xs
xsm
sm
md
lg

ล่า 50,000 ชื่อถอดถอน “ฉกรรจ์” กรมวิชาการฯ สั่งอายัดยางเถื่อนถิ่นเนวิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยล่า 50,000 รายชื่อถอดถอนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เหตุปล่อยปละกล้ายางเถื่อนระบาดทั่วประเทศและเอื้อประโยชน์ซีพี ด้านกรมวิชาการฯ สรุปผลไล่ตรวจสอบหลังถูกหลายฝ่ายกดดัน เจอแปลงกล้ายางเถื่อนกว่า 45 แปลง อายัดกล้ายางของกลางกว่า 8.5 ล้านต้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทในพื้นที่หนองคาย ตรัง ระยอง ไม่เว้นแม้แต่บ้าน "เนวิน"

วานนี้ (5 ก.ค.) นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายกสมาคมชาวสวนยาง 20 จังหวัด และเครือข่ายชาวสวนยางจันทบุรี ร่วมแถลงข่าวว่าที่ประชุมสมาคมสหพันธ์ฯ มีมติให้สมาคมฯ รวบรวมรายชื่อเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากโครงการของรัฐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร จำนวน 50,000 รายชื่อเพื่อดำเนินการถอดถอนนายฉกรรจ์ออกจากตำแหน่ง

สาเหตุสืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 46 อนุมัติให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้แก่เกษตรกรในแปลงปลูกยางใหม่ระยะที่ 1 (ปี 2547-2549) โดยมีเป้าหมาย 1 ล้านไร่(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แสนไร่ และภาคเหนือ 3 แสนไร่)

ทางสมาคมฯ ได้ทำหนังสือทักท้วงกระทรวงเกษตรฯ ในเรื่องของความพร้อม แปลง-กิ่งตายางพันธุ์ดี ที่มีไม่เพียงพอต่อพื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่ แต่กรมวิชาการฯ ไม่รับฟังคำทักท้วงจากสมาคมฯ ยังคงดำเนินการจัดประมูลโดย บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์เป็นผู้ชนะการประมูล ทำให้เกิดปัญหาเรื่องกิ่งแม่พันธุ์ยาง RRIM 600 และ RRIT 251 ไม่พอเพียง ทำให้เกิดกิ่งตาสอย ซึ่งผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยางมาตรา 21 เพราะมีหลักฐานที่เห็นชัดมาตั้งแต่ปลายปี 46 จนถึงวันนี้

“กรมวิชาการเกษตรมีหน้าที่ต้องดูแล แต่ปล่อยปะละเลยทำให้เกิดปัญหากิ่งตาสอยระบาดทั่วประเทศ ดังนั้นสมาคมฯ และเครือข่ายยางพาราทั่วประเทศต้องล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อถอดถอนนายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ พ้นจากตำแหน่ง” นายอุทัยกล่าว

นายอุทัยกล่าวต่อว่า อธิบดีกรมวิชาการฯ เป็นผู้รักษากฏหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 การปล่อยให้เกิดมีกิ่งตายางสอยมากมาย กิ่งตาที่ไม่ใช่มาจากต้นกิ่งพันธ์ ทำให้ยางมีเปลือกบาง เวลากรีดจะได้ปริมาณน้ำยางน้อยกว่า โดยเฉพาะที่จังหวัดบุรีรัมย์นั้น นายฉิม วัฒนกลาง เกษตรกรผู้ปลูกยางเคยใช้กิ่งตาสอยไปปลูก 20 ไร่ ปรากฏว่าน้ำยางลดลงไป 40%

ที่ปรึกษาสมาคมสหพันธ์ฯ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันกิ่งตาสอยระบาดไปทั่วประเทศ ทำให้คนจนที่จะปลูกยางได้รับกิ่งพันธุ์ที่ผิดๆ ในอนาคตวงการยางจะเกิดความเสียหายทั้งประเทศ นี่คือสาเหตุที่มีมติให้ถอดถอนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร

นายอุทัยกล่าวอีกว่า ส่วนทางซีพีไม่ได้ทำตามขั้นตอนของสัญญา กลับไปซื้อต้นยางที่ติดตาแล้วเอามาปลูกในโครงการ เป็นการกระทำที่ผิดสัญญาอยู่แล้วทำไมไม่ยกเลิก เป็นการปล่อยปะละเลยหน้าที่ของอธิบดีฯ ตั้งแต่ปี 46 ถ้าไม่มีการถอดถอนข้าราชการก็ยังหลงระเริง โยนความรับผิดชอบไปให้เกษตรกร

นายสมศักดิ์ พงศ์ภัณฑารักษ์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรมเจ้าหน้าที่จะเน้นให้ปลูกยางตั้งแต่เดือน พ.ค.–มิ.ย. จะทำให้ยางไม่ตาย แต่กรมวิชาการฯ กลับเอากล้ายางไปแจเดือน ส.ค.–ก.ย. ซึ่งเป็นปลายฤดูฝน ทำให้ต้นยางตาย และก็มาพูดว่าเกิดจากภัยแล้ง แทนที่จะรักษาผลประโยชน์ให้ชาวสวนยางกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเสียเอง

“ตั้งแต่ผมเกิดมาไม่เคยเห็นเรื่องกิ่งตาสอย ปลูกกิ่งตาสอยไปประมาณ 1-2 ปีจะออกดอกออกผล ทำให้ต้นยางแคระแกรน เปลือกบาง น้ำยางก็จะลดลงประมาณ 40% ขณะนี้แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ ทำความเสียหายให้กับวงการยางทั้งหมด ถ้าขืนยังปล่อยให้ท่านอธิบดีกรมวิชาการบริหารต่อไปจะทำให้ชาวสวนยางทั่วประเทศเสียหาย ตนในฐานะที่เป็นตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางจึงต้องรวบรวมรายชื่อ 50,000 รายชื่อภายใน 180 วันเพื่อยื่นให้ถอดถอนอธิบดีกรมวิชาการเกษตร” นายสมศักดิ์กล่าวย้ำ

*** ฉกรรจ์สรุปผลไล่ตรวจยางเถื่อน

นายฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรเปิดเผยว่า ตามที่กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนและตรวจสอบแปลงเพาะต้นยางชำถุงทั่วประเทศ หลังจากที่มีการแจ้งว่ามีการนำกล้ายางมาวางขายริมถนน หรือเรียกว่า “กล้ายางธุดงค์” ออกมาจำหน่าย ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของต้นยางในอนาคตนั้น เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาทางกรมวิชาการฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบแปลงเพาะชำกล้ายางพาราทุกเขต

นายฉกรรจ์กล่าวว่า หลังการตรวจสอบพบว่ามีแปลงเพาะต้นยางชำถุงและกล้ายางพาราที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนโดยไม่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 45 แปลง ในเขตจังหวัดหนองคาย บุรีรัมย์ ระยอง และตรัง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกล้ายางแหล่งใหญ่ โดยพบในหนองคาย 12 แปลง บุรีรัมย์ 5 แปลง ระยอง 9 แปลง และตรัง 19 แปลง

ทั้งนี้ตรวจพบต้นยางชำถุงรวมทั้งสิ้น 603,492 ต้น พร้อมทั้งต้นกิ่งตายาง 5,567 ต้น และพบต้นกล้ายางพาราซึ่งเตรียมนำออกจำหน่ายอีก 243,000 ต้น รวมทั้งหมด 852,059 ต้น มูลค่ากว่า 15.25 ล้านบาท จึงได้สั่งอายัดต้นยางชำถุงและกล้ายางพาราทั้งหมด ห้ามจำหน่ายและห้ามเคลื่อนย้าย และได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตให้ขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. 2542 มาตรา 21 ซึ่งระบุไว้ว่าผู้ใดจะขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมวิชาการเกษตร และผู้ได้รับอนุญาตต้องขยายพันธุ์จากต้นยางพันธุ์ดี หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
 
ขณะนี้มีผู้เพาะขยายพันธุ์ยางพาราเพื่อการค้ามายื่นขอใบอนุญาตแล้วประมาณ 350 ราย และกรมวิชาการเกษตรยังคงต้องเร่งตรวจสอบแปลงเพาะต้นยางชำถุงและกล้ายางพาราไปอย่างต่อเนื่อง จึงขอประกาศเตือนผู้ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนให้มายื่นขอใบอนุญาตให้ถูกต้องโดยเร็ว

ขณะที่นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าการดำเนินการของกรมวิชาการเกษตรครั้งนี้ ต้องแยกว่าเป็นคนละส่วนกับยางในโครงการขยายพื้นที่ปลูก 1 ล้านไร่ ซึ่งได้สั่งการลงไปให้กวดขันเรื่องคุณภาพมาตรฐานเรื่องกล้ายางเป็นพิเศษ ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่จำหน่ายยางไม่ได้คุณภาพต่อไป

สำหรับความคืบหน้าการส่งมอบกล้ายางตามโครงการขยายพื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่นั้นทางบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ทำการส่งมอบแล้วจำนวน 18-19 ล้านต้น จากจำนวนการส่งมอบในปี 2548 จำนวน 29 ล้านต้น โดยมีกำหนดเสร็จสิ้นการส่งมอบในเดือนกรกฎาคมนี้ อย่างไรก็ตามเวลาที่เหลืออีกประมาณ 1 เดือนคาดว่าจะส่งมอบกล้ายางที่เหลืออีกประมาณ 10 ล้านต้นได้ทันกำหนดเวลาอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น