รายงานพิเศษ
ถอดรหัส "กกต. - พี่หนาและพวก" ....ตอน 3
กกต.ยุคสุดฉาว ทนทานถูกประณามท่ามกลางข้อกล่าวหาสารพัด ทั้งใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ทุจริตฉ้อฉลจนชิน กินกันเป็นกิจวัตร เลือกปฏิบัติ แสวงหาประโยชน์เป็นปกติวิสัย ไม่ว่าจะเป็นงบจัดซื้อจัดจ้าง งบเลือกตั้ง ซดงบลับ งาบงบรับรอง แถมขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง แฉดึงบริษัทพวกพ้องร่วมสวาปามงบรณรงค์ประชาสัมพันธ์ จัดพิมพ์ใบปลิวแผ่นพับสารพัด สตง.เพิ่งตื่นไล่ตรวจสอบหลังการันตีโปร่งใสไร้ปัญหามาตลอด
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองต่อการจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 49 ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปถึงคดีฟ้องอาญาคณะกรรมการ กกต.ซึ่งศาลนัดไต่สวนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผนวกกับรายงานการสอบสวนของอนุกรรมการฯ ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธานฯ กรณีพรรคไทยรักไทยการว่าจ้างพรรคการเมืองเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง นั่นคือรูปธรรมล่าสุดที่สะท้อนให้เห็นถึงการละทิ้งความสุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นหลักการสำคัญของกกต. แต่พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. หาได้แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ความดื้อด้านไม่ยอมรับคำตัดสินและผลการสอบสวนข้างต้นของประธาน กกต. ตอกย้ำให้เห็นว่าที่ผ่านมาวัฒนธรรมการใช้อำนาจมิชอบในองค์กร กกต. ยุค "รัฐตำรวจ" กระทำกันจนเป็นปกติวิสัย กระทั่งแผ่รากฝังลึกมากมายเพียงใด ทั้งยังหมายรวมไปถึงกรณีการทุจริตฉ้อฉลสารพัดที่ถูกปกปิดซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาณาจักร "สตช. สาขา 4" แห่งนี้
***ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ส่อทุจริตต่อหน้าที่
เรื่องฉาวโฉ่ของ กกต.ก่อนหน้าที่กระแส "ทักษิณ...ออกไป" และ "กกต...แก๊งกวนตีน" จะขึ้นสูงจนถึงปัจจุบัน คือการออกระเบียบขึ้นเงินเดือนให้กับตัวเอง เช่นเดียวกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) องค์กรอิสระที่มีอันต้องเด้งออกไปยกชุดกับชนักดังกล่าว
แต่ทว่า กกต.ชุดอย่างหนานี้ กลับพลิกมุม สืบทอดเก้าอี้ได้จนถึงปัจจุบัน เพราะเมื่อ ปปช. หมดสภาพ การยื่นเรื่องของ กกต. ให้ ปปช. เชือดจึงต้องร้องเพลงรอไปก่อน
ตามรายงานผลสอบของวุฒิสภาที่สรุปและยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อถอดถอนกรรมการการเลือกตั้งออกจากตำแหน่งนั้น ชี้ว่า การประชุมกรรมการในวันที่ 6 ก.ย. 2547 ห้าเสือ กกต.ได้มีมติให้ประธานวาสนา ออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 3 ก.ย. และ 13 ก.ย. 2547
เนื้อหาโดยสรุปคือ กำหนดให้ กกต.ทุกคนได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนในลักษณะเหมาจ่ายเดือนละ 2 หมื่นบาทต่อคน โดยอ้างอำนาจตามบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ.2541 ในมาตรา 27 ที่ให้อำนาจ กกต.สามารถออกระเบียบหรือประกาศเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารบุคคล การงบประมาณ การเงินและทรัพย์ และการดำเนินการอื่นในเรื่องดังต่อไปนี้ ซึ่งอ้างถึงวงเล็บ 5 ที่ระบุว่า "การบริหารและจัดการการเงินและทรัพย์สินของสำนักงาน กกต."
อย่างไรก็ตาม การอ้างถึงบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการอ้างในตัวบทที่จำกัดเฉพาะพนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน กกต.เท่านั้น เนื่องจากมาตรา 27 อยู่ในหมวด 2 ที่ว่าด้วยสำนักงาน กกต. หาใช่บทบัญญัติที่ระบุถึงเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และผลประโยชน์ตอบแทนของกรรมการแต่อย่างใด
เรื่องนี้ จรัล บูรณพันธุ์ศรี หนึ่งในคณะกรรมการ กกต. เขียนไว้ในบันทึกก่อนเสียชีวิตว่า กรณีกกต.มีมติให้ขึ้นค่าตอบแทนให้ตัวเองโดยขอให้ทบทวนมติใหม่และอภิปรายไม่รับหลักการเพราะระเบียบดังกล่าวไม่สามารถออกได้เนื่องจากขัดกฎหมาย
***ซดงบลับ-งาบงบรับรอง
นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว ยังมีกรณีงบลับซึ่งที่ประชุมคณะ กกต. มีมติครั้งที่ 161/2547 เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2547 เห็นชอบให้พล.ต.อ.วาสนา ออกระเบียบว่าด้วยการใช้จ่ายเงินปฏิบัติการลับ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการสั่งจ่ายเงินปฏิบัติราชการลับ ประกอบด้วย ประธาน กกต.เป็นประธาน, เลขา กกต., ผอ.สำนักนโยบายและแผน ผอ.สำนักการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบการใช้จ่ายงบลับ โดยประธาน สั่งจ่ายครั้งละไม่เกิน 500,000 บาท, เลขาฯ ครั้งละไม่เกิน 200,000 บาท รองเลขาฯ ด้านสืบสวนสอบสวนฯ ครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท และผอ.สำนักสืบสวนฯ ทั้ง 5 สำนัก ครั้งละไม่เกิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ วุฒิสภา ชี้ว่า การออกระเบียบดังกล่าวอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (5) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 นั้นความจริงแล้วเป็นการออกระเบียบเกี่ยวกับการบริหารและจัดการการเงินและทรัพย์สินจำกัดเฉพาะพนักงานและลูกจ้างเท่านั้น ไม่รวมถึงคณะกรรมการ กกต. แต่อย่างใด อีกทั้งการจะสั่งจ่ายเงินดังกล่าว เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนจะต้องได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายจากคณะกรรมการ กกต. เสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการใช้อำนาจโดยพลการ
การออกระเบียบเบิกจ่ายงบลับอย่างหละหลวม ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า การเบิกงบลับโดยที่คณะกรรมการเลือกตั้งยังไม่ได้แต่งตั้งหรือมอบหมายให้พนักงานหรือกรรมการเลือกตั้งคนใดสืบสวนสอบสวนเรื่องใด ผู้ใดแต่งตั้งมอบหมายงาน การเบิกจ่ายเพื่อภารกิจใด จ่ายเงินให้สายลับใด การจ่ายเงินให้สายลับอยู่ในอำนาจอนุมัติของใคร ทั้งไม่มีหลักเกณฑ์กำหนดจำนวนเงินให้สายลับแต่ละราย พฤติการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดช่องการทุจริตงบประมาณแผ่นดินได้โดยง่าย ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่
นอกจากนั้น คณะกรรมการ กกต. ยังมีมติเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2545 เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการจ่ายเงินค่ารับรองของประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2542 และเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2545 ก็มีมติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีวงเงินค่ารับรองเพื่อสำรองไว้ใช้จ่าย คือ ประธานกกต. จำนวน 200,000 บาท, กรรมการการเลือกตั้ง คนะล 50,000 บาท จากนั้น 5 เสือกกต. ก็เบิกเงินตามวงเงินที่กำหนดจากสำนักงานฯ ไปถือไว้กับตน ทำให้สามารถใช้จ่ายเงินได้ตามอำเภอใจ โดยไม่มีอำนาจรับเงินไว้ได้ตามกฎหมาย
***ตั้งบริษัทร่างทรงถลุงงบรณรงค์-พีอาร์
การใช้งบประมาณของกกต.ในยุคนี้นั้น ขึ้นชื่อว่าใช้กันอย่างอีลุยฉุยแฉก โดยเฉพาะงบรณรงค์ งบประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ซึ่งประเมินผลงานแบบจับต้องไม่ได้ว่าคุ้มค่าต่อการใช้จ่ายหรือไม่
ในยุคของ พล.ต.อ.วาสนา กกต.ปรับวิธีรณรงค์และประชาสัมพันธ์ใหม่โดยหันมาทุ่มซื้อสื่อทีวี วิทยุ ดังเช่นกรณีการเลือกตั้งส.ส.เมื่อปี 2548 ที่ใช้งบประชาสัมพันธ์กว่า 200 ล้านบาท และเปิดประมูลว่าจ้างบริษัทเอเยนซีเข้ามารับงาน ด้วยเหตุผลบังหน้าที่ 5 เสือกกต. มองว่า ฝ่ายประชาสัมพันธ์และฝ่ายการมีส่วนร่วมของกกต. เองไม่มีน้ำยา ทั้งที่กกต.ชุดก่อนเคยใช้สองหน่วยงานสร้างผลงานสร้างชื่อเสียงมาแล้ว
การคัดเลือกบริษัทเข้ามารับงานประชาสัมพันธ์ มีการเปิดประมูลว่าจ้างพอเป็นพิธี ความจริงมีการล็อกสเปกบริษัทที่จะเข้ามารับงานไว้แล้ว โดยเป็นบริษัทพวกพ้องของเสือใหญ่ กกต. ที่เพิ่งตั้งขึ้นมารับงานนี้โดยเฉพาะ และไม่ปรากฏว่ามีชื่อเสียงในวงการโฆษณามาก่อน หลังชนะประมูลรับงานไปแล้วก็ว่าจ้างบริษัทโฆษณามืออาชีพมารับช่วงต่อ
เวลานั้น บริษัทร่างทรงเสนองานว่าจะซื้อเวลายิงสปอตโฆษณาผ่านทีวีและวิทยุ 3 ช่วง คือ ก่อนเลือกตั้ง ใกล้วันเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งซึ่งช่วงหลังนี้แผนโฆษณาระบุว่า เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกกต. โดยใช้งบสูงถึง 90 ล้านบาท
แต่ในที่สุด ก็ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าช่วงเวลาที่ยิงสปอตเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เที่ยงคืนหรือไม่ก็ช่วงเวลาเที่ยงวัน ไม่ใช่ช่วงเวลาไพรม์ไทม์หรือช่วงที่คนจะนั่งหน้าจอกันมาก และจากการประเมินผลภายหลังการเลือกตั้ง พบว่า กลุ่มเป้าหมายตอบว่าเห็นโฆษณารณรงค์ของ กกต.ดังกล่าวน้อยมากหรือแทบจะไม่เห็นเลย
นอกจากนั้น ยังมีรายการถลุงงบทำสื่อรณรงค์เลือกตั้งทั้งในและต่างประเทศ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไม่นับงบแป้นหมึกสำหรับประทับตรายางลงคะแนนที่ใช้ไปกว่าร้อยล้าน
ส่วนการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่งบริษัท จันทวานิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นท์ติ้ง จำกัด เป็นผู้รับเหมารายเดียวก็มีราคาสูงถึงใบละ 1.50 บาทในขณะที่หีบบัตรเลือกตั้งก็มีราคาถึงหีบละ 120 บาท
ความจริงแล้ว การพิมพ์แผ่นพับ โปสเตอร์รณรงค์ พิมพ์ใบเลือกตั้ง จำนวนมากๆ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ในข้อเท็จจริงแล้วไม่มีใครไปนั่งนับทุกใบว่าครบถ้วนตามสั่งหรือขาดเกิน และบางครั้งล่อกันถึงขนาดแทงเรื่องเบิกจ่ายงบเป็นพิมพ์สองสีทั้งๆ ที่พิมพ์สีเดียวก็มี
ยังไม่นับการใช้จ่ายงบในส่วนกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง ที่ใช้กันอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกเช่นเดียวกัน
เสือกกต. ยุคพล.ต.อ.วาสนา ยังมีการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรณรงค์และจัดเลือกตั้งก็ไปกันอย่างเอิกเกริก ด้วยบริการบริษัททัวร์ของพรรคพวก งานนี้จ่ายไปเหนาะๆ 50 ล้าน แต่ปล่อยให้ผู้มีสิทธิที่พำนักในต่างประเทศไม่สามารถลงทะเบียนขอให้สิทธิได้
***วีดีโอคอนเฟอเรนส์สูญเปล่า 80 ล้าน
เรื่องอื้อฉาวในกกต. แทบเรียกได้ว่ามีไปทุกซอกทุกมุมของทุกสำนักฯ ในตึกศรีจุลทรัพย์ ซึ่งในส่วนสำนักงานรณรงค์และเผยแพร่ ยังมีโครงการจัดหาวีดีโอคอนเฟอเรนส์ ที่เตรียมความพร้อมสำหรับการจัดประชุมทางไกล แต่สุดท้ายสูญเสียงบประมานการติดตั้งถึงกว่า 80 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้ใช้งานให้คุ้มกับราคา คนวงในเล่ากันว่า ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่ได้รับการประมูลงานนี้ มีความสนิทสนมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักฯ ซึ่งเป็นแม่งานจัดทำโครงการนี้เป็นพิเศษ
***เช่ารถกระบะ 5 ปี 82 ล้านบาท
กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในอาณาจักร กกต. องค์กรอิสระ ซึ่งเป็นอิสระจากการตรวจสอบด้วยนั้น ยังเป็นหนองเนื้อในที่ยังไม่ได้รับการชำระล้างอย่างจริงจัง กรณีการเช่ารถตู้จำนวน 86 คัน เพื่อใช้งานในสำนักงานส่วนกลางและต่างจังหวัด ที่ใช้ระยะเวลาเช่ายาวนาน 5 ปี ของ กกต.และเลขาธิการ กกต.ชุดนี้ เป็นอีกหนึ่งในเรื่องฉาวโฉ่
เรื่องนี้ เดิมทีเป็นผลมาจากการที่เลขาธิการฯ คนก่อน วิจิตร อยู่สุภาพ เล่นแร่แปรธาตุถอนงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างในขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ ซึ่งเป็นส่วนของรถประจำสำนักงานและอุปกรณ์จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายวีดีโอ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่อาวุธปืน สำหรับงานในฝ่ายสืบสวนสอบสวน จนต้องใช้วิธีการเฉพาะหน้าโดยการเช่ารถตกวันละ 1 พันบาทต่อคัน ในราคาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงการใช้ในภารกิจเฉพาะชั่วคราวก่อนและหลังการเลือกตั้ง ส.ว. 6 เดือน
พอมาถึงยุค กกต.ชุดปัจจุบัน เริ่มแรกมีนโยบายจะจัดซื้อเลย โดยสำรวจความต้องการของ กกต. จังหวัด และได้รับคำตอบกลับมาว่าต้องการ "รถตู้" ในขณะที่ "รถกระบะ" ที่มีการจัดซื้อตั้งแต่สมัย ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ เป็นเลขาฯ ก็ยังใช้การได้อยู่
เรื่องนี้ เป็นที่โจษขานกันว่า บริษัทรถแห่งหนึ่งมีการล็อบบี้มายัง พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการ กกต.
ในเวลาเดียวกันนั้น ครม.ได้ให้ความเห็นชอบกับนโยบายการประหยัดงบประมาณของกระทรวงคลัง ที่ระบุให้หน่วยราชการที่จะจัดซื้อจัดจ้าง อุปกรณ์ เครื่องใช้สำนักงานต่างๆ พิจารณาให้ใช้วิธีการเช่า ดีกว่า
ทางเลขาธิการกกต. จึงเสนอให้ กกต.พิจารณาเช่า "รถกระบะ" ของ "อีซูซุ" ในระยะเวลา 5 ปี จำนวน 81 คัน เพื่อประจำสำนักงาน กกต. จังหวัดๆ ละ 1 คัน และอีก 5 คัน สำหรับศูนย์การเรียนรู้การเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยค่าเช่าตกเดือนละ 16,000 กว่าบาทต่อคัน หรือประมาณ 958,000 บาทต่อคันตลอดระยะเวลา 5 ปี คิดเป็นงบประมาณผูกพันประมาณ 82 ล้านบาท ท่ามกลางการร้องเรียนของ "โตโยต้า" ซึ่งเป็นบริษัทที่เสนอราคาต่ำที่สุดในกรณีการซื้อแล้วถูกยกเลิกไป
นอกจากจะจัดหา "รถกระบะ" ที่ไม่ตรงตามความต้องการการใช้งานแล้ว ยังทำการเช่าด้วยงบประมาณที่ใกล้เคียงกับการจัดซื้อ ทั้งๆ ที่ราคาของรถกระบะส่วนใหญ่ก็ไม่ห่างกับค่าเช่าไม่เท่าไหร่นัก
สำหรับเรื่องรถ นอกจากกรณีข้างต้นแล้ว เรื่องที่อื้อฉาวสุดๆ เห็นจะเป็นกรณีรถเบนซ์ของกรรมการ 4 คัน ที่ถูกโละออกไปเมื่อมีการซื้อรถประจำตำแหน่งใหม่ การประมูลเบนซ์คันเก่าของ กกต. ราคาหล่นฮวบเหลือประมาณ 8-9 แสนบาท ต่ำกว่าเบนซ์มือสองทั่วไปทั้งที่ซื้อมาราคา 2-3 ล้านและเพิ่งใช้งานไม่เท่าไหร่ แถมช่วงประมูลยังมีพรายกระซิบมาจากสำนักเลขานุการประธานกกต.ทำนองว่า "ท่าน" อยากได้
ทุกวันนี้ หน้าห้องของกรรมการการเลือกตั้งบางคนจึงได้รับอานิสงค์จากนโยบายเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งของนาย และขับสบายใจเฉิบเข้ามาจอดในอาคารศรีจุลทรัพย์ทุกวันทำการ
อย่าแปลกใจว่าทำไม กกต.ใส้เน่า เต็มไปด้วยการกระทำที่ส่อไปในทางใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ แสวงหาประโยชน์จากงบแผ่นดินอย่างโจ่งครึ่ม กลับไม่มีปัญหาใดๆ
คนวงใน กกต. เล่าว่า ผู้ใหญ่ใน กกต. รู้ดีว่าจะวางระบบอย่างไรให้ปฏิบัติการถูกเก็บงำเป็นความลับ อันดับแรกต้องโยกคนที่เล็งเห็นว่าจะเป็นตัวปัญหาออกนอกวงโคจรก่อน อาจให้ไปนั่งตบยุงแถวมุมห้องไม่ให้เข้ามายุ่งในปฏิบัติการลับเฉพาะ จากนั้นก็เอาพรรคพวกเพื่อนพ้องลูกน้องที่ไว้ใจเข้าไปนั่งเป็นกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง ตรวจรับครบวงจร ขณะที่บริษัทเอกชนหรือผู้ที่เข้ามารับงานก็จะเป็นบริษัทขาประจำ รู้ราคาว่าต้องจ่ายใต้โต๊ะ บนโต๊ะอย่างไร และจ่ายให้ใครบ้าง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณองค์กรอิสระ กกต.จะค้นพบว่ามีปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กรแห่งนี้ กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สตง.จึงเพิ่งตื่นเข้าไปไล่รื้อตรวจสอบเรื่องราวความฉาวโฉ่ที่ไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป
*************************
***กกต.บกพร่องโดยทุจริต ?***
หากย้อนกลับไปดูผลงานของ กกต.ชุดนี้แล้ว อาจไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดทุกวันนี้ถึงได้มีเสียงก่นด่าประณามมากมายถึงขนาดนี้ และจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่านับจากนี้ 5 เสือ กกต. ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเป็นว่าเล่น เพราะพวกเขาทำงานกันอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เริ่มจากกระบวนการวินิจฉัยและออกคำสั่งที่มีหลายมาตรฐาน แสดงถึงความหละหลวม บกพร่อง และอาจถึงขั้นเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับ
หลายกรณีที่ กกต.มีมติในคำวินิจฉัยชี้ขาดเป็นเอกฉันท์ว่าให้ "ใบเหลือง" หรือให้จัดการเลือกตั้งใหม่ และให้ "ใบแดง" หรือเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งพร้อมกับให้จัดเลือกตั้งใหม่ แต่พอออกคำสั่งกลับขัดแย้งกับคำวินิจฉัย ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นเรื่องฟ้องร้องในศาลปกครองกันหลายคดีความ
นอกจากนี้ ยังพบว่าการออกคำสั่งหลายครั้งก็ลงลายมือชื่อกรรมการเพียงคนเดียวไปก่อนที่จะมีการจัดทำคำวินิจฉัย ในขณะที่บางกรณีก็ไม่มีคำวินิจฉัยรองรับ
ร้ายกว่านั้น บางกรณีมีคำวินิจฉัยแต่มีลงลายมือชื่อไม่ครบ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ กกต.หลายฉบับ อันเป็นกฎหมายพื้นฐานที่ กกต.ทุกคนต้องอ่านหรืออาจต้องถึงขั้นจดจำได้ทุกมาตรา
ดังกรณีการเลือกตั้งสมาชิก อบต.เหนือเมือง จ.ร้อยเอ็ด เขตเลือกตั้งที่ 16 เมื่อ 24 ส.ค. 2546 เมื่อพล.ต.อ.วาสนา ออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ขัดแย้งกับมติและคำวินิจฉัยชี้ขาดของ กกต. ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าให้ "ใบแดง" เพิกถอนสิทธิของผู้สมัครจำนวน 3 คนและเลือกตั้งใหม่ แต่การออกคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเพียง 2 คน ทำให้ "นายเทิดเกียรติ ภาประเวช" 1 ในผู้สมัคร 3 รายที่โดนใบแดง ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้งในเวลาต่อมา ซ้ำร้าย ประธานกกต. ยังได้ออกประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้เขาในเวลาต่อมาอีกด้วย
ที่สำคัญเมื่อย้อนไปดูในคำวินิจฉัยสั่งการของ กกต. ก็พบอีกว่า กกต. 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ, วีระชัย แนวบุญเนียร และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ไม่ยอมลงลายมือชื่ออีกต่างหาก ขัดกับมาตรา 19 วรรค 3 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ.2541 และข้อ 67 วรรค 3 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2542 ที่ให้ กกต.ลงลายมือชื่อในคำวินิจฉัยชี้ขาดทุกคน
ผิดซ้ำผิดซ้อน!? เป็นไปได้หรือที่บุคคลระดับสูงอย่าง กกต.ทั้ง 5 คน จะผิดพลาดในเรื่องกฎหมายและระเบียบแค่นี้ นอกเสียจากจะมีปัจจัยเกื้อหนุนบางประการที่ผลักดันให้พฤติการณ์สุดห่วยเหล่านี้เกิดขึ้น
ยัง! ยังไม่พอ ความหน้ามืดตามัวคล้ายมีกระเป๋าบรรจุแบงก์พันบังตา พวกเขายังไม่หยุดอยู่แค่นี้ กรณีการเลือกตั้งสมาชิก อบต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 11 ที่เลือกตั้งในวันเดียวกัน ที่ กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ "ใบเหลือง" หรือให้จัดการเลือกตั้งใหม่แทนผู้สมัคร 2 คนที่ได้ประกาศผลไปแล้วก่อนหน้า แต่ทว่าประธาน กกต. กลับออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนเพียง 1 คน ทำให้ "นายเสาร์ บุญเกตุ" 1 ใน 2 ที่ถูกใบเหลืองยังคงเป็น ส.อบต.อยู่จนถึงปัจจุบัน
ในกรณีทีคล้ายคลึงกัน การเลือกตั้งสมาชิก อบต.หาดคำ อ.เมือง จ.หนองคาย เขตเลือกตั้งที่ 2 กกต.มีมติเอกฉันท์ให้ "ใบเหลือง" กับผู้สมัคร 1 ราย โดยต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ขึ้นอีกครั้งเพื่อทดแทนตำแหน่งดังกล่าว แต่ครั้นประธาน กกต. ออกคำสั่งกลับระบุให้มีการเลือกตั้งใหม่ 2 ที่นั่ง ทำให้ "นางสกุล วิบูลย์" ที่ได้รับการประกาศผลให้เป็น ส.อบต.เรียบร้อยแล้วมีอันต้องพ้นตำแหน่งไป
กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างการใช้อำนาจของ กกต.ที่เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่นจนเกิดปัญหาการฟ้องร้องตามมา
ความลักลั่นที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ของพวกเขายังคงเกิดขึ้นอีกในการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ อย่างกรณีของการเลือกตั้งสมาชิก อบต.ท่าโรง จ.เพชรบูรณ์ ที่ กกต.มีคำวินิจฉัยเป็นมติเอกฉันท์ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือ ให้ "ใบแดง" กับ "นายเลี้ยง บุกขุนทด" 1 ในผู้สมัคร เนื่องจากทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง รวมทั้งดำเนินคดีอาญากับนายเลี้ยงด้วย แต่ทว่าคำสั่งที่ออกมาบังคับในภายหลังกลับระบุเพียงให้เลือกตั้งใหม่ โดยไม่ได้เพิกถอนสิทธิของนายเลี้ยงแต่อย่างใด ทำให้เขาสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง จนได้รับเลือกให้เป็น ส.อบต. เขาก็ยังอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวจนถึงทุกวันนี้
ถ้าจะว่าไปแล้ว การปรับโครงสร้างการทำงานจากเดิมที่ กกต.แต่ละคนจะแบ่งสายงานกันรับผิดชอบ มาเป็นการดูแลงานเป็นรายภาค ทำให้เกิดกรณีที่กรรมการแต่ละคน "จัดการ" กับกรณีร้องเรียนตามอำเภอใจ
การออกคำสั่ง กกต. ให้ "ใบแดง" หรือ "ถอนสิทธิการเลือกตั้ง" กับ "นายเถกิงศักดิ์ ภัทรนาวิก" นายกเทศมนตรีเมืองชุมแพ จ.นครสวรรค์ ของ วีระชัย แนวบุญเนียร กกต.ผู้คุมงานภาคเหนือ โดยอาศัยมูลเหตุที่นายเถกิงศักดิ์มีลักษณะต้องห้าม แต่เป็นการออกคำสั่งที่ไม่มีคำวินิจฉัยของ กกต.รองรับในประเด็นดังกล่าว มีเพียงคำวินิจฉัยที่ระบุว่าให้เพียง "ถอนสิทธิการสมัคร" เท่านั้น
วีระชัย ยังเป็นแม่งานในการลงดาบออกคำสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลห้างฉัตร จ.ลำปางใหม่ โดยให้ใบแดงกับ "นายจรัญ วงศ์สวัสดิ์" นายกเทศมนตรีในขณะนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ตรงกับคำวินิจฉัยสั่งการของ กกต.เอง
กรณีเดียวกันยังเกิดกับ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กกต.อีกคนที่คุมงานฟากอีสาน ซึ่งออกคำสั่งให้เลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่นใหม่ และให้ "ใบแดง" กับ "นายชโย ตันติบัญชาชัย" นายกเทศมนตรีในขณะนั้น โดยขัดกับคำวินิจฉัยสั่งการของ กกต. เองเช่นเดียวกัน
ทั้ง 3 กรณีนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ข้อสังเกตบางประการซึ่งเป็นที่ฉาวโฉ่ในตึกศรีจุลทรัพย์และอาจเป็นวิสัชนาของพฤติกรรเหล่านี้ได้ คือ ตลอดการเลือกตั้งท้องถิ่นหลายครั้งที่ผ่านมา มีข่าวค่อนข้างมากว่า กกต.จะให้คนใกล้ชิดไปเรียกรับเงินจากบรรดาผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งเป็นค่า " เป่าสำนวนร้องเรียน"
กรณี พล.ต.อ.วาสนา นั้น มีข่าวร่ำลือกันไปถึงขั้นข้ามไปรับเงินกันในฝั่งเขมร ผ่านนกต่อที่ดำเนินการให้ชื่อ "ศุภชัย" ขณะที่คนอื่นๆ ก็ปรากฏข่าวรับสำนวนละหลายล้าน แต่สำหรับ "วีระชัย" นั้นว่ากันว่า คนติดตามมักจะชอบเช็คเรื่องความลับในสำนวน ซึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตจากบรรดาคนใน กกต.ว่า เป็นการมาเสาะหาข้อมูลเพื่อนำความลับเหล่านี้ไปขายให้ใครหรือไม่ ข่าวยังไม่ระบุชัดว่ารายได้ส่วนนี้สมทบทุนให้นายด้วยหรือไม่ อย่างไร
ส่วนการเลือกตั้งส.ส.ปี 48 นั้น มีข้อสังเกตว่า กกต.ชุดนี้แจกใบแดงเพียงใบเดียวให้กับ นายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูล ซึ่งในปีนั้น พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน 400 เขต 1,200 คน โดยลงนามแต่งตั้งเพียงคนเดียวในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสำนักงาน สำหรับรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาเป็นอนุกรรมการนั้นล้วนแต่เป็นคนที่ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ, พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ส่งบัญชีขึ้นไปทั้งสิ้น
ด้วยวัฒนธรรมการทำงานและพฤติกรรมของเสือกกต. จึงไม่แปลกที่กกต.จะตกอยู่ในภาวะวิกฤตศรัทธาจากสังคมเฉกเช่นเดียวกันกับผู้นำประเทศเวลานี้ หนำซ้ำยังมีคดีประวัติศาสตร์อีกหลายคดีที่ค้างอยู่ในศาลปกครอง ศาลอาญา ซึ่งกกต. ชุดปัจจุบันต้องแก้ต่างให้หลุดพ้นจากมลทิน