สมุนไพรซึ่งถูกเลือกมารับใช้ตอบสนองกระแสเห่อที่รัฐบาลไทยรักไทยปั่นสร้างวิมานในอากาศให้กับเกษตรกรผู้เดินตามด้วยหวังว่า “จะรวย โดยไม่รอชาติหน้า” ตามปรัชญาท่านผู้นำ ในที่นี้ต้องกล่าวด้วยว่าวงการโอทอปยกย่องให้ “กระชายดำ” เป็นสุดยอดแห่งรสไวน์สมุนไพร ด้วยคะแนนที่โหวตจากสรรพคุณที่สร้างความซู่ซ่าให้กับท่านชาย
ความร้อนแรงของไวน์กระชายดำโอทอปไม่เพียงสร้างความซู่ซ่าให้กับผู้ดื่มเท่านั้น หากแต่ยังความซู่ซ่ามาให้เกษตรกรชาว อ.นาแห้ว จ.เลย ด้วยเช่นกัน

อำนวย สีหะวงศ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาแห้ว เล่าย้อนให้ฟังว่า กระแสนิยมไวน์กระชายดังเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน ส่งผลให้ชาวบ้านในเขตอำเภอนาแห้วทั้ง 34 หมู่บ้านลงทุนปลูกไร่กระชายดำ ทดแทนข้าวโพดกันขนานใหญ่ และลงหุ้นสร้าง “โรงไวน์” กันเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะรายได้ในขณะนั้นอย่างน้อยก็มีเงินหมื่นรองกระเป๋าในแต่ละเดือนแน่นอน
“ตอนนั้น ทุกหมู่บ้านจะต้องมีโรงไวน์อย่างน้อยหมู่บ้านละโรง ไม่มีเงินก็ต้องลงหุ้นกันคนละ 2 – 3 หมื่นก็ว่ากันไป เพราะโรงหนึ่งๆ ก็ตกราว 6 – 7 แสนบาท หรืออย่างย่อมๆ ก็ตกราว 3 – 4 แสน ชาวบ้านก็ทำตามๆ กันไป ตอนนั้นขายกันดีมาก”

นายกเทศมนตรี ผู้ที่อดีตเคยเป็นประธานกลุ่มผู้ผลิตไวน์ร่มไทรใน อ.นาแห้วผู้นี้ บอกว่า ความรุ่งเรืองของไวน์กระชายดำในครั้งนั้นทำให้ราคากระชายดำสดพุ่งสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 500 – 600 บาท มีทั้งที่ซื้อไปทำเองและซื้อไปปลูกขยายพันธุ์ต่อไป เป็นที่ยอมรับกันว่าระยะความสูงที่ห่างจากระดับน้ำทะเล 500 ฟุต และดินน้ำอากาศของนาแห้ว จะให้ผลิตผลกระชายดำที่มีเนื้อ “ดำ” แท้ ต่างกับผลผลิตที่ได้จากที่อื่น
แต่ความฝันของชาวนาแห้วก็พลันแห้วสมชื่อ เมื่อกระแสของไวน์โอทอปลดลงพร้อมๆ กับการหดตัวของตลาดน้ำเมาประเภทนี้อย่างรุนแรง ค่าใช้จ่ายด้านภาษีให้ทางการที่รุมเร้ากลุ่มชาวบ้าน ในขณะที่ลูกค้าในเครือข่ายก็รับของไปไม่จ่ายเงิน อีกทั้งยังถูกซาซัดด้วยการแข่งขันกันเองของกลุ่มผู้ผลิตในพื้นที่เดียวกัน อำนวย บอกว่า ราวปี 2547 กลุ่มผลิตไวน์ทั้งที่จดทะเบียนเป็นสินค้าโอทอปแล้ว และ ‘กำลัง’ จะจดทะเบียนก็ต้องปิดตัวเองลงอย่างจำใจ ปล่อยโรงไวน์ทิ้งร้างไว้อย่างนั้นกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของเขา
“ตอนนี้เหลืออยู่เพียงเจ้าเดียวที่เป็นเจ้าแรกที่เริ่มทำ ส่วนราคากระชายดำจากกิโลฯ ละ 600 บาท ก็ลดลงเหลือแค่ 20 บาท ไม่ค่อยมีใครเข้ามาซื้อกันแล้ว”
เขาบอกว่า ไวน์กระชายดำเป็นสินค้าที่ผลิตกันในท้องถิ่นมากจนเกินไป และไม่สามารถขายออกไปนอกท้องถิ่นได้ ที่สำคัญคือชาวบ้านนาแห้วเองก็ไม่นิยมบริโภค ส่วนเจ้าหน้าที่ของพัฒนาชุมชนนั้นก็เข้ามาช่วยบ้างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
ความร้อนแรงของไวน์กระชายดำโอทอปไม่เพียงสร้างความซู่ซ่าให้กับผู้ดื่มเท่านั้น หากแต่ยังความซู่ซ่ามาให้เกษตรกรชาว อ.นาแห้ว จ.เลย ด้วยเช่นกัน
อำนวย สีหะวงศ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลนาแห้ว เล่าย้อนให้ฟังว่า กระแสนิยมไวน์กระชายดังเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน ส่งผลให้ชาวบ้านในเขตอำเภอนาแห้วทั้ง 34 หมู่บ้านลงทุนปลูกไร่กระชายดำ ทดแทนข้าวโพดกันขนานใหญ่ และลงหุ้นสร้าง “โรงไวน์” กันเป็นบ้าเป็นหลัง เพราะรายได้ในขณะนั้นอย่างน้อยก็มีเงินหมื่นรองกระเป๋าในแต่ละเดือนแน่นอน
“ตอนนั้น ทุกหมู่บ้านจะต้องมีโรงไวน์อย่างน้อยหมู่บ้านละโรง ไม่มีเงินก็ต้องลงหุ้นกันคนละ 2 – 3 หมื่นก็ว่ากันไป เพราะโรงหนึ่งๆ ก็ตกราว 6 – 7 แสนบาท หรืออย่างย่อมๆ ก็ตกราว 3 – 4 แสน ชาวบ้านก็ทำตามๆ กันไป ตอนนั้นขายกันดีมาก”
นายกเทศมนตรี ผู้ที่อดีตเคยเป็นประธานกลุ่มผู้ผลิตไวน์ร่มไทรใน อ.นาแห้วผู้นี้ บอกว่า ความรุ่งเรืองของไวน์กระชายดำในครั้งนั้นทำให้ราคากระชายดำสดพุ่งสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ 500 – 600 บาท มีทั้งที่ซื้อไปทำเองและซื้อไปปลูกขยายพันธุ์ต่อไป เป็นที่ยอมรับกันว่าระยะความสูงที่ห่างจากระดับน้ำทะเล 500 ฟุต และดินน้ำอากาศของนาแห้ว จะให้ผลิตผลกระชายดำที่มีเนื้อ “ดำ” แท้ ต่างกับผลผลิตที่ได้จากที่อื่น
แต่ความฝันของชาวนาแห้วก็พลันแห้วสมชื่อ เมื่อกระแสของไวน์โอทอปลดลงพร้อมๆ กับการหดตัวของตลาดน้ำเมาประเภทนี้อย่างรุนแรง ค่าใช้จ่ายด้านภาษีให้ทางการที่รุมเร้ากลุ่มชาวบ้าน ในขณะที่ลูกค้าในเครือข่ายก็รับของไปไม่จ่ายเงิน อีกทั้งยังถูกซาซัดด้วยการแข่งขันกันเองของกลุ่มผู้ผลิตในพื้นที่เดียวกัน อำนวย บอกว่า ราวปี 2547 กลุ่มผลิตไวน์ทั้งที่จดทะเบียนเป็นสินค้าโอทอปแล้ว และ ‘กำลัง’ จะจดทะเบียนก็ต้องปิดตัวเองลงอย่างจำใจ ปล่อยโรงไวน์ทิ้งร้างไว้อย่างนั้นกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มของเขา
“ตอนนี้เหลืออยู่เพียงเจ้าเดียวที่เป็นเจ้าแรกที่เริ่มทำ ส่วนราคากระชายดำจากกิโลฯ ละ 600 บาท ก็ลดลงเหลือแค่ 20 บาท ไม่ค่อยมีใครเข้ามาซื้อกันแล้ว”
เขาบอกว่า ไวน์กระชายดำเป็นสินค้าที่ผลิตกันในท้องถิ่นมากจนเกินไป และไม่สามารถขายออกไปนอกท้องถิ่นได้ ที่สำคัญคือชาวบ้านนาแห้วเองก็ไม่นิยมบริโภค ส่วนเจ้าหน้าที่ของพัฒนาชุมชนนั้นก็เข้ามาช่วยบ้างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก