ศูนย์ข่าวนครราชสีมา/ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - รัฐเต้นสั่งปิดปากกองทุนหมู่บ้านหนี้เน่าโคราชห้ามพาดพิงรัฐบาลเด็ดขาดเผยข้าราชการหัวหดหวั่นกลายเป็นเหยื่อรับกรรม ด้านกองทุนหมู่บ้านโคกช้าง อ.ครบุรี ลูกหนี้กลุ่มผู้มีอิทธิพลลั่นสู้กันในชั้นศาลประจานความล้มเหลวนโยบายประชานิยม ธ.ก.ส.เขตภาคเหนือ ส่งเจ้าหน้าที่ประกบถึงบ้านกรรมการกองทุนสำทับ “ทำไมต้องให้ข่าว ระวังผู้ใหญ่ไม่พอใจจะมีปัญหากันหมด” ชาวบ้านไม่หวั่นย้อนรัฐควรรับฟังปัญหาจริงและแก้ไขดีกว่า กองทุนฯหนองระกำเมืองตากเตรียมลุยยึดทรัพย์สมาชิกพรรคการเมืองใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า หลังจากที่หนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ตีพิมพ์ ข่าวเชิงวิเคราะห์ขอดเกล็ดประชานิยม “กองทุนหมู่บ้าน” จำนวน 5 ตอน ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1-6 พ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า เกิดการตื่นตัวของหลายฝ่าย ทั้งชาวบ้านที่มีปัญหากับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) และที่สำคัญคือ การพยายามออกมาสกัดกั้นบุคคล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ไม่ให้เปิดเผยข้อเท็จจริงหรือแม้แต่พูดถึงปัญหาเรื่องนี้ของรัฐบาล
ล่าสุด ในการประชุมส่วนราชการที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้ตำหนิกรณีที่มีข่าวความล้มเหลวของกองทุนหมู่บ้าน ตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
ด้านจ.ส.อ.สุนทร เนินพลกรัง ประธานกองทุนหมู่บ้านหนองปรือ ม. 1 ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา หนึ่งในกองทุนหมู่บ้านที่มีปัญหาการดำเนินการ รุนแรงถึงขั้นต้องใช้มาตรการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อกรรมการกองทุนและลูกหนี้ เปิดเผยว่า หลังกองทุนหมู่บ้านหนองปรือปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน ปรากฏว่าหลายฝ่ายให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทราบว่าทางอำเภอเมืองนครราชสีมา ได้นำเรื่องนี้เข้าในที่ประชุมประจำเดือนของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับตำหนิและกำชับไม่อยากให้มีการเอาข้อมูลปัญหาการดำเนินการกองทุนหมู่บ้านออกมาพูดคุยหรือให้ข่าวกับสื่อมวลชนอีก
จ.ส.อ.สุนทร กล่าวต่อว่า ทางพัฒนากรอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมาได้โทรศัพท์บอกกับตน ว่าเรื่องของปัญหากองทุนหมู่บ้าน ขออย่าได้พูดอะไรที่เป็นการพาดพิงถึงรัฐบาล เพราะข้าราชการเองกลัวจะมีปัญหาตามมา ซึ่งตนได้ชี้แจงว่า สิ่งที่ได้พูดและให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนไปนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบความรับผิดชอบของกองทุนหมู่บ้านหนองปรือ ไม่ได้ก้าวก่ายหรือใส่ร้ายหน่วยงานใดรวมถึงรัฐบาลด้วย ที่สำคัญคือ มันเป็นข้อเท็จจริงของปัญหาที่เกิดขึ้นและคาราคาซังจนไม่สามารถหาทางออกได้จนถึงทุกวันนี้
“โดยส่วนตัวแล้วผมเข้าใจดีว่า ระบบราชการนั้นเขาต้องการจะรายงานเฉพาะสิ่งดีๆ ต่อนายหรือผู้บังคับบัญชา และพยายามปกปิดปัญหาหรือสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลจึงไม่อยากให้นายกรัฐมนตรี หรือสาธารณชนรับรู้ว่า ความเป็นจริงในระดับพื้นที่ทั่วประเทศนั้นกองทุนหมู่บ้านมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก” จ.ส.อ.สุนทร กล่าว
จ.ส.อ. สุนทร กล่าวต่อว่า การไม่ยอมรับปัญหาของหน่วยงานรัฐดังกล่าว ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้กองทุนหมู่บ้านหนองปรือต้องประสบปัญหามาหลายปี หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจะทำอย่างไรก็ไม่ตัดสินใจสักทีปล่อยให้ยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ เมื่อจะฟ้องร้องดำเนินคดี ก็มีปัญหาความไม่เป็นนิติบุคคลของกองทุนหมู่บ้านอีก แต่เมื่อได้รับมอบอำนาจจากกทบ.แห่งชาติมาก็มาติดขัดเรื่องเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เช่น ค่าธรรมเนียมศาล ค่าจ้างทนายความต่างๆ
“จนถึงวันนี้ เงินกองทุนหมู่บ้านฯที่หายไปยังไม่ได้คืนแม้แต่บาทเดียว ซึ่งพวกเราตัดสินใจแล้วว่าหากเป็นอยู่อย่างนี้เราจะฟ้องร้องดำเนินคดีแน่นอน โดยจะฟ้องศาลในส่วนของอดีตกรรมการกองทุนฯ 3 คนก่อน เพื่อให้สมาชิกลูกหนี้ที่มีปัญหาอีก 65 ราย รู้ว่าเราเอาจริง เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านไม่ยอมส่งเงินคืนมักจะอ้างการไม่ยอมชำระคืนของกรรมการกองทุนอยู่ตลอดเวลา” จ.ส.อ.สุนทร กล่าว
“ การเป็นข่าวทางสื่อมวลชนครั้งนี้ หากมองอีกมุมหนึ่ง นับเป็นผลดีที่จะทำให้การแก้ปัญหากองทุนหมู่บ้านง่ายขึ้น เพราะประชาชนชาวโคราชได้รับรู้ความจริงของปัญหาและตื่นตัวในเรื่องนี้กันมาก เห็นได้จากหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับลงข่าวกองทุนหมู่บ้าน ช่วง 4-5 วันดังกล่าว ในโคราชแทบจะหาซื้อไม่ได้เลย พวกเราจะไปซื้อมาอ่านและเก็บไว้บ้างแต่แผงขายหนังสือบอกว่าขายเกลี้ยงหมดทุกวัน จึงพากันติดตามอ่านทางเวบไซต์ “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นหลัก” จ.ส.อ.สุนทร กล่าว
กองทุนหมู่บ้านหนองปรือ ได้รับมอบอำนาจจากกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (องค์การมหาชน) ลงวันที่ 21 มิ.ย. 2548 ให้สามารถทำการแทนในการแจ้งความร้องทุกข์ หรือ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งแพ่งและคดีอาญากับกรรมการกองทุนฯและลูกหนี้ที่ไม่ชำระคืนเงินกองทุนหมู่บ้านมากที่สุดของโคราชถึง 68 ราย รวมเป็นเงินต้น กว่า 649,823 บาท
กองทุนฯ “โคกช้าง”ปิดไม่อยู่
*** ลูกหนี้กลุ่มอิทธิพลบ้านคอกช้างท้าฟ้องศาล
ด้าน นายนพดล ห่ามกระโทก สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ครบุรีใต้ บ.คอกช้าง ม. 11 ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ในฐานะรองประธานกองทุนหมู่บ้านคอกช้าง ซึ่งมีปัญหา อดีตกรรมการกองทุนฯและสมาชิกกู้ยืมเงินแล้วไม่ยอมชำระคืนถึง 13 ราย รวมมูลค่าเงินต้นกว่า 258,500 บาท ถึงขั้นจะต้องใช้มาตรการฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นเดียวกัน เปิดเผยว่า ถึงเวลานี้รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการใดๆ คงไม่สามารถที่จะปกปิดความล้มเหลวของกองทุนหมู่บ้านคอกช้าง ได้อีกแล้ว
ทั้งนี้ หลังจากที่กองทุนหมู่บ้านคอกช้าง ได้รับหนังสือมอบอำนาจในการแจ้งความร้องทุกข์ หรือฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาจาก กทบ.แห่งชาติ ( 23 มิ.ย. 2548 ) พร้อมทั้งเข้าแจ้งความไว้ที่ สภอ.ครบุรี เพื่อพยายามเจรจาตกลงประนอมหนี้กับอดีตกรรมการกองทุนฯและสมาชิกที่มีปัญหาไม่ยอมชำระคืนทั้ง 13 คน มาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล นั้น
ล่าสุด กลุ่มลูกหนี้ดังกล่าว ส่งตัวแทนกลุ่ม 3 คน นำโดย นายจำนงค์ กันสำโรง อดีต สจ. อำเภอครบุรี และผู้สมัครส.ส.หลายสมัย รวมทั้งเป็นพี่ชายอดีตกำนันตำบลครบุรีใต้และอดีตผู้ใหญ่บ้านคอกช้างได้ประกาศชัดเจนในการเจรจากับคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านคอกช้างเมื่อเร็วๆ นี้ที่ สภอ.ครบุรี ต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจ ว่า ทั้ง 13 คน ทั้งในฐานะผู้กู้และผู้ค้ำประกันสัญญาเงินกู้ ซึ่งทำการกู้เองค้ำประกันกันเองสลับไขว่กันไปมา ยืนยันที่จะไม่ยอมส่งคืนเงินกองทุนหมู่บ้านฯ และบอกให้ไปฟ้องร้องดำเนินคดีต่อสู้กันในชั้นศาลได้เลย
ดังนั้น จึงไม่มีทางเลือกที่กองทุนหมู่บ้านคอกช้างต้องฟ้องร้องศาลดำเนินคดีกับทั้ง 13 คนอย่างแน่นอน ซึ่งได้เข้าปรึกษาและได้รับคำแนะนำจากอัยการจังหวัดนครราชสีมาให้ดำเนินคดีกับลูกหนี้ดังกล่าว พร้อมได้ตกลงว่าจ้างทนายความเรียบร้อยแล้วจำนวน 4 หมื่นบาท ซึ่งได้นัดหารือรายละเอียดขั้นสุดท้ายกับทนายในวันที่ 8 ต.ค.นี้ โดยจะแยกฟ้องเป็นรายบุคคล คนละ 2 คดี คือ คดีความผิดในฐานะผู้กู้เงิน กับคดีในฐานะผู้ค้ำประกันสัญญาเงินกู้
“อัยการจังหวัดบอกว่าบ้านคอกช้างน่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้านแห่งแรกในจังหวัดที่มีการฟ้องคดีในชั้นศาล ทั้งนี้เพราะเราพยายามทำทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่ได้ผล เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นซึ่งหลังจากผลักดันยกระดับหมู่เล็กๆ ในป่าแห่งนี้จนได้รับเงินล้านและกู้เงินไปแล้วก็ประกาศมาตลอดว่าจะไม่ส่งคืนเงินพร้อมชักจูงชาวบ้านไม่ให้ยอมชำระหนี้กองทุนฯตามไปด้วย” นายนพดล กล่าว
สำหรับที่จังหวัดสุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่ามีการสั่งการมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุนหมู่บ้านฯห้ามมิให้เปิดเผยข้อมูล แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า หนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการราย” ช่วงที่ตีพิมพ์ข่าวเชิงวิเคราะห์ขอดเกล็ดประชานิยม “กองทุนหมู่บ้าน” นั้น ประชาชนชาวสุรินทร์ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักการเมืองในจังหวัด และข้าราชการพากันซื้อไปอ่านเพื่อติดตามข่าวแบบวันต่อวัน จนทำให้ร้านขายหนังสือขายหมดทุกวันและไม่เพียงพอต่อความต้องการ
นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้กำชับในที่ประชุมข้าราชการของจังหวัดว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามข่าวนี้จากสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องและให้หน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลติดตามการดำเนินนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทุกแห่งของจังหวัดสุรินทร์อย่างใกล้ชิด ส่วนปัญหากองทุนหมู่บ้านสุรินทร์ที่เกิดขึ้นตามที่เป็นข่าวนั้น ผู้ว่าฯระบุว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเพราะเพิ่งเดินทางมารับตำแหน่งใหม่
*** ธกส.ส่งคนตามติดถึงบ้านคนให้ข่าว กทบ.
สำหรับความเคลื่อนไหวในเขตภาคเหนือหลังจากหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” นำเสนอข่าวเชิงวิเคราะห์ขอดเกล็ดประชานิยม “กองทุนหมู่บ้าน” ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชน , กรรมการกองทุนฯ หลายแห่งที่ร่วมให้ข้อมูล ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ทันทีหลังจากที่ข่าวดังกล่าวถูกตีพิมพ์ นัยว่า ธกส.ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสอบถามข้อเท็จจริงจากบุคคลที่ให้ข้อมูลในครั้งนี้
นางบังอร กำเงิน คณะกรรมการเหรัญญิก กองทุนหมู่บ้านหนองบัวเหนือ หมู่ 4 ต.หนองบัวเหนือ อ.เมือง จ.ตาก เปิดเผยว่า หลังจากมีชื่อปรากฏในเนื้อข่าวเรื่อง “กองทุนหมู่บ้าน” ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันแล้ว มีคนในหมู่บ้านบอกว่า ได้รับการประสานจาก ธกส.ประจำจังหวัดตาก ว่า ทาง ธกส.ตาก ได้รับคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ ให้มาตรวจสอบ/สอบถามว่า ตนมีเรื่องอะไรไม่พอใจหรือเปล่า
“เขามาถามว่า ทำไมต้องไปให้ข่าวอย่างนั้น เดี๋ยวผู้ใหญ่ไม่พอใจ จะมีปัญหากันหมด” นางบังอร กล่าว
นางบังอร กล่าวต่อว่า ตอนแรกมีคนมาหาเธอที่บ้าน แม่ของเธอที่อยู่บ้านตกใจมาก นึกว่าไปมีเรื่องกับใคร แต่พอเห็นข่าวที่ตีพิมพ์ตรงตามข้อมูลที่บอก ก็คิดว่าไม่เห็นมีผลเสียอะไร ทำไมคนที่รับผิดชอบไม่นำข้อมูลที่ปรากฏไปวิเคราะห์หาทางแก้ไขให้ดีขึ้น จะกล่าวหาว่าเราคนเดียวที่มีปัญหาก็ไม่ใช่ เพราะหลาย ๆ คน หลาย ๆ หมู่บ้านก็มีปัญหาลักษณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้บอกว่ากองทุนหมู่บ้านไม่ดี แต่บอกว่ามันมีผลกระทบต่อชาวบ้านเท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมต้องส่งคนมาสอบ เราพูดตามที่เราเห็นและเป็นอยู่ และคิดว่ามันคือความจริง ถึงได้พูดออกมา ไม่ได้คิดให้ร้ายใครด้วย เพราะคิดว่าประชาธิปไตยคือ เสรีภาพที่จะพูดความจริงออกมาได้”
นายเกียรติ คำน้อย ส.อบต.แม่พุง,ประธานกองทุนหมู่บ้านหมู่ 15 บ้านแม่พุงหลวง ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ กล่าวว่า เขาก็ได้รับการติดต่อสอบถามจากเจ้าหน้าที่ ธกส.จังหวัดแพร่เช่นกัน หลังจากมีชื่อปรากฏในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน โดยเขามาถามว่าเราให้ข้อมูลตามที่ปรากฏในข่าวหรือเปล่า ทำไมถึงให้ข้อมูลอย่างนั้น ซึ่งก็ได้ชี้แจงเขาไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน นอกจากนี้ก็ได้นำเรื่องนี้บอกกับสมาชิกกองทุนฯด้วย โดยสมาชิกทั้งหมดก็ยอมรับในข้อมูลที่ตนพูดออกไป
ขณะที่นายตะวันทอง แก้วยัว (แก้วยัว)ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ หนึ่งในชุมชนใกล้เคียงบ้านแม่พุงหลวง บอกว่า ปัจจุบันชาวบ้านเป็นหนี้กันจนท่วมหัว กู้กองทุนหนึ่งปิดอีกกองทุนหนึ่ง แล้วกู้นอกระบบมาปิดกองทุนหนึ่ง หมุนกันอยู่อย่างนี้ ปัจจุบัน ธกส.มาตั้งกองทุนในหมู่บ้าน ให้กรรมการกองทุนเงินล้านกู้เงินมาบริหารอีก 1 ล้านบาท ผู้กู้สามารถยืดระยะเวลาผ่อนชำระได้ถึง 5 ปี กรณีนี้ไม่ได้เป็นการแก้หนี้ แต่กลับเพิ่มหนี้สินให้ชาวบ้านมากขึ้น
“ก่อนมีกองทุนชาวบ้านไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่มีหนี้ ปัจจุบันมีกองทุนหลายกองทุน ชาวบ้านยิ่งจนหนักกว่าเก่า เป็นหนี้กันทุกครัวเรือน ขณะที่การทำมาหากินยังอยู่ในวิถีเก่า ทำให้ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้” นายตะวันทอง กล่าว
*** ตากลุยยึดทรัพย์เด็กพรรคการเมือง
นายป้อม ตุ่นทิม ประธานกองทุน ชุมชนหนองระกำ ตำบลระแหง อำเภอเมือง จังหวัดตาก เปิดเผยว่า แม้ว่ากองทุนหนองระกำได้ทำการฟ้องเพื่อขออำนาจศาลในการสั่งบังคับให้ลูกหนี้ของกองทุน จำนวน 8 ราย ที่คงค้างไม่ชำระเงินคืนแก่กองทุน ยอดรวมประมาณ 1 แสนกว่าบาทแล้ว โดยศาลจังหวัดตาก พิพากษาให้ ผู้กู้และผู้ค้ำร่วมชำระเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 8 บาทต่อปีจากเงินต้น นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้กับกองทุนเป็นงวดๆให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน นับจากวันผ่อนชำระงวดแรก หากผิดนัดไม่ชำระหนี้ แม้งวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์ อันหมายถึงคณะกรรมการกองทุน ฯ บังคับคดีกับจำเลยได้ทันที
ประธานกองทุนฯ กล่าวต่อว่า หากนับตามคำพิพากษาจนถึงปัจจุบัน มีลูกหนี้ค้างชำระละเมิดคำพิพากษาศาลจำนวน 7 ราย โดย 1 รายได้ชำระเงินกู้แล้วต่อหน้าบัลลังก์ศาลจังหวัดตากแล้วนั้นมาถึงวันนี้ เราคงต้องขออำนาจศาลอีกครั้ง เพื่อนำเงินกองทุนหมู่บ้านคืนมาเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ใช้ต่อไป
นายป้อม กล่าวว่า คณะกรรมการกองทุนชุมชนหนองระกำ มีมติร่วมกันว่า จะต้องดำเนินการยึดทรัพย์ลูกหนี้ที่ค้างชำระตามคำสั่งศาลทั้ง 7 ราย เพื่อนำมาขายทอดตลาดนำเงินมาคืนให้กับกองทุนหมู่บ้าน โดยจะเริ่มดำเนินการหลังลอยกระทงปีนี้ (2548) เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่สังคมว่า เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนที่รัฐบาลมอบให้เป็นของชุมชน มิใช่เป็นเงินรางวัลจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี,หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ให้กับบรรดาหัวคะแนนของพรรค
“ใครจะมาที่คิดอย่างนี้ไม่ได้ เงินนี้เป็นเงินของแผ่นดิน จะมาโกง หรือหนีหนี้ไม่ได้” นายป้อม กล่าว
ประธานกองทุนชุมชนหนองระกำ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ชุมชนหนองระกำ จำเป็นต้องอาศัยความสามัคคีในชุมชน ที่จะต้องร่วมกันจัดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้ผ่านพ้นงานประเพณีลอยกระทงไปก่อน เพราะถ้าทำตอนนี้รับรองว่า คนในชุมชนแตกคนละทิศละทาง ถูกเขาโจมตีปั่นป่วนจนอาจจะไม่สามารถทำกิจกรรมประจำปีของชุมชนได้แน่นอน
“เราจะต้องทะเลาะกับคนในชุมชน เพื่อรักษาเงินของกองทุน เพราะหากว่ายังมีคนที่คิดแบบนี้อีก ต่อไปเงินสักบาทจะไม่เหลือติดบัญชีของกองทุน เราไม่หนักใจเพราะคณะกรรมการทุกคนบริสุทธิ์ใจพอ ถ้าหากจะต้องทะเลาะกับเขาอีก แม้ถึงขั้นจะไม่เผาผีกันก็ตาม เมื่อเสร็จจาก 7 รายนี้แล้ว กองทุนฯก็จะฟ้องลูกหนี้ที่ชักดาบอีกหลายราย ทั้งนี้ส่วนมากจะเป็นลูกหนี้ที่มีบัตรสมาชิกพรรคการเมืองใหญ่กันทุกคน” นายป้อม กล่าว
*** เฮรับล้านที่2ธกส.ปิดหนี้กองทุนเงินล้าน
แหล่งข่าวจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) จังหวัดแพร่ กล่าวว่า โครงการกองทุนเงินล้านก้อนที่ 2 เป็นการเติมเงินลงไปหลังจากเห็นว่า การบริหารจัดการเงินล้านแรกที่ประสบความสำเร็จ กรรมการสามารถบริหารจัดการได้ และชาวบ้านมีวินัยทางการเงินที่ดี จึงพร้อมปล่อยเงินก้อนที่ 2 ไปให้ทำให้ชาวบ้านได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปประกอบกิจการขยายธุรกิจของตนเอง ภายใต้แนวทางการควบคุมดูแลโดยกรรมการกองทุนเงินล้านประจำหมู่บ้าน ซึ่ง ธกส.มีระยะการคืนเงินยาวถึง 5 ปี กองทุนดังกล่าวไม่ได้บังคับให้ประชาชนเข้ามากู้ แต่เป็นความต้องการของประชาชน
เขาบอกว่า ใน 8 อำเภอของแพร่ จนถึงขณะนี้ ธกส.ยังไม่ได้ปล่อยเงินกู้ล้านที่ 2 ครบทุกหมู่บ้าน มีเพียงหมู่บ้านที่เข้มแข็งเท่านั้น ซึ่งผลการดำเนินงานมากว่า 5 เดือน ยังไม่พบปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนในชุมชนสามารถควบคุมกันได้เป็นอย่างดี
ขณะที่นายตะวันทอง แก้วยัว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 บ้านแม่แฮด ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ เปิดเผยว่า กองทุนหมู่บ้านล้านแรก ชาวบ้านกู้ไปบางคนไม่มีเงินส่ง มาล้านที่ 2 ที่ได้จาก ธกส.ก็กู้เอาไปถมล้านแรก เมื่อถมเสร็จก็กู้เงินล้านแรกมาใส่ล้านที่ 2 หรือแหล่งเงินกู้อื่น ๆ ก็หมุนกันอยู่อย่างนี้
เขาบอกว่า โชคดีเหมือนกันที่ชาวบ้านได้เงินล้านที่ 2 มาจาก ธกส. เพราะได้เงินมาเมื่อชาวบ้านใกล้ถึงทางตัน ต้องปิดบัญชีกองทุนล้านแรก แต่ไม่สามารถหาเงินมาปิดบัญชีได้ เมื่อ ธกส.ปล่อยกู้มาให้ ชาวบ้านก็ได้กู้เพื่อนำเงินไปหมุนปิดบัญชี กทบ. แม้ว่าเงินกู้ที่ได้มาเพิ่มอีก 1 ล้านบาทจะยังไม่ทั่วถึงก็ตาม แต่ก็ยังช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้บ้าง
นายตะวันทอง ยอมรับว่า ขณะที่เราดูตัวเลขบัญชีกองทุนหมู่บ้าน จะพบว่า ตัวเลขที่ปรากฏไม่มีปัญหาใด ๆ แต่ลึก ๆ แล้วต้องยอมรับว่า วันนี้ชาวบ้านแม่แฮด ตกเป็นทาสของกองทุนแล้ว แต่ก่อนชาวบ้านเคยมีอิสระ ไม่มีหนี้ ทำมาหากินเท่าที่มีกำลัง แต่ปัจจุบันทำไม่ได้แล้ว ต้องเสาะแสวงหาเพิ่ม ซึ่งส่วนหนึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะ / ที่ป่ามากขึ้น รวมถึงการลักลอบตัดไม้ขาย เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ที่มีมากขึ้น
“เวลาเขาปล่อยเงินกู้ออกมา ชาวบ้านแย่งกันกู้เพื่อจะเอามาเป็นค่าใช้จ่าย เอาเงินกู้มาแล้วบางคนก็ส่งได้ บางคนก็ติดหนี้ ติดหนี้แล้วก็ทวงกันไป บางคนก็ไปเอาที่อื่นมาอีกแล้วเอาไปจ่าย ไปกู้ที่อื่นอีกแล้วเอามาจ่าย ก็ไม่รู้ว่าหนี้จะไปจบตรงไหน ตายเมื่อใดก็คงจบเท่านั้น” นายตะวันทอง กล่าว