xs
xsm
sm
md
lg

บนเส้นทางฟันฝ่าชะตากรรม .... คนน้ำเค็ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“น้ำเค็ม” ที่เคยรุ่งเรือง โรยรา เกือบถูกลบหายไปจากแผนที่ชุมชนริมฝั่งอันดามันเหมือนอีกหลายชุมชนที่ประสบชะตากรรมเดียวกันจากธรณีพิบัติภัยสึนามิ แต่ ณ วันนี้ ชุมชนบ้านน้ำเค็ม สามารถหยัดยืนพลิกฟื้นชีวิตเพื่อก้าวไปข้างหน้า

พวกเขาก้าวฝ่าชะตากรรม คราบน้ำตา ความสูญเสีย สูญสิ้น ได้อย่างไร “ไมตรี จงไกรจักร์” หนุ่มอบต.บางม่วง ลูกน้ำเค็ม มีเรื่องราวที่เรียบเรียงจากประสบการณ์ชุมชนคนบ้านน้ำเค็ม บอกเล่าให้สังคมภายนอกได้รับรู้ ในงานรำลึก 1 สึนามิ ภาคประชาชน “ประสบภัย ประสบการณ์ ประสานเพื่อน” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 23 – 25 ธ.ค.นี้ ที่ชุมชนบ้านทุ่งหว้า ต.คึกคัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

ไมตรี เป็นอีกคนหนึ่งที่สูญเสียคนที่รักมากในชีวิต คือ พ่อ และญาติพี่น้องเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เขา จำต้องลุกขึ้นมาเป็นเสาหลักท่ามกลางวิกฤตเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้คนน้ำเค็มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสูญเสีย สับสน เคว้งคว้าง ไม่ต่างจากนาทีลอยคอล้อมัจจุราชกลางทะเล ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชะตาชีวิตที่พลิกผันในพริบตา

...........................................................

น้ำเค็มที่รุ่งเรือง...น้ำเค็มที่ขุดทอง...น้ำเค็มที่ครองความยิ่งใหญ่เป็นแหล่งอาหารทะเล...น้ำเค็มที่เหมือนถูกลบไปจากแผนที่ประเทศไทย....แล้วน้ำเค็มที่เป็นจริงในวันนี้...ที่เราต้องอยู่กันต่อไปให้ได้

“น้ำเค็มที่ผ่านความรุ่งเรืองและโรยรา...สู่ความยิ่งใหญ่ของชุมชนประมง” คำพูดนี้คงไม่เกินความจริงเป็นแน่ เมื่อวิเคราะห์สภาพชุมชนน้ำเค็มจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ดินแดนแห่งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นพื้นที่แสวงโชคของหลายๆ คน ต่างคนต่างมุ่งเดินทางเข้ามาเสี่ยงโชคเอาชีวิตมาฝากไว้ บ้างก็ร่ำรวย บ้างก็ยากจนทุกข์ทนสิ้นเนื้อประดาตัวต้องจบชีวิตที่นี่ ในพื้นที่ที่ยังคงความสวยงามผ่านร้อนหนาวมามาก ผ่านการสูบใช้ทรัพยากรเหมือนกับคนผอมโซไร้เรี่ยวแรง มีเพียงลมหายใจโรยรินใกล้สิ้นใจ

ถึงแม้ผู้คนจะเห็นคุณค่าน้ำเค็มเป็นเพียงพื้นที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับชีวิตของตนเองเท่านั้นก็ตาม แต่พื้นที่นี้ก็ยังดูแลผู้ที่มาอาศัยเหมือนแม่ที่ไม่เคยโทษโกรธเคืองลูก ถึงตัวใกล้สิ้นแต่จำต้องให้ลูกๆ อยู่ได้ ใช้ชีวิตผันแปรไปกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป

จากหมู่บ้านที่เรียบง่ายของชาวประมงอยู่กับธรรมชาติอย่างพอเพียง ไม่ใส่ใจความเป็นไปของโลกภายนอกมากนัก มีแต่ความเอื้ออาทรกับเข่งปลาที่เต็มปรี่ คอยแบ่งปันให้ผู้อื่นมากกว่าการขนขวายเงินทอง มีเพียงรอยยิ้มของชาวตังเกและธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์ของผลิตผลทางทะเล อาหารทะเลสดๆ กุ้ง หอย ปู ปลา ราคาถูก....แลกเปลี่ยนกันด้วยน้ำใจมากกว่าเงินทอง

ที่นี่ฝากไว้ด้วยความทรงจำที่ดีและความทรงจำที่แสนจะเจ็บปวด

....................................

