ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – เปิดกรณีศึกษาทุจริตกองทุนหมู่บ้าน “บ้านคอกช้าง” อ.ครบุรี กลุ่มการเมืองท้องถิ่นรวมหัวข้าราชการในพื้นที่ดันหมู่บ้านตั้งใหม่รับเงินล้านฯ แล้วเชิดเงินอพยพย้ายหนี
“ศูนย์ข่าวนครราชสีมา ผู้จัดการรายวัน” บุกสำรวจกองทุนหมู่บ้านคอกช้าง ม. 11 ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา หมู่บ้านขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอครบุรีราว 20 กิโลเมตร ซุกตัวอยู่เชิงเขา ถนนลาดยางเข้าไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้าไม่น้ำประปาใช้แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งกองทุนเงินล้านที่ประสบปัญหาการบริหารจัดการกลายเป็นความขัดแย้งภายในชุมชน ถึงขั้นต้องพึ่งมาตรการทางกฎหมายเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับ สมาชิกกองทุนที่ไม่ยอมชำระคืนมากถึง 13 ราย
นายสมเกียรติ ทองครบุรี ผู้ใหญ่บ้านคอกช้าง และประธานกองทุนหมู่บ้านคอกช้าง กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุของปัญหาว่า บ้านคอกช้างเป็นหมู่บ้านเพิ่งจัดตั้งใหม่เมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา เดิมทีมีแค่ 35 ครัวเรือน
แต่เมื่อรัฐบาลมีโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ได้มีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในตำบลครบุรี ซึ่งขณะนั้น พี่ชายคนโตเป็นอดีต สจ.และลงผู้สมัครฯส.ส.หลายสมัย ส่วนพี่ชายคนรองเป็นกำนันต.ครบุรีและลูกสาวเป็นสมาชิกอบต. บ้านคอกช้าง และน้องชายเป็นผู้ใหญ่บ้านคอกช้าง ได้ร่วมมือกันผลักดันนำกองทุนเงินล้านจนสำเร็จภายใต้การสนับสนุนของเจ้าหน้าที่พัฒนากรระดับอำเภอ
ทั้งนี้ ด้วยวิธีการระดมญาติพี่น้องกลุ่มของตนเอง ย้ายทะเบียนบ้านเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านคอกช้างจากเดิม 35 ครัวเรือนพุ่งพรวดมากกว่า 50 หลังคาเรือน เพื่อให้เข้าเกณฑ์หมู่บ้านที่จะได้รับการจัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้าน
หลังจากได้รับจัดสรรเงินกองทุนหมู่บ้านฯ ในต้นปี 2546 นายอนุกูล กันสำโรง ผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น ได้เป็นรองประธานกองทุนฯ โดยให้นายบรรจง รังนา เป็นประธานและกรรมการที่เหลืออีก 7 คน ล้วนเป็นญาติพี่น้องของผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งหมดเป็น 9 คน และภายในสามเดือนระหว่าง เม.ย.-มิ.ย. ได้ทำการปล่อยกู้มากถึง 990,500 บาท โดยได้แบ่งให้ตัวเองและญาติพี่น้องในจำนวน 13 รายกู้เฉลี่ยรายละ 2 หมื่นบาทพร้อมเป็นผู้ค้ำสลับกันไปมาภายใน 13 รายดังกล่าว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นนามสกุล “กันสำโรง”
“เมื่อถึงเวลาครบรอบ 1 ปีในการชำระเงินคืนให้กับกองทุน ปรากฏว่า ญาติพี่น้องของนายอนุกูล ที่เพิ่งย้ายเข้าอยู่ในหมู่บ้านประมาณปีครึ่ง จำนวน 13 รายรวมทั้งตัวนายอนุกูล ที่เป็นผู้ใหญ่ และหลานสาวที่เป็นสมาชิก อบต. ได้พากันแจ้งย้ายทะเบียนบ้านและรื้อบ้านเรือนอพยพย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นทั้งในหมู่บ้านใกล้เคียง หรือ ต่างอำเภอและ ต่างจังหวัดกันหมดอย่างกะทันหัน โดยไม่ยอมคืนเงินกองทุนหมู่บ้านรวมกว่า 258,500 บาท เป็นปัญหามาจนถึงวันนี้” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ตนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเข้ามาเป็นประธานกองทุนหมู่บ้านคอกช้างต่อจากชุดแรกในราวเดือน เม.ย. 2547 ซึ่งปัจจุบันบ้านคอกช้างมีอยู่ 56 หลังคาเรือน ประชากรจำนวน 119 คน เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านจำนวน 70 คน ได้กู้เงินไปแล้วจำนวน 40 คน ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี โดยครั้งแรกที่กรรมการกองทุนฯชุดตนเข้ามาบริหารมีเงินเหลืออยู่ในกองทุนฯเพียง 54,147.92 บาทเท่านั้น
สำหรับการแก้ปัญหานั้น ตนได้รับมอบอำนาจจากกทบ.แห่งชาติ ให้ดำเนินการแทนในการฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับลูกหนี้ผิดสัญญาที่ไม่ชำระคืนเงินกองทุนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทั้ง 13 คน เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยตนได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภอ.ครบุรี แล้วเมื่อปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็นตัวกลางนัดลูกหนี้ทั้งหมดให้มาเจรจาเป็นครั้งสุดท้ายในเร็วๆ นี้ แต่หากล้มเหลวเหมือนทุกครั้งที่ผ่านตนก็จะยื่นฟ้องร้องต่อศาลอย่างแน่นอน