xs
xsm
sm
md
lg

“กองพลพัฒนา”ยุทธวิธีกลืนวัฒนธรรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การก่อเกิด “กองพลพัฒนา” จะสามารถคลี่คลายปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ได้จริงหรือไม่ ยังเป็นคำถามที่รอการพิสูจน์ฝีมือ แต่สำหรับมุมมองของคนในพื้นที่ และนักวิชาการด้านมั่นคงแล้ว กองพลใหม่ยังไม่ใช่แนวทางเข้าถึงหัวใจของปัญหาด้วยมุ่งเน้นงานด้านความมั่นคงแห่งรัฐ ไม่ใช่ความมั่นคงของประชาชน มิหนำซ้ำการสร้างความกลมกลืนทางวัฒนธรรมด้วยนำกำลังทหารลงปักหลักตั้งรกราก ยิ่งจะถูกต่อต้านมากกว่าต้อนรับ

………………………….

นายรอซีดี เลิศอริยพงศ์กุล นายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.) ให้ความเห็นว่า การจัดตั้งกองพลพัฒนาที่ดูเหมือนว่าจะเน้นหนักในงานพัฒนานั้น แท้ที่จริงยังคงเน้นงานเพื่อความมั่นคงเป็นด้านหลักอยู่ดี แค่ปรับเปลี่ยนงานด้านการข่าวใหม่ ที่ผ่านมางานพัฒนาของทหารก็อยู่บนวิธีคิดที่ให้ทหารเป็นคาดว่ายังคงเป็นศูนย์กลาง มองประชาชนเป็นผู้รับสวัสดิการความช่วยเหลือเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันนี้งานพัฒนาชุมชนกลับเน้นให้ประชาชนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมทำ หากยังใช้วิธีคิดแบบเดิมอาจไม่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนในระยะยาว

นายก ยมท. กล่าวต่อว่า คนในพื้นที่ต่างพูดคุยในประเด็นนี้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในมุมที่ว่าการนำกำลังทหารลงมาปักหลักอย่างถาวรนั้นมีเจตนามุ่งสร้างความกลมกลืนทางวัฒนธรรมและเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่หรือไม่อย่างไร หากมีเจตนาเช่นนั้นจริง ก็พอจะประเมินภาพในอนาคตได้อย่างคร่าวๆ ว่า ความไม่ร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่จะสูงขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นทิศทางที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่อย่างมาก

ในขณะเดียวกัน ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานของฝ่ายทหารยังมีข้ออ่อนตรงที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับหลักการและขอบเขตของศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับเยาวชนซึ่งเป็นสิ่งที่ทางการกำลังให้ความสำคัญมาก สิ่งน่ากังวลที่ตามมาคือ จะเกิดการแบ่งแยกระหว่างคนสองรุ่นคือรุ่นผู้ใหญ่ที่ต้องการให้ลูกหลานของเขาเคร่งครัดในศาสนากับคนรุ่นใหม่ที่ผ่านงานด้านจิตวิทยามวลชน

“ต้องคำนึงอยู่ตลอดว่าชุมชนเขามองการทำงานของฝ่ายทหารอยู่ตลอดเวลา เด็กๆ อาจไม่ได้นึกถึงขอบเขตของศาสนา แต่ต้องทำความเข้าใจว่าศาสนาเป็นบรรทัดฐานของสังคมในพื้นที่แถบนี้”

นายนิมุ มะกาเจ รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.ยะลา กล่าวว่า แม้จะจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่การมีนโยบายหลักที่ชัดเจนให้ผู้ปฏิบัติเดินตามอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ยึดอยู่ที่ตัวบุคคลที่มาเป็นหัวหน้าหน่วยเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าบางช่วงที่มีผู้นำที่ดี มีการบริหารอันสนองต่อนโยบายซึ่งประชาชนยอมรับ หน่วยงานนั้นๆ ก็ทำงานได้ยอดเยี่ยมตามไปด้วย แต่เมื่อเปลี่ยนผู้นำ และใช้นโยบายที่ตอบสนองต่อนักการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ หรือกลุ่มฉกฉวยโอกาส หน่วยงานนั้นๆ ก็ทำงานได้ยอดแย่เหมือนกัน

“นโยบายหลักสำคัญกว่าการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ๆ ตอนนี้ผมยังไม่เห็นว่ามีนโยบายที่ทุกคนต้องเดินตามเลย มีเพียงคำพูดของท่านนายกฯ เท่านั้น ถ้ามีนโยบายแบบนี้แล้วก็แสดงว่าอ่อนการประชาสัมพันธ์มาก มีแล้วต้องมีให้ชัดเจน แปรเป็นรูปธรรมให้ผู้ปฏิบัติงานเดินตามได้ ผมยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคำว่าเข้าถึง เข้าใจ ตามพระราชดำรัสนั้น เจ้าหน้าที่เข้าใจและปฏิบัติเป็นรูปธรรมอย่างไร”

ด้าน อัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการสถาบันยุทธศาสตร์สันติวิธี สภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่า การจัดตั้งกำลังพลถาวรเพิ่มเข้าไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเพียงการสร้างความมั่นคงให้กับรัฐ ไม่ใช่สร้างความมั่นคงให้กับประชาชน หากรัฐมีเจตนาจัดตั้งกองพลถาวรเพื่อให้กำลังพลรู้สึกผูกพันกับคนและพื้นที่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากมีเจตนาใช้นโยบายการผสมกลมกลืนต้องกล่าวว่าผิดมหันต์ กรณีทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปทำกับเกาหลีและฟิลิปปินส์ ยังสร้างความเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้

“เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าตลอด 50 ปีมานี้ รัฐยังมองปัญหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเป็นปัญหาหลัก ทั้งๆ ที่เป็นปลายทางของปัญหาทั้งหมด ปัญหาทุกวันนี้คือความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ คนใส่เครื่องแบบถืออาวุธเข้ามาใครจะไว้ใจ”

ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจัดกำลังพลและโครงสร้างใหม่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ซึ่งน่าจะทำมาตั้งนานแล้ว หากเป็นไปตามหลักการที่ผ่าน ครม. เชื่อว่าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ระยะสั้นไปได้ การดำเนินงานเดินตามยุทธศาสตร์ของฝ่ายบริหารและการจัดงบประมาณยืดหยุ่นและเป็นกรณีพิเศษมากขึ้น สามารถอุดรอยรั่วการปฏิบัติการของกำลังพลในพื้นที่ในปัจจุบันได้ ซึ่งพบว่ายังมีบางส่วนที่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ การบริหารจัดการไม่มีเอกภาพและไม่ยืดหยุ่นพอที่จะโยกกำลังพลในการปฏิบัติงาน

“ที่แน่ๆ คือขวัญกำลังใจของชาวบ้านบางส่วนอาจจะดีขึ้น เพราะเขาเห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา ในขณะที่บางