ล้อมกรอบ ตอน 2 รายงานพิเศษ : สื่อ(ไม่)เสรี ใต้เงาระบอบทักษิณ
“หมอปั่นภาพ” หรือ “Spin Doctor” เป็นคำนิยามที่ถูกระบุครังแรกในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์เมื่อปี ค.ศ.1984 เพื่ออ้างถึงทีมงานทางด้านสื่อของประธานาธิบดีเรแกน หมอปั่นภาพได้รับการยกให้เป็นอาชีพหนึ่งที่นักการเมืองสหรัฐฯ จำต้องจัดจ้างไว้อยู่ในมือ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้กำกับและจัดฉากออกสื่อและคอยกำกับเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อควบคุมหรือชี้นำความคิดเห็นของสาธารณชน
บทความแปลเรื่อง “สปินด๊อกเตอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพนักการเมือง” ซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เผยให้เห็นว่ามิติหนึ่งในการเมืองแบบประชาธิปไตยมวลชนคือการทำให้เรื่องราวต่างๆ ให้เป็นที่สนใจของประชาชน เทียบเคียงกับนักเล่นกลที่ใช้ม่านควันและกระจกเงาเพื่อให้ผู้ชมของพวกเขาไขว้เขวพร้อมทั้งร่ายเวทมนต์สร้างภาพมายาต่างๆ ขึ้นมา มันจะยิ่งได้ผลอย่างยิ่งในประเทศประชาธิปไตยที่มีโทรทัศน์เป็นสื่อหลักอย่างกรณีของอเมริกาเจ้าตำหรับ หรือแม้แต่ประเทศไทย
ผู้เล่นที่เกี่ยวพันกับ “การสร้างภาพทางการเมือง” อาจระบุได้เป็น 5 กลุ่ม คือ 1.นักการเมืองทั้งหลายในฐานะนักแสดงหลัก 2.ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมหมอปั่นภาพที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ 3.คนทำงานสื่อในฐานะกระบอกเสียง 4. ผู้รับสื่อหรือบรรดาผู้บริโภค และสุดท้าย 5. ผู้ทำนโยบาย ซึ่งมักจะอยู่หลังเวทีไม่ใคร่ได้เห็นหน้าค่าตามากเท่าไหร่
อาจเรียกได้ว่าอาชีพหมอปั่นภาพมีรากฐานจากนักประชาสัมพันธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 แต่ในช่วงยุครุ่งเรืองของโทรทัศน์หลังสงครามโลก อุตสาหกรรมการสร้างภาพทางการเมืองก็มีความสำคัญขึ้นมาทันที โดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยเฉพาะประธานาธิบดีไอเซนฮาวด์และนิกสัน ต่างเป็นต้นตำรับขึ้นชั้นคลาสสิคสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อผ่านจอทีวี
เหล่านี้ยึดโยงอยู่กับความต้องการของคนที่ทำนโยบายทั้งหลายในประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ดูจะขัดแย้งอยู่ในตัว กล่าวคือ 1. ต้องพยายามและปกป้องมวลชนทั้งหลายจากการเข้ามก่อความยุ่งยากและสลับซับซ้อนของกระบวนการทางการเมือง โดยให้พวกเขาห่างไกลจากอำนาจการตัดสินใจต่างๆ ในขณะที่ความต้องการประการที่ 2. คือ พยายามทำให้มวลชนเชื่อว่าที่จริงแล้วพวกเขากำลังมีส่วนร่วมในการปกครองอยู่ เพื่อว่าจะได้สร้างการยอมรับจากพวกเขา
ความคิดอย่างฝังหัวของประธานาธิบดีนิกสันที่มองว่าสื่อเป็นศัตรู (คล้ายผู้นำบางคนของประเทศไทย?) ได้นำไปสู่การจัดการสื่อและการปั่นข่าวอย่างมีประสิทธิภาพ อันส่งผลให้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในประเทศตะวันตกอีกหลายประเทศ ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองได้ลงทุนลงแรงไปเป็นจำนวนมากกับการกำกับการแสดงบนเวทีและส่วนใหญ่ก็ได้ทุ่มเทไปกับภาพลักษณ์ที่ปรากฏบนจอทีวี
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการปั่นได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างหลากหลายในแต่ละยุค ไม่ว่าจะเป็นการิเริ่มรณรงค์สร้างภาพ “วีรบุรุษสงคราม” ของประธานาธิบดีเคนเนดี้จากประสบการณ์นาวิกโยธินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การวางสคริปต์ในการถกปัญหาออกทีวี ในขณะที่นิกสันเองก็เป็นผู้บุกเบิกในการจัดตั้งสำนักงานประชาสัมพันธ์และการสื่อสารขึ้นในทำเนียบขาว อันเป็นแหล่งรวมหมอปั่นภาพที่ก่อประโยชน์ให้กับประมุขของอเมริกาจนถึงปัจจุบัน
นิกสันยังริเริ่มการสื่อสารโดยตรงถึงผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงโดยข้ามหัวสื่อมวลชนหลักที่เขาเห็นว่าเป็นศัตรู โดยการส่งจดหมายตรงถึงผู้รับ อย่างไรก็ตาม เขายังคงจัดทีมเพื่อล๊อบบี้บรรดาคอลัมนิสต์และบรรณาธิการในสิ่งพิมพ์ต่าง นอกจากนี้เขายังขยันเดินทางสัญจรเพื่อไปปรากฏตัวและกล่าวคำปราศรัยที่อยู่ในสคริปต์อย่างรัดกุมทั่วประเทศ
เครื่องจักรสร้างภาพได้รับการพัฒนาต่อเนื่องทั้งในอเมริกาและในประเทศเสรีประชาธิปไตยอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือออสเตรเลีย หรือแม้แต่ประเทศเผด็จการอย่างเยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ ทั้งในแง่ของการจัดการข่าวสารผ่านการล็อบบี้นักหนังสือพิมพ์ การจัดตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการตอบโต้ข่าวสารอย่างมืออาชีพ หรือแม้แต่การจัดหน่วยงานวิจัยฝ่ายตรงกันข้ามและหน่วยสร้าง “เหตุการณ์พิเศษ” เพื่อหยิบฉวยประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่ได้ก้าวหน้าถึงขั้นก่อเกิดอาชีพเฉพาะอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับทีมทำงานรอบข้างกายผุ้นำก็คงจะการันตีได้ว่ามีความชำนาญในการปรุงแต่งข่าวสารอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างการทำงานกับ “ผู้รับสื่อ” หรือ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ผ่านกระแสข่าวต่างๆ นั้น ได้ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะ
“หมอปั่นภาพ” หรือ “Spin Doctor” เป็นคำนิยามที่ถูกระบุครังแรกในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์เมื่อปี ค.ศ.1984 เพื่ออ้างถึงทีมงานทางด้านสื่อของประธานาธิบดีเรแกน หมอปั่นภาพได้รับการยกให้เป็นอาชีพหนึ่งที่นักการเมืองสหรัฐฯ จำต้องจัดจ้างไว้อยู่ในมือ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้กำกับและจัดฉากออกสื่อและคอยกำกับเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อควบคุมหรือชี้นำความคิดเห็นของสาธารณชน
บทความแปลเรื่อง “สปินด๊อกเตอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังภาพนักการเมือง” ซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เผยให้เห็นว่ามิติหนึ่งในการเมืองแบบประชาธิปไตยมวลชนคือการทำให้เรื่องราวต่างๆ ให้เป็นที่สนใจของประชาชน เทียบเคียงกับนักเล่นกลที่ใช้ม่านควันและกระจกเงาเพื่อให้ผู้ชมของพวกเขาไขว้เขวพร้อมทั้งร่ายเวทมนต์สร้างภาพมายาต่างๆ ขึ้นมา มันจะยิ่งได้ผลอย่างยิ่งในประเทศประชาธิปไตยที่มีโทรทัศน์เป็นสื่อหลักอย่างกรณีของอเมริกาเจ้าตำหรับ หรือแม้แต่ประเทศไทย
ผู้เล่นที่เกี่ยวพันกับ “การสร้างภาพทางการเมือง” อาจระบุได้เป็น 5 กลุ่ม คือ 1.นักการเมืองทั้งหลายในฐานะนักแสดงหลัก 2.ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมหมอปั่นภาพที่ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ 3.คนทำงานสื่อในฐานะกระบอกเสียง 4. ผู้รับสื่อหรือบรรดาผู้บริโภค และสุดท้าย 5. ผู้ทำนโยบาย ซึ่งมักจะอยู่หลังเวทีไม่ใคร่ได้เห็นหน้าค่าตามากเท่าไหร่
