ครป.-คปส.จับตารัฐถอยไม่จริงยึดอำนาจกสช. ออกโรงค้านรัฐฯอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองเพราะทำผิดกฎหมายซ้ำซากชัดเจน จี้คณะกรรมการสรรหาควรแสดงสปิริตลาออกยกชุด เร่งการสรรหาใหม่โดยเร็ว แฉเบื้องหลังปฏิรูปสื่อล่าช้าเหตุทุนการเมืองโทรคมคมหวังครอบงำสื่อ เดินเกมยึดครองคลื่นความถี่วิทยุ โทรทัศน์ เติมเต็มธุรกิจในยุค 3 จี เป้าหมายสูงสุดของ “ชินวัตรโมเดล”
วานนี้ (30 พ.ย.) น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) แถลงข่าวกรณีรัฐบาลจะอุทธรณ์คดีที่ศาลปกครองกลางตัดสินกระบวนการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ผิดกฎหมายว่าสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) และคณะกรรมการสรรหา กสช. ไม่ควรอุทธรณ์ คดี กสช. ต่อศาลปกครองสูงสุดอีก เพราะคำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีความชัดเจนเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแล้ว
นอกจากนั้น คำสั่งดังกล่าวยังสะท้อนและตอกย้ำให้เห็นถึงความบกพร่องและความผิดพลาดในทางกฎหมายของสปน.และคณะกรรมการสรรหา กสช. การอุทธรณ์คดีต่อไปยิ่งส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเกิดขึ้นของ กสช. เพราะตลอดระยะเวลาการทำงานอย่างผิดพลาดมากว่า 6 ปี (พ.ศ.2543-2548) นั้นทำให้สังคมไทยเสียเวลาไปมากเกินพอแล้ว
คณะกรรมการสรรหาชุดนี้ ขาดความชอบธรรมทั้งในทางกฎหมายและทางสังคมในการดื้อดึงทำหน้าที่ต่อไป เพราะความผิดพลาดซ้ำซาก (ถูกตัดสินให้การสรรหา กสช. เป็นโมฆะมาแล้วถึง 3 ครั้ง) รวมทั้งข้อครหาเรื่องการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างกรรมการสรรหา และผู้สมัครตัวเก็งที่ผ่านเข้ารอบ ส่งผลให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อองค์กร กสช. และ การปฏิรูปสื่ออย่างร้ายแรง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะแก้ พรบ.จัดสรรคลื่นความถี่ มาตรา 80 และ ยุบรวม กสช กับ กทช. นั้น น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐตามใจชอบขาดความชอบธรรมทางสังคม ส่อให้เห็นวาระซ่อนเร้นในการเอื้อประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม
ทั้งนี้ เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ที่กลุ่มทุนโทรคมนาคมพยายามผลักดันการร่างกฎหมายประกอบมาตรา 40 ให้มีองค์กรอิสระเพียงองค์กรเดียวที่มีอำนาจดูและทั้งกิจการโทรคมนาคมแลสื่อสารมวลชน จะนำไปสู่การครอบงำกิจการสื่อสารมวลชน ของกลุ่มทุนโทรคมนาคม อีกทั้งทั้งอาจนำไปสู่การเปิดช่องในการ ฮุบ คลื่นความถี่ วิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม ให้อยู่ภายใต้กลุ่มทุนโทรคมนาคมผูกขาดที่มีฐานอำนาจทางการเมืองในการออกกฎหมายวางนโยบายเลือกปฏิบัติได้ตามใจ
เลขาธิการ คปส. เสนอว่า คณะกรรมการสรรหาควรลาออกทั้งชุดและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และรัฐบาลควรเร่งให้มีการดำเนินการสรรหาครั้งใหม่ ที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ไม่ขัดกับหลักกฎหมายปกครองและมาตรฐานธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องยุติการฉวยโอกาสของความล่าช้าในการแก้กฎหมายสื่ออย่างมีวาระซ่อนเร้น แต่ควรสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปสื่อทั้งระบบ เช่นการนำร่าง พรบ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ... ซึ่งจะเป็นกรอบสำคัญจากการทำงานของ กสช. เข้าสู่สภาฯ โดยให้ ตัวแทนสื่อ นักวิชาการ และ ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณากฎหมาย ทั้งนี้ ถึงจะมี กสช. แต่ไม่มี พรบ.ประกอบกิจการวิทยุ – โทรทัศน์ การจัดสรรสถานีวิทยุ – โทรทัศน์ และ ให้ใบอนุญาตการประกอบกิจการ ย่อมจะทำไม่ได้
“ในปี พ.ศ. 2549 รัฐควรดำเนินการสรรหา กสช. ชุดใหม่ และ ผลักดัน พรบ.การประกอบกิจการวิทยุ – โทรทัศน์ ไปพร้อมๆ กัน จึงจะทำให้การปฏิรูปสื่อเดินหน้าไปได้เร็วขึ้น” นางสาวสุภิญญา กล่าว
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย หรือครป.กล่าวถึงเรื่องที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยอมถอยในการแก้ไขมาตรา 80 จะเห็นว่าไม่ใช่การล้มเลิกความตั้งใจในการแก้กฎหมายเพื่อยึดอำนาจกสช.มาไว้ที่ กทช. แต่เป็นเพียงการหลบกระแสที่ถูกสังคมจับผิดเจตนาได้และความแตกเพราะวาระซ่อนเร้นถูกเปิดโปงมากกว่า
นายสุริยะใส เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจสูงสุดที่จะผลักดันสัมปทานโทรศัพท์รุ่น 3 จีในช่วงชุลมุนหรือสุญญากาศขณะนี้ เพราะแนวปฏิบัติของกทช.และวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีและกลุ่มทุนโทรคมนาคมแวดล้อมรัฐบาลได้ดำเนินการผลักดันโทรศัพท์รุ่น 3 จีไปไกลพอสมควรแล้ว
“นี่เป็นเป้าหมายสูงสุดของ “ชินวัตรโมเดล” ที่ต้องการยึดและควบรวมอำนาจสูงสุดทางการสื่อสารโทรคมนาคมและอำนาจทางการเมืองไว้ในตัวคนๆ เดียว สังคมจึงต้องจับตาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคมยุค 3 จี ที่มีผลประโยชน์มหาศาลว่าจะดำเนินการด้วยความโปร่งใสหรือไม่อย่างไร” นายสุริยะใส กล่าว
ระบบโทรศัพท์ปัจจุบันที่ใช้อยู่เป็นระบบ 2 จี (Second Generation) สามารถพูดคุย โหลดริงโทน ฯลฯ ส่วนรุ่น 3 จี จะมีความสามารถสูงกว่า เช่น ดูภาพเคลื่อนไหว โดยใช้คลื่นความถี่คนละย่านกับ 2 จี การนำระบบ 3 จี มาใช้ต้องขออนุญาตจาก กทช.และกสช.ด้วย
เลขาธิการ ครป. กล่าวต่อว่า สังคมต้องจับตาพฤติกรรม กทช. ทั้ง 7 คน ที่อาจกลายเป็น กทช.เถื่อนภายในเร็ววันนี้เพราะมีคดีที่นายประมุท สูตะบุตร ซึ่งเคยสมัครเป็นกรรมการกทช. ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองไว้เกือบปีแล้ว หากศาลมีคำพิพากษาออกมาว่ากระบวนการสรรหา กทช.ทั้ง 7 คน ผิดกฎหมายจะปฏิบัติหน้าต่อไปไม่ได้ทันที ฉะนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ กทช. ลุกลี้ลุกลนลักไก่เร่งผลักดันเทคโนโลยีโทรศัพท์รุ่น 3 จี ทั้งๆ ที่ในแผนแม่บทโทรคมนาคมไม่ได้ระบุขั้นตอนและแผนดำเนินการเรื่องนี้ไว้แต่อย่างใด
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “เสรีภาพสื่อ กับการใช้อำนาจรัฐ" จัดโดย 5 องค์กรพันธมิตรสื่อและวิชาการ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า การผลักดันให้แก้กฎหมาย มาตรา 80 น่าจะเป็นแรงผลักจากกลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่ม กิจการโทรคมนาคม เพราะมีความเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มูลค่ามหาศาล วิทยุและโทรทัศน์ รายได้หลักมาจากโฆษณา รวมกัน 5.4 พันล้านบาท
แต่เมื่อเทียบกับโทรคมนาคม แค่เอไอเอส บริษัทเดียว มีรายการได้ถึง 9 หมื่นล้าน ในภาพรวมมูลค่ารายได้มากถึง 1.68 แสนล้านบาท หัวใจการผลักดัน คือ คลืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จี ซึ่งเป็นของใหม่ เป็นโทรศัพท์ ที่สามารถสื่อสารด้วยความเร็วสูง ด้วยคลื่นดิจิทอล และสามารถทำมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล เช่น เกาหลีใต้ มูลค่า 6 พันล้าน สิงคโปร์ 4 หมื่นล้าน เยอรมัน 1.99 ล้านล้านบาท และอังกฤษ 1.6 ล้าน ล้านบาท
“มีการรับลูกอย่างเป็นกระบวนการ คือ การเมือง กทช.และผู้ประกอบการ ที่เร่งผลักดันให้ออกใบอนุญาต 3 จี ผ่านการแก้ไขกฎหมายให้โอนอำนาจ กสช. ไปให้กทช.ในมาตรา 80 เพื่อให้เกิดการแจกสมบัติกันก่อน ที่จะเปิดเสรีและมีผู้แข่งขันรายอื่นมากขึ้น”
นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ ระบุด้วยว่า เมื่อ กค. 48 มี กทช. ก่อตั้ง ยังไม่ได้พูดเรื่องโทรศัพท์ 3 จี แต่เดือนส.ค. 48 ประธานกทช.กลับให้ข่าวว่าจะออกใบอนุญาต โทรศัพท์ 3 จี มีเอไอเอส และฟอลคอมของสหรัฐ ขอทดลองใช้ 23 พ.ย. ก่อนศาลปกครองสูงสุด พิพากษา กรณี กสช. ต่อมา นายกฯ บอกในรายการนายกฯคุยกับประชาชนว่า ไปดูงานที่บ. หัวเหว่ย ประเทศจีน ซึ่งผลิต โทรศัพท์3 จี ประทับใจมาก และเชื่อว่า ระบบนี้ จะช่วยในการพัฒนาประเทศ ให้ก้าวหน้าไปได้มาก
มล.อภิมงคล โสณกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมติ ไม่แก้ไขมาตรา 80 ว่าเป็นเพียงการถอยเพราะแรงกดดันทางการเมืองซึ่งเชื่อว่า รัฐบาลยังมีความคิดในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอยู่ เพราะธุรกิจโทรคมนาคม เป็นธุรกิจที่มีคุณค่ามหาศาล ใช้วิธีดำเนินการในรูปของสัมปทาน โดยเฉพาะโทรคมนาคม ในระบบ 3 จี