เบื้องหลังความเสียหายโครงการปลูกยางล้านไร่ เหตุฝ่ายการเมืองเร่งรัดในลักษณะ “แดกด่วน” ซ้ำยังคัดเลือกยักษ์ซีพีที่ขาดคุณสมบัติ ผิดเงื่อนไขประมูล ไม่มีประสบการณ์และความพร้อมเป็นผู้ส่งมอบยางจำนวนมโหฬารถึง 90 ล้านต้น เผยซีพียุบทิ้งโครงการผลิตกล้ายางคล้อยหลังชนะประมูลเพียงเดือนเศษ หันสวมบทโบรกเกอร์จับเสือมือเปล่ากินส่วนต่างเหนาะๆ กว่า 350 ล้าน
นายโกเมน สงค์ประเสริฐ อดีตอัยการประจำจังหวัดหนองคาย กรรมการสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้ฯ 1 ล้านไร่ เป็นโครงการที่ทำกันอย่างเร่งรีบเพราะเป็นช่วงใกล้หาเสียงเลือกตั้ง อีกทั้งกลุ่มซีพีที่ชนะประมูลไม่ใช่มืออาชีพ ไม่เคยทำเรื่องยางมาก่อน แต่เข้ามาจับเสือมือเปล่า หน่วยปฏิบัติคือฝ่ายราชการก็ไม่กล้าปฏิเสธต้องทำตามนโยบายของฝ่ายการเมือง
“โครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เวลาเตรียมแปลงกิ่งตา ต้นกล้ายาง เป็นปีๆ เพื่อให้ได้พันธุ์ยางที่มีคุณภาพ สมบูรณ์” นายโกเมน กล่าว
ด้าน นายกุลชัย ธีระกุลพิสุทธิ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง จ.อุดรธานี กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ซีพีทำหน้าที่เหมือนโบรกเกอร์เข้ามากว้านซื้อกล้ายางจากแปลงเพาะชำทั่วไปทั้งที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการฯ รวมถึงกล้ายางไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพราะต้องเร่งส่งมอบให้ทันตามสัญญา โดยกว้านซื้อในราคาต้นละ 11-12 บาท ส่งขายให้กรมวิชาการเกษตรในราคาต้นละ 15.70 บาท จำนวน 90 ล้านต้น งานนี้ ซีพี กินส่วนต่างประมาณ 350 ล้านบาท
ขณะที่ นายอุดร ชายตุ้ย พนักงานประจำแปลงเพาะชำยาง อ.แม่วงศ์ จ.นครสวรรค์ กล่าวยืนยันว่า ราคาต้นกล้ายางที่เพาะชำส่งมอบให้ซีพีในราคา 11.50 บาท/ต้น หากคิดต้นทุนทั้งหมดแล้วผู้เพาะชำจะมีกำไรเฉลี่ยต้นละ 1 บาท ซึ่งไม่ค่อยคุ้ม ขณะที่ราคาตลาดปีที่แล้วซื้อขายกันที่ 18-20 บาท ส่วนปีนี้ซื้อขายกันที่ 14-15 บาท โดยพันธุ์ยางที่นำมาเพาะชำเอามาจากอ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีสัญญาส่งมอบให้ซีพีปีนี้ จำนวน 500,000 กว่าต้น
เนวิน - กรมวิชาการเกษตร เล่นผิดบท
โครงการดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยนายเนวิน ชิดชอบ รมช.กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้กำกับดูแลกรมวิชาการเกษตรฯ ผู้รับผิดชอบโครงการ ทั้งที่ตามพันธกิจของกรมวิชาการเกษตร คือ “บริการวิเคราะห์ ทดสอบ ตรวจสอบ รับรอง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน น้ำ ปุ๋ย พืช วัสดุการเกษตร ผลผลิตและผลิตภัณฑ์พืช เพื่อให้บริการการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ”
นอกจากนี้ กรมวิชาการ ยังเน้นการประยุกต์และพัฒนางานวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตพืชเศรษฐกิจ และเน้นการทดสอบเทคโนโลยี การผลิตพันธุ์พืช ปัจจัยการผลิต การบริการวิชาการและสร้างเครือข่ายวิชาการ การที่ นายเนวิน ชิดชอบ เสนอให้กรมวิชาการเกษตร ดำเนินการจัดหาพันธุ์กล้ายางโดยเปิดประมูลให้บริษัทเอกชนรับดำเนินการจึงขัดกับหลักการทำงานของกรมวิชาการเกษตรมาตั้งแต่ต้น
เพราะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะดังหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องยางโดยตรง เช่น สำนักงานกองทุนสวนยางฯ
นายเนวิน ชิดชอบ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงประเด็นการเข้ามารับผิดชอบโครงการส่งเสริมปลูกยางล้านไร่ของกรมวิชาการเกษตร ว่าคนทั่วไปกำลังเข้าใจผิดว่ากรมวิชาการฯ มีหน้าที่เพียงวิจัยและพัฒนา แต่ในความเป็นจริงกรมวิชาการ มีหน้าที่ไม่ต่างกับกรมปศุสัตว์ที่รับผิดชอบดูแลสินค้าปศุสัตว์ หรือกรมประมงที่จะต้องรับผิดชอบดูแลสินค้าประมง กรมวิชาการฯ ก็เช่นกันจะต้องดูแลเรื่องพืชทั้งหมด ซึ่งไม่จำกัดว่าจะต้องดูแต่งานวิจัยอย่างเดียว
นายเนวิน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการองค์ความรู้หรืองานวิจัยของภาคเอกชนไปไกลกว่าภาครัฐค่อนข้างมาก ภาครัฐจะคิดว่าหน้าที่ในการวิจัยเป็นของกรมวิชาการเพียงแห่งเดียว จะคิดว่ากรมวิชาการเก่งอยู่คนเดียวไม่ได้ ต่อไปกรมจะต้องมีหน้าที่ในการกำกับดูแล ต้องเป็นหน่วยตรวจสอบหรือหน่วยรับรอง หรือคอยอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน โดยรองอธิบดีจะต้องทำงานประจำ ส่วนอธิบดีจะต้องเป็นคนทำโปรเจค
(อ่านล้อมกรอบ .... “เนวิน ลอยตัวทุจริตยาง” ประกอบ )
ซีพี ขาดคุณสมบัติแต่กลับผ่านฉลุย
อย่างไรก็ตาม หลังจากครม.อนุมัติโครงการ กรมวิชาการเกษตร ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 46 ประกวดราคาจ้างเหมาผลิตต้นยางชำถุง ขนาดการเติบโต 1 ฉัตร ตามพันธุ์ยางที่กรมวิชาการเกษตร แนะนำปี 2546 จำนวน 90 ล้านต้น ราคากลางจัดจ้าง 1,440 ล้านบาท โดยผู้สนใจต้องขอซื้อเอกสารประกวดราคาชุดละ 50,000 บาท พร้อมกับวงเงินค้ำประกันสัญญา 3 ล้านบาท
กรมวิชาการฯ ยังกำหนดคุณสมบัติผู้เสนอราคาว่า “จะต้องมีแปลงเพาะต้นกล้าไม่ว่าจะเป็นแปลงเดียว หรือหลายแปลง (รวมกัน) ไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ และจะต้องมีแหล่งกิ่งตายางที่ใช้จากแปลงเพาะขยายพันธุ์ที่จดทะเบียนกับกรมไม่ว่าจะเป็นแปลงเดียวหรือหลายแปลง (รวมกัน) ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายางพันธุ์ดีตรงตามพันธุ์ยางที่กรมแนะนำไม่น้อยกว่า 120,000 ต้นและจะต้องเสนอรายละเอียดพื้นที่แปลงกล้ายางและทะเบียนแปลงเพาะขยายพันธุ์ยางในวันยื่นซองประกวดราคา”
ในการเข้าร่วมประมูลครั้งนี้ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด เสนอว่า “บริษัทมีแปลงเพาะต้นกล้าหลายแปลงรวมกันมากกว่า 1,000 ไร่ และจะมีแหล่งกิ่งตายางที่ใช้จากแปลงเพาะขยายพันธุ์ยางที่จดทะเบียนกับกรมหลายแปลงรวมกันมากกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายางพันธุ์ดีตรงตามพันธุ์ยางที่กรมแนะนำมากกว่า 120,000 ต้น”
พร้อมกันนั้น บริษัทได้แนบรายการแสดงเนื้อที่และสถานที่ตั้งของแปลงกิ่งตายาง จำนวน 21 แปลง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจ.ตรัง (อ.เมือง, อ.ย่านตาขาว,อ.ห้วยยอด, อ.นาโยง, อ.ปะเหลียน อ.สิเกา) และอ.ทุ่งหว้า จ.สตูล รวม 272 ไร่ และแสดงรายการเนื้อที่และสถานที่ตั้งของแปลงยาง รวม 1,961 ไร่ กำลังผลิต 27.445 ล้านต้น
แจ้งเท็จแปลงกิ่งตา – กล้ายาง
“ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบข้อมูลข้างต้นเทียบกับทำเนียบแปลงขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้า ประจำปี 2546 ของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร พบว่า การแสดงเนื้อที่ของแปลงกิ่งตายางของซีพี ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง จำนวน 6 แปลง โดย ซีพี แจ้งเท็จ 85 ไร่ คือ มีแปลงกิ่งตายางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร เพียง 187 ไร่เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมประมูลมีแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง ไม่น้อยกว่า 200 ไร่
ส่วนแปลงต้นกล้า ที่เงื่อนไขประมูลกำหนดให้มีไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ ในเอกสารยื่นประมูลของบริษัท แจ้งมี 1,961 ไร่ แต่เป็นหลักฐานเท็จเมื่อตรวจสอบจากเอกสารทำเนียบแปลงขยายพันธุ์ฯ ประจำปี 2546 โดยเนื้อที่ที่ขอจดทะบียนฯ กับเนื้อที่ที่บริษัทแจ้งแตกต่างกัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ แจ้งหลักฐานอันเป็นเท็จประกอบการเข้าร่วมประมูลกันถึง 808 ไร่ และอีก 500 ไร่ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการฯ รวมพื้นที่จำนวน 1,308ไร่ ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขประมูลที่จะต้องมีแปลงกล้ายางที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการฯ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ เพราะข้อเท็จจริงแปลงยางที่ซีพี กล่าวอ้างขึ้นทะเบียนจริงเพียง 653ไร่เท่านั้น (อ่านรายละเอียด “ซีพี แจ้งเท็จแปลงกิ่งตา - กล้ายาง”)
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ซึ่งมีนายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร (ขณะนั้น) เป็นประธาน พิจารณาตัดสินให้ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด เป็นผู้ชนะประมูล โดยไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็นไปตามกำหนดหรือไม่
ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้ามาตรวจสอบโครงการนี้ในเรื่องที่บริษัทผู้เข้าร่วมประมูล 3 บริษัทมีกรรมการที่ถือหุ้นไขว้กัน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดตีความ ซึ่ง “ผู้จัดการรายวัน” สอบถามความคืบหน้าจากรักษาการผู้ว่าการสตง. ในการเข้ามาตรวจสอบโครงการนี้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบเพราะต้องรอให้บอร์ดพิจารณาก่อนว่าจะให้ข้อมูลต่อสื่อได้หรือไม่
ยุบทิ้งแปลงเพาะกล้าหลังชนะประมูล
ในการ ลงพื้นที่สำรวจผลโครงการฯ ช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา “ผู้จัดการรายวัน” เดินทางไปเยี่ยมชมโครงการเพาะกล้ายางที่ฟาร์มแสลงพัน – คำพราน ที่ จ.สระบุรี และฟาร์มกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ในเครือซีพี ด้วย
เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของฟาร์มแสลงพัน – คำพราน ให้ข้อมูลว่า “เรา (ซีพี) ยุบโครงการปลูกกล้ายางทิ้งไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 47 เพราะค่า PH ของดินมีปัญหาเป็นด่างมากประมาณ 7.8-8 กล้ายางที่ควรเขียวหลังเพาะปลูกไปแล้ว 2 เดือน กลับเหลืองแข่งกับทานตะวัน เราใช้เวลาบำรุงนานหลายเดือนด้วยทุกวิธีการแต่ไม่สามารถทำให้ยางเติบโตได้ สุดท้ายก็ยุบทิ้งและใช้พื้นที่ปลูกทานตะวันไปแล้วรอบหนึ่ง”
เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของฟาร์มแสลงพันฯ ให้ข้อมูลว่า ซีพี เริ่มเพาะกล้ายางเมื่อเดือน ส.ค. 46 บนเนื้อที่ 70 ไร่ เพาะกล้ายางประมาณ 100,000 ต้น
การดำเนินการเพาะกล้ายางของฟาร์มแสลงพันฯ เกิดขึ้นระหว่างที่กลุ่มซีพี เข้าร่วมประมูลตามประกาศประกวดราคา เลขที่ 4/2546 ลงวันที่ 19 มิ.ย. 46 ของกรมวิชาการเกษตร และต่อมากลุ่มซีพี ชนะประมูลพร้อมกับทำสัญญาในเดือนพ.ย. 46 ทั้งนี้ เครือซีพี แจ้งต่อกรมวิชาการฯ ว่าแปลงยางที่ฟาร์มแสลงพันฯ มีเนื้อที่ 200 ไร่ กำลังผลิตกล้ายางถึง 3 ล้านต้น ทั้งที่ ช่วงเวลานั้น สภาพกล้ายางของซีพีที่ฟาร์มแสลงพัน – คำพรานมีปัญหาเกิดขึ้นชัดเจนและสุดท้ายก็ไม่สามารถเพาะกล้ายางได้แม้แต่ต้นเดียว
ขณะที่ฟาร์มกำแพงเพชร ไม่มีแปลงเพาะกล้ายางดังที่แจ้งต่อกรมวิชาการฯว่าฟาร์มแห่งนี้ มีเนื้อที่เพาะกล้า 300 ไร่ กำลังผลิต 4,500,000 ต้น แต่อย่างใด โดยมีเนื้อที่บางส่วนสำหรับยางชำถุง จำนวน 1 ล้านต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของฟาร์มกำแพงเพชร กล่าวยอมรับว่า ปีที่ผ่านมายางชำถุงที่ฟาร์มฯ สามารถส่งมอบได้เพียง 500,000 ต้นเท่านั้นจากที่เพาะชำล้านต้น
“การไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีประสบการณ์และความไม่พร้อมของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ซีพี ได้สร้างปัญหาต่อเนื่องให้เกษตรกรรับเคราะห์กรรมและอาจส่งผลให้โครงการนี้ประสบความล้มเหลวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย” เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของสกย.ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง วิเคราะห์
สำหรับการตั้งข้อสังเกตและพาดพิงถึงเครือซีพี ที่มีปัญหาส่งยางช้าและไม่ได้คุณภาพนั้น “ผู้จัดการรายวัน” ได้ทำหนังสือขอสัมภาษณ์นายสกล บุญชูดวง รองกรรมการผู้จัดการบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด ผู้รับมอบอำนาจลงนามเป็นคู่สัญญากับกรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 48 เพื่อเปิดโอกาสให้ชี้แจงกรณีที่ถูกเกษตรกรและเจ้าหน้าที่รัฐฯ ในพื้นที่พาดพิงถึงในเรื่องการส่งมอบกล้ายางช้าและไม่ได้คุณภาพ และขอสอบถามถึงผลสรุปโครงการในช่วงปี 47 ที่ผ่านมา การเตรียมความพร้อมส่งมอบยางชำถุงตามสัญญาในปี 48 และ 49 ความพร้อมของแปลงกล้ายางตามสัญญา และข้อมูลอื่นๆ แต่ทางนายสกล ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ โดยให้เลขาฯ หน้าห้องแจ้งว่าติดภารกิจที่ต่างจังหวัด ไม่สามารถติดต่อได้
อย่างไรก็ตาม “ผู้จัดการ” จะติดตามความคืบหน้า พร้อมนำเสนอข่าวเมื่อได้รับข้อมูลจากฝ่ายที่ถูกพาดพิงถึงในวันข้างหน้า