อาจเรียกได้ว่าอาชีพหมอปั่นภาพมีรากฐานจากนักประชาสัมพันธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 แต่ในช่วงยุครุ่งเรืองของโทรทัศน์หลังสงครามโลก อุตสาหกรรมการสร้างภาพทางการเมืองก็มีความสำคัญขึ้นมาทันที โดยเฉพาะการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยเฉพาะประธานาธิบดีไอเซนฮาวด์และนิกสัน ต่างเป็นต้นตำรับขึ้นชั้นคลาสสิคสำหรับการโฆษณาชวนเชื่อผ่านจอทีวี
เหล่านี้ยึดโยงอยู่กับความต้องการของคนที่ทำนโยบายทั้งหลายในประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ดูจะขัดแย้งอยู่ในตัว กล่าวคือ 1. ต้องพยายามและปกป้องมวลชนทั้งหลายจากการเข้ามก่อความยุ่งยากและสลับซับซ้อนของกระบวนการทางการเมือง โดยให้พวกเขาห่างไกลจากอำนาจการตัดสินใจต่างๆ ในขณะที่ความต้องการประการที่ 2. คือ พยายามทำให้มวลชนเชื่อว่าที่จริงแล้วพวกเขากำลังมีส่วนร่วมในการปกครองอยู่ เพื่อว่าจะได้สร้างการยอมรับจากพวกเขา
ความคิดอย่างฝังหัวของประธานาธิบดีนิกสันที่มองว่าสื่อเป็นศัตรู (คล้ายผู้นำบางคนของประเทศไทย?) ได้นำไปสู่การจัดการสื่อและการปั่นข่าวอย่างมีประสิทธิภาพ อันส่งผลให้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในประเทศตะวันตกอีกหลายประเทศ ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองได้ลงทุนลงแรงไปเป็นจำนวนมากกับการกำกับการแสดงบนเวทีและส่วนใหญ่ก็ได้ทุ่มเทไปกับภาพลักษณ์ที่ปรากฏบนจอทีวี
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการปั่นได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างหลากหลายในแต่ละยุค ไม่ว่าจะเป็นการิเริ่มรณรงค์สร้างภาพ “วีรบุรุษสงคราม” ของประธานาธิบดีเคนเนดี้จากประสบการณ์นาวิกโยธินในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การวางสคริปต์ในการถกปัญหาออกทีวี ในขณะที่นิกสันเองก็เป็นผู้บุกเบิกในการจัดตั้งสำนักงานประชาสัมพันธ์และการสื่อสารขึ้นในทำเนียบขาว อันเป็นแหล่งรวมหมอปั่นภาพที่ก่อประโยชน์ให้กับประมุขของอเมริกาจนถึงปัจจุบัน
นิกสันยังริเริ่มการสื่อสารโดยตรงถึงผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงโดยข้ามหัวสื่อมวลชนหลักที่เขาเห็นว่าเป็นศัตรู โดยการส่งจดหมายตรงถึงผู้รับ อย่างไรก็ตาม เขายังคงจัดทีมเพื่อล๊อบบี้บรรดาคอลัมนิสต์และบรรณาธิการในสิ่งพิมพ์ต่าง นอกจากนี้เขายังขยันเดินทางสัญจรเพื่อไปปรากฏตัวและกล่าวคำปราศรัยที่อยู่ในสคริปต์อย่างรัดกุมทั่วประเทศ
เครื่องจักรสร้างภาพได้รับการพัฒนาต่อเนื่องทั้งในอเมริกาและในประเทศเสรีประชาธิปไตยอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือออสเตรเลีย หรือแม้แต่ประเทศเผด็จการอย่างเยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ ทั้งในแง่ของการจัดการข่าวสารผ่านการล็อบบี้นักหนังสือพิมพ์ การจัดตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการตอบโต้ข่าวสารอย่างมืออาชีพ หรือแม้แต่การจัดหน่วยงานวิจัยฝ่ายตรงกันข้ามและหน่วยสร้าง “เหตุการณ์พิเศษ” เพื่อหยิบฉวยประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่ได้ก้าวหน้าถึงขั้นก่อเกิดอาชีพเฉพาะอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับทีมทำงานรอบข้างกายผุ้นำก็คงจะการันตีได้ว่ามีความชำนาญในการปรุงแต่งข่าวสารอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงสร้างการทำงานกับ “ผู้รับสื่อ” หรือ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ผ่านกระแสข่าวต่างๆ นั้น ได้ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะ