปไตยแบบ “กินได้” เช่น สมัชชาคนจน กลุ่มเกษตรกรที่เดือดร้อนจากปัญหาหนี้สิน ราคาผลผลิตตกต่ำ แรงงาน ฯลฯ
*** คลื่นใต้น้ำตัวแปรก่อวิกฤตซ้ำ
กระแสการก่อตัวของคลื่นใต้น้ำหลังเหตุการณ์รัฐประหารย่อมมีเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย หากรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มอ่อนแอ คลื่นใต้น้ำก็อาจมีเพียงเล็กน้อย แต่หากรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มแข็งแกร่ง มีเครือข่ายผลประโยชน์มาก มีการจัดตั้งมวลชนที่เข้มแข็ง ดังเช่นกรณีรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แรงตีโต้จากคลื่นใต้น้ำย่อมรุนแรงกว่าหลายเท่า
คลื่นใต้น้ำที่ก่อเกิดจากกลุ่มผู้เสียประโยชน์ภายหลังการรัฐประหาร มีทั้งกลุ่มนักการเมือง กลุ่มหัวคะแนน กลุ่มข้าราชการและนักธุรกิจที่สนับสนุนและได้รับประโยชน์จากระบอบทักษิณ เป็นด้านหลัก เปิดเกมเขย่าความความชอบธรรมและความเข้มแข็งของรัฐบาลและคมช.อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนบัดนี้
ตลอดปี 2550 นี้ ปัญหาคลื่นใต้น้ำ มีทีท่าว่าจะจัดการได้ยากยิ่งขึ้น เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยสงบนิ่งและเอ่ยวาจาว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้วในช่วง 3 เดือนของการรัฐประหาร เปลี่ยนท่าทีออกเดินเกมการเมืองในระดับระหว่างประเทศ ว่ากันว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ เป็นผู้ประสานงานการเข้าพบผู้นำชาติต่างๆ รวมทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนระดับโลก อย่าง ซีเอ็นเอ็น วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คมช.และรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่อดีตผู้นำในประวัติศาสตร์ที่ถูกรัฐประหารไม่เคยปฏิบัติมาก่อน
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความชำนาญในการสร้างเรื่องให้อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชน มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วโดยมีกุนซือที่ถือเป็นมันสมองและมือขวา คือ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช รวมทั้ง พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ผู้ซึ่งมีบทบาทเป็นคลังสมองให้แก่รัฐบาลที่มักจบลงด้วยการถูกรัฐประหาร อย่างรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และรัฐบาลทักษิณ
พ.ต.ท.ทักษิณ มีเครือข่ายพวกพ้องที่ร่วมทำธุรกิจระหว่างประเทศ มีความชำนิชำนาญในการใช้บริการบริษัทล็อบบี้ยิสต์ จนประสบผลสำเร็จในการแผ่ขยายธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์ และถูกจัดอยู่ใน “กลุ่มเพื่อนบุช” (Friend of Bush) ผ่านทางกลุ่มคาไลน์ กรุ๊ป ขณะที่ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ก็มีเครือข่ายพวกพ้องในต่างประเทศมากมาย เพราะเขามักคบหาพวกข่าวกรอง นักล็อบบี้ยิสต์ นักการทูต เป็นเพื่อนฝูง ทำให้อดีตผู้นำสามารถเปิดเกมรุกกดดันรัฐบาลและคมช. ให้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับได้ไม่ยากเย็น
***เกมรุกทรท.ท้าทายคมช.-รัฐบาล
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินเกมรุกทางการเมืองในระดับระหว่างประเทศ เครือข่ายการเมืองของพลพรรคไทยรักไทยในประเทศ ก็เดินหมากปลุกระดมมวลชนรอจังหวะเคลื่อนไหวใหญ่ สร้างสถานการณ์ความไม่สงบ สุมไฟความขัดแย้งรุนแรง ท้าทายให้รัฐบาลและคมช. ใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง เพื่อให้เกิดความระส่ำระสาย ทำให้รัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือ หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมือง
กรณีการเดินสายลงพื้นที่ของนายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ท้าทายโดยตรงต่อ คมช. และรัฐบาล ที่มีคำสั่งห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหวและทำกิจกรรม
นายจาตุรนต์ ได้พกพา 20 โครงการประชานิยมขับกล่อมชาวรากหญ้าให้หลงไหลเคลิบเคลิ้มเหมือนเคย ภายใต้สโลแกน “ก้าวต่อไป ยืนยันสานต่อทุกนโยบายที่ประสบผลสำเร็จ” ทั้งนี้การเดินสายของหัวหน้าและแกนนำไทยรักไทยมีขึ้นหลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประธิปไตย ประกาศจะเดินสายทั่วประเทศแฉความฉ้อฉลของระบอบทักษิณ
นอกจากนั้น ไทยรักไทย ยังจัดทัพปรับขบวนใหม่รอรับศึกเลือกตั้งโดยประกาศจัดตั้งผู้อำนวยการภาคและกรุงเทพฯ อีกด้วย
ขณะเดียวกัน นายวีระ มุสิกพงศ์ และเพื่อนพ้องน้องพี่จากไทยรักไทย ยังจัดตั้งทีวีผ่านดาวเทียม PTV เพื่อชนกับ เอเอสทีวี กระบอกเสียงที่ใช้ปลุกพลังโค่นทักษิณอีกด้วย
นักสังเกตการณ์ทางการเมือง ชี้ไปในแนวทางเดียวกันว่า เครือข่ายทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย ยังยึดกุมยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” ตอบโต้กับคมช.และรัฐบาล ซึ่งเป็นยุทธวิธีจัดตั้งมวลชนที่ใช้ก่อร่างสร้างพรรคจนแข็งแกร่ง สามารถประสบชัยชนะในศึกเลือกตั้งใหญ่มาแล้วถึง 3 ครั้ง เมื่อปี 2544, 2547 และ 2548
การจัดตั้งมวลชนเพื่อสร้างฐานเสียง และอีกส่วนหนึ่งใช้ตอบโต้กับฝ่ายตรงข้าม เป็นวิธีการที่พรรคไทยรักไทย ใช้มาโดยตลอด ดังเช่น การข่มขู่คุกคามและป่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตลอดปีที่ผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน โดยแกนนำการเคลื่อนไหวในพื้นที่สำคัญยังเป็นเครือข่ายเดิมที่ถักทอต่อสายกันตลอด
เช่น กลุ่มคนรักอุดร ที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีนายขวัญชัย ไพรพนา ดีเจ.คลื่นวิทยุท้องถิ่น เป็นตัวประสาน ส่วนกลุ่มจังหวัดทางอีสานใต้ ยังเป็นเครือข่ายการเมืองของตระกูลชิดชอบ หรือทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย ก็เป็นเครือข่ายของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นต้น
การเคลื่อนไหวดังกล่าว อดีตส.ส. สมาชิกบางส่วนของพรรค รวมถึงข้าราชการบางคน ลงพื้นที่จัดตั้งมวลชนโดยลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน ปฏิบัติการจิตวิทยากับประชาชนผ่านทางหัวคะแนน ผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่น ในแต่ละเขตพื้นที่ เพื่อรักษาความนิยมในตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สร้างกระแสว่าอดีตผู้นำประเทศและครอบครัวถูกรังแก ชี้นำให้ชาวบ้านคัดค้านการรัฐประหาร ปล่อยข่าวโจมตี รัฐบาลและ คมช. สร้างความไม่มั่นใจในโครงการประชานิยม เช่น กองทุนหมู่บ้าน ว่าอาจถูกยกเลิกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พร้อมตอกย้ำถึงความสำเร็จของนโยบายประชานิยมของไทยรักไทย
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอีกประการหนึ่ง ที่อาจถูกหยิบขึ้นมาปลุกเครือข่ายสมาชิกพรรคไทยรักไทยทั่วประเทศ ที่มีไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเสียงให้ออกมาเคลื่อนไหว ก็คือ การยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
การเคลื่อนไหวจัดตั้งมวลชน ปฏิบัติการจิตวิทยา ปฏิบัติการป่วนเมือง มีตั้งแต่การแจกใบปลิว เอกสารหนังสือใต้ดิน ชุมนุมเชคกำลังโดยอาศัยการประชุมสัมมนาบังหน้า การลอบเผาสถานที่ราชการโดยเฉพาะโรงเรียน ฯลฯ โดยพื้นที่การเคลื่อนไหวจะอยู่ในเขตภาคอีสานและภาคเหนือ เป็นหลัก ล้วนได้รับการอัดฉีดเงินสนับสนุนจากอดีตผู้มีอำนาจอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีการผันเงินจากงบประมาณของรัฐเข้ามาเป็นค่าใช้จ่ายด้วย โดยมีบรรดาองค์การปกครองท้องถิ่น (อปท.) เป็นขุมกำลังสำคัญ
การเตรียมพร้อมมวลชนรอสัญญาณเป่านกหวีด ซึ่งคาดหมายว่าจะดังขึ้นระหว่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม หลังการเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่มีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาปากท้องอันเป็นความเดือดร้อนพื้นฐานของประชาชนรากหญ้า
ที่ผ่านมา เป้าหมายการควบคุมความเคลื่อนไหวขบวนการคลื่นใต้น้ำของ คมช. จะพุ่งเป้าไปยังเครือข่ายทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับแกนนำของพรรค เช่น เนวิน ชิดชอบ, ยงยุทธ ติยะไพรัช, นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ รวมถึงบรรดาอดีตส.ส.พรรรคไทยรักไทย หัวคะแนน แกนนำมวลชนในพื้นที่ กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะถูกจับตาความเคลื่อนไหว โดยเจ้าหน้าที่จากกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 3 รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน (กอ.รมน.) ที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว
ถึงกระนั้น เครือข่ายทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย ที่แผ่ขยายและฝังรากลึกมานาน ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวทั้งในทางที่เปิดเผยและทางลับท้าทายคมช.และรัฐบาลมาโดยตลอด เกิดเหตุการณ์เผาโรงเรียนในเขตภาคเหนือและอีสานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงปลายปี 2549 และต้นปี 2550 มากกว่า 30 ครั้ง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
เมื่อประสานกับการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศของอดีตผู้นำ ที่เขย่าปอด คมช. และรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนถูกมองว่า “หน่อมแน้ม” กระทั่งล่าสุดถูกตั้งฉายา “ฤาษีเลี้ยงเต่า” เพราะไม่จัดการกับอดีตผู้นำให้เด็ดขาด มิหนำซ้ำยังออกมาปิดปากสื่อไม่ให้รายงานความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นขอร้องให้สื่อมาช่วยทำหน้าที่ตอบโต้แทน ทำให้คะแนนนิยมใน คมช.และรัฐบาลทหารเริ่มลดต่ำลงเรื่อยมา
คมช. และรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ดูเหมือนจะตระหนักถึงปัญหาคลื่นใต้น้ำที่รุมเร้า แต่การใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อตอบโต้ยังดำเนินไปในเชิงตั้งรับ เมื่อปลายเดือนมกราคม 2550 นายธีรภัทร เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงเสนอครม.อนุมัติแผนประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในเชิงรุก โดยมีเป้าหมายติดตามความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำ ครอบคลุมถึงการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อประเมิน วิเคราะห์สถานการณ์และรายงานให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ พร้อมกับจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด มีบุคคลจาก คมช. และหลายส่วนมาร่วมกัน
นับจากนี้ ต้องรอพิสูจน์ฝีมือของทีมประชาสัมพันธ์เชิงรุกของรัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่าว่าจะต่อกรกับบรรดาลิ่วล้อทักษิณและเครือข่ายที่กำลังเดินหน้าสร้างเงื่อนไขและท้าทาย เพื่อทำให้ประเทศชาติหวนกลับไปสู่สภาวะวิกฤตซ้ำวิกฤตซ้อนได้หรือไม่ ??