ยุคทองของการดำ “เหมืองทะเล” ราวปี ๒๕๑๘ น้ำเค็มกลายเป็นอีกตำนานหนึ่งของตะกั่วป่า มันเหมือนกับยุคตื่นทองในอเมริกา ผู้คนจากทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างหอบชีวิตเข้ามาแสวงโชคกับแร่สีดำสนิทใต้ท้องทะเล น้ำเค็มเต็มไปด้วยคนสารพัดแบบ ทั้งผู้ดี ผู้ร้าย โจรขโมย นักฆ่า โสเภณี ขอทาน ทุกชีวิตปะปนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การปล้นแร่กลางทะเลเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน กลิ่นเงินทองหอมเย้ายวนเป็นพิเศษ ริมหาดยามเช้าตรู่อย่างน้อยต้องมีศพลอยมาเกยหาดทุกวัน ไม่ต่ำกว่าวันละศพ

ความเป็นไปของน้ำเค็มยุคนั้นเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่เงื้อมมือกฎหมายมิอาจเอื้อมถึง หลายคนรวยกับแร่ในทะเล หลายคนรวยเพราะค้าแร่เถื่อน หลายคนรวยเพราะขายของชำ หลายคนรวยเพราะเร่ขายน้ำจืด ในขณะเดียวกันหลายคนกลับฉิบหายเพราะแร่ หมดเนื้อหมดตัวเพราะโดนปล้น โดนพายุ และที่สำคัญอีกหลายร้อยชีวิตที่ต้องเป็นผีเฝ้าท้องทะเล น้ำเค็มในวันนั้นมีทั้งเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงและเสียงร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด มันปะปนจนยากแยกออก

ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ข้างหน้าต้องประสบพบกับความสำเร็จหรือล้มเหลวมีเพียงแผ่นฟ้าเท่านั้นที่อยู่เหนือหัวเราใยต้องกลัวการเดินทางแสวงโชค ...... ไมตรี หนุ่มอบต.ลูกน้ำเค็มในวันนี้ ก็ไม่ต่างจากครอบครัวนักแสวงโชคอื่นๆที่เข้ามาปักหลักทำมาหากินที่น้ำเค็มเมื่อ 20 กว่าปีก่อน

ยุคทองของแร่ดีบุกดำรงอยู่เพียงระยะหนึ่งจึงถึงจุดเสื่อม ปัญหามาจากการร่อยหรอของแร่ โควต้าการส่งออก การทำเหมืองทะเลจึงถึงจุดจบโดยปริยาย คนส่วนหนึ่งต้องอพยพตัวเองกลับบ้านเกิด แต่อีกส่วนหนึ่งยังไม่ยอมไปไหน ยังคงดำรงชีพอยู่อย่างสงบที่หมู่บ้านน้ำเค็มที่เดิม น้ำเค็มผ่านความรุ่งเรืองและความเสื่อมเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน

หลังจากยุคแร่ผ่านพ้นไป น้ำเค็มกลายมาเป็นหมู่บ้านชาวประมงเช่นเดิม ผู้คนบางตาลงไปมาก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเรียบง่าย ไม่มีเสียงหัวเราะก้องดังอย่างเมื่อก่อน แต่มีรอยยิ้มใสบริสุทธิ์มาแทน ในขณะเดียวกันก็ไม่มีหยดน้ำตาแห่งการสูญเสียอันเนื่องจากเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนให้เห็นอีกต่อไป

ต่อมาชาวน้ำเค็มเริ่มเรียนรู้การทำอาชีพประมงเพื่อพานิช ซึ่งเข้ามาแทนที่การทำเหมืองแร่ดีบุกเพราะสังคมเปลี่ยนสู่ยุคธุรกิจการท่องเที่ยวต้องรองรับอาชีพบริการและอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อจนกลายเป็นอาชีพหลัก คนน้ำเค็มต่างประกอบอาชีพประมงตามฤดูกาลตลอดปี

.........................................

ร้อยเรื่องพันราว...สึนามิที่น้ำเค็ม เล่าร้อยคน มันก็ร้อยเรื่อง

“ความรู้สึกที่ต้องถ่ายทอดของคนน้ำเค็มที่อยู่กลางทะเลขณะต่อสู้ยื้อชีวิตกับมัจจุราช กลับมานั่งครุ่นคิดเข้าใจภัยธรรมชาติหรือโทษตัวเองที่ไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนคนบนฝั่งได้ทัน”

บุญธรรม ถาวรสังข์ ชาวประมงพื้นบ้านเรือหัวโทง ผู้ซึ่งรับบทหนักกับการฟื้นฟูหลังภัยสึนามิเป็นกำลังสำคัญกับตำแหน่งประธานกลุ่มซ่อมสร้างเรือประมงพื้นบ้านเล่าย้อนหลังผ่านการลอยคอกับลูกสาวอยู่กลางทะเลร่วม 7 ชั่วโมง กว่าจะได้ขึ้นฝั่ง เพื่อพานพบกับโศกนาฎกรรมบนผืนแผ่นดินน้ำเค็มที่ผู้คนต่างพลัดพราก ระทมทุกข์ ระคนด้วยความหวาดผวา โกลาหล

“คลื่นสึนามิสงบแล้ว แต่คลื่นมหาชนยังว้าวุ่น” เป็นคลื่นที่น่ากลัวที่สุด…ที่ ไมตรี ต้องต่อสู้

หลังคลื่นสงบ ไมตรี พยายามหาทางลำเลียงอพยพผู้คนออกมาจากชุมชนน้ำเค็ม ไปพักพิงชั่วคราวที่โรงเรียนตะกั่วป่า ก่อนย้ายไปวิทยาลัยการอาชีพตะกั่วป่าในเวลาต่อมา ชั่วขณะนั้นความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นตลอดจากข่าวคราวที่สับสน ทั้งน้ำเอ่อท่วม แก๊สในโรงพยาบาลรั่ว ฯลฯ รถทุกคันซึ่งมีผู้คนแออัดยัดเยียดมุ่งหน้าขึ้นเขาหนีเอาตัวรอด

ค่ำคืนนั้น หนุ่มอบต.อายุงาน 3 เดือน นอนตาค้างหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างสับสนว่าพรุ่งนี้จะจัดการกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างไร ทั้งเรื่องของตนเอง ครอบครัว ชาวบ้าน และชุมชน

ความคิดยังไม่ทันตกผลึก ศพพ่อยังรอการเผา เวลานั้นก็ชาวบ้านเริ่มด่าทอหนุ่มอบต.ต่างๆ นาๆ ว่าทอดทิ้งไม่ดูแล ไม่รับผิดชอบความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตัวเขาเองได้แต่บอกว่า “ขอโทษ ผมไม่สามารถช่วยใครได้ในตอนนี้”

แต่สภาพรอบข้างที่บีบคั้น ทำให้ ไมตรี ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เพราะหากปล่อยไว้คงเกิดความสับสน ทะเลาะกันไม่สิ้นสุด เนื่องจากคนที่หน้าอำเภอมีไม่ต่ำกว่าหมื่น ปะปนกันหมดทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ แรงงานต่างด้าว ทุกคนแย่งรับของแจกทั้งข้าว น้ำ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งคนในละแวกใกล้เคียงที่ไม่ประสบภัยก็มาเข้าแถวรับของแจกกับเขาด้วย ทุกคนแย่งชิงเพื่อความอยู่รอด

.........................................

จากสภาพโกลาหล สุดท้ายนำไปสู่การรวมพลัง รวมคน ลุกขึ้นสู้ ร่วมคิด ร่วมทำ

หลังคลื่นยักษ์ บ้านในน้ำเค็มเหลืออยู่เพียง ๒๑๐ หลัง คนหายไปเท่าที่แจ้งนับและรวบรวมได้ราว ๖๐๐ ราย แต่คาดว่าน่าจะกว่า ๑,๐๐๐คน จากทะเบียนบ้านเดิมทั้งหมด ๔,๗๒๔ คน และอีกกว่า ๑,๕๐๐ คนที่ไม่มีทะเบียน

ในภาวะที่ชาวน้ำเค็มต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิต สับสนอลหม่านไม่รู้จะประคองสติได้อย่างไร หนีเอาชีวิตรอด อุ้มลูก อุ้มหลาน พ่อ แม่ ย่า ยาย จูงกันวิ่งร้องไห้คร่ำครวญตลอดทาง แตกกระจัดกระจายไปพำนักยังที่ต่าง ๆ อย่างสุดชีวิตที่เขาสูงก่อนจะทยอยกลับกันมารวมตัวอยู่ตามที่พักพิงชั่วคราวต่าง ๆ เช่น อบต.บางม่วง, บ้านพึ่ง(ภา)ที่บางม่วง, ออมสินบางม่วง, วัดน้ำเค็ม, อนามัยน้ำเค็ม, โรงเรียนน้ำเค็ม และพรุเตียว

ศูนย์ประสานงานชุมชนบ้านน้ำเค็ม ถูกจัดตั้งขึ้น หลัง ไมตรี ได้รับคำปรึกษาหารือกับนักพัฒนาอาวุโส ผู้คลุกคลีงานชุมชน เช่น “พี่นงค์” นักพัฒนาอาวุโส “พี่ด้วง” จากมูลนิธิชุมชนไท “พี่ทวย” จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ภาคใต้ “พี่เล็ก” จากบ้านมั่นคง อีกคนมาจากการเคหะแห่งชาติ เป้าหมายเบื้องแรกสุดของศูนย์ฯ คือรวมคนให้อยู่ที่เดียวกันเพื่อรับความช่วยเหลือเต็มที่และตรงกับตัวบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อน

หลังการปรึกษาหารือสิ้นสุดลง เต็นท์ 500-600 หลังก็ถูกปักลงบนพื้นที่ของกรมการขุดเจาะเหมืองแร่ ที่บางม่วง พร้อมๆ กับระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น ห้องน้ำ ห้องส้วม โดยได้รับไฟเขียวจากนายอำเภอที่บอวกว่า “สถานที่ราชการ ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนยึดได้หมด”

การรวมคนมาอยู่ที่ศูนย์พิงพักชั่วคราวที่กรมทรัพย์ ติด อบต. บางม่วง เป็นเรื่องยากมากพอสมควร เพราะว่าชาวบ้านไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลที่มาแจกเงินและสิ่งของหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ แต่สุดท้ายหลายคนก็มา กระทั่งรวมคนได้ประมาณ 3,000 – 3,500 คน โดยมีกระบวนการบริหารศูนย์พักชั่วคราว คือจัดแบ่งเป็นแถวๆ ละ 10 หลัง และโซน มีหัวหน้าแถวและหัวหน้าโซน 60 คน แบ่งฝ่ายกันรับผิดชอบดูแลศูนย์พักชั่วคราว แยกเป็น ฝ่ายรับบริจาคของ ฝ่ายรับบริจาคเงิน ฝ่ายอาหาร ฝ่ายความปลอดภัย ฝ่ายที่พัก ฝ่ายประสานสถานที่ ฝ่ายบ้านพักชั่วคราว

น้ำใจที่ไหลหลั่งทั้งเงินบริจาคและสิ่งของมากมาย ทำให้คณะประสานงานฯใช้ความพยายามอยู่หลายคืนในการจัดประชุมชาวบ้านจนสำเร็จในวันที่ 1 ม.ค. 48 อันเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง “กองทุนหมุนเวียน” เริ่มจากกลุ่มแรกคือกลุ่มสภากาแฟ ตามด้วยกลุ่มเลี้ยงปลากระชัง โดยได้รับการสนับสนุนจาก พอช. และตามด้วยกลุ่มที่ 3, 4 , 5 ......

จากสภากาแฟ ถึงธนาคารชุมชน

ด้วยพื้นฐานที่หลากหลายของชาวน้ำเค็มที่มีทั้งคนต่างถิ่น ต่างชาติต่างศาสนา ซึ่งเข้ามาแสวงโชคตั้งแต่ยุคทำเหมืองแร่ ก่อนจะหันมาประกอบอาชีพประมงเป็นหลักและบริการที่ขยายตัวต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแพปลา ร้านอาหาร จนกระทั่งสถานบันเทิงเริงรมย์ของคนในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่หรือคนประมง ต่างผ่านบทเรียนความไม่สำเร็จเรื่องรวมกลุ่มชุมชนชาวน้ำเค็มเรื่อยมา ไม่ว่าทำอะไรก็ล้มหมด ทั้งกลุ่มประปา สหกรณ์ประมง กองทุนหมู่บ้าน หุ้นน้ำมัน

“การที่จะประสานช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญ ต้องพยายามจัดกระบวนการให้ชาวน้ำเค็มมาพูดคุยกัน จัดประชุมคนเป็นพัน ๆ คน ยิ่งในสภาพการณ์ขณะนั้นด้วยแล้ว ต่างก็มีเสียงระบายความทุกข์ร้อน ความคับข้องขัดใจ ทะเลาะเอะอะโวยวายใส่กัน เรียกร้องแย่งชิงความช่วยเหลือต่างๆ นานา เราจัดประชุมแล้วประชุมอีกเพื่อสร้างกระบวนการให้ชาวน้ำเค็มลุกขึ้นมาจัดการช่วยเหลือตนเองให้ได้ ทุกคืนที่ทำกันอย่างนั้นเป็นเดือน ๆ ทีเดียว ” ไมตรี ซึ่งเป็นสมาชิก อบต.บางม่วง บ้านน้ำเค็ม ในฐานะประธานศูนย์ประสานงาน และผู้จัดการธนาคารชุมชน บอกเล่าเรื่องราว

“เราเริ่มกับกลุ่มสภากาแฟชุมชนสายสัมพันธ์ให้เป็นวงกาแฟประจำชุมชนลงหุ้นคนละร้อย จากเริ่มแรก ๓๒ คน ตอนนี้เหลืออยู่ ๒๐ คน เอาไว้เป็นที่รวมคนนั่งคุย ตามด้วยกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชัง กลุ่มอาชีพจักสาน กลุ่มผ้าบาติก กลุ่มมาดอวน ให้พอได้มีอะไรทำ ไม่นั่งว่างคิดมาก กับยังพอมีรายได้เสริม เริ่มอาชีพได้

๑๐๐ วันสึนามิ เป็นวันที่เปิดธนาคารชุมชนบ้านน้ำเค็ม (วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๘) ธนาคารชุมชนเป็นกระบวนการจัดระบบการเงินเพื่อให้มีระบบการบริหารจัดการที่มีรูปแบบและถูกต้องตามหลักการบริหารการเงิน เกิดขึ้นจากกลุ่มอาชีพหลาย ๆ กลุ่ม รวมกันขึ้นมา ทำออมทรัพย์กลุ่มอาชีพทุกกลุ่ม ทำให้มีเงินออมจำนวนมาก แต่ไม่มีระบบจัดการ จึงรวมตัวกันก่อตั้งธนาคารชุมชนบ้านเค็ม

ธนาคารชุมชนบ้านน้ำเค็ม มีคณะกรรมการทั้งหมด ๒๗ คน โดยมี ไมตรี เป็นผู้จัดการจากการเลือกของสมาชิก ธนาคารมีระบบ เงินฝากเงินออมกลุ่ม เงินออมสัจจะ และเงินออมทรัพย์ทั่วไป รวมถึงการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มอาชีพ และยังปล่อยเงินกู้ให้กับสมาชิกออมสัจจะเป็นรายบุคคลเพื่อนำไปประกอบอาชีพ สร้างรายได้ให้กับครอบครัวต่อไป ยังดูแลเรื่องสวัสดิการชุมชน โดยดูแลสมาชิกตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุนการศึกษาเด็ก ตลอดจนการดูแลรวมถึงแรงงานต่างด้าวด้วย

ปัจจุบันธนาคารฯ ปล่อยเงินกู้ให้กับสมาชิกออมสัจจะรายบุคคล โครงการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนหรือคนกลุ่มคนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ จนได้เริ่มการก่อสร้างแล้ว ๕๐ หลัง กลุ่มอาชีพก็ดำเนินการต่อไป ขณะนี้คนอยู่ในกระบวนการแล้วประมาณ ๕๐% เพราะว่าไม่สามารถรวบรวมคนทั้งหมดให้เข้าใจกระบวนการชาวบ้านได้พร้อมกัน

การรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำของคนน้ำเค็มท่ามกลางสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ไม่ง่ายนัก เพราะไม่เฉพาะแต่พี่น้องผู้ประสบภัยเท่านั้น ยังมีอีกนับร้อยหน่วยงานและองค์กรที่ป้วนเปี้ยนวนเวียนเข้ามาจะทำนั่นทำนี่ เอานั่นเอานี่ อย่างนั้นอย่างนี้ คณะกรรมการศูนย์ และฝ่ายต่าง ๆ ต้องจัดการตัวเองอย่างยิ่ง ทั้งฝ่ายรับบริจาค ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ฝ่ายสร้างบ้านพักชั่วคราว บ้านพักถาวร ฝ่ายข้อมูล ฝ่ายการเงิน ฯลฯ

ชาวบ้านมีประชุมกันทุกคืน แต่ละคืนจะมีการแกัปัญหาร่วมกัน จัดระบบร่วมกัน มีทั้งประชุมวงเล็กหัวหน้าแถว และวงใหญ่สมาชิกทั้งหมดทำให้ชาวบ้านเริ่มเรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม การมีส่วนร่วมคิด การเริ่มรวมตัวกันแบบนี้ได้ก่อตัวกันตั้งเป็นกลุ่มขึ้นมาควบคู่กับกองทุนต่าง ๆ ทั้งกองทุนศูนย์ประสานงาน, กองทุนคนทำงาน, กองทุนชุมชนสนับสนุนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ขึ้นมาทุกวันนี้มีกันทั้งหมด ๒๒ กลุ่ม ฐานทำงานยังอยู่ที่บางม่วง มีธนาคารชุมชนที่กรุงไทยมาตั้งระบบแล้วให้คอมพิวเตอร์ไว้ตัวหนึ่ง ส่วนเงินสะสมฝากจากกลุ่มต่าง ๆ ได้ล้านกว่าบาท

การพลิกฟื้นชีวิตใหม่ของชุมชนบ้านน้ำเค็ม ต่างได้รับการช่วยเหลือ ประคับประคองจากพันธมิตรซึ่งบัดนี้ยังช่วยเหลือเกาะติดพื้นที่ได้แก่ มูลนิธิดวงประทีป, มูลนิธิสิกขาเอเซีย, มูลนิธิศุภนิมิตร, สหทัยมูลนิธิ, กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ, อนามัยแม่และเด็ก, คริสเตียน, พอช., เครือข่ายแผนชีวิตชุมชน เครือข่ายสลัม 4 ภาค ฯลฯ และองค์กรอื่นๆรวมแล้วประมาณ 50 องค์กร มีการประชุมกันระหว่างองค์กรต่างๆ ที่มาหนุนช่วยกันทุกเย็นเพื่อช่วยกันจัดบทบาทการช่วยเหลือชาวบ้านให้ราบรื่นทั้งจัดการระบบข้อมูล สำรวจปัญหาชาวบ้าน และการหาเงินสนันสนุน

หลังยุครุ่งเรือง โรยรา จากขุมเหมืองผ่านพ้นไป ..... หลังเกลียวคลื่นสึนามิสงบลง ชุมชนบ้านน้ำเค็ม กำลังเดินทางฟันฝ่าชะตากรรมอีกครั้งเพื่อก้าวสู่จุดหมายความยิ่งใหญ่ของชุมชนประมงริมฝั่งอันดามัน



กำลังโหลดความคิดเห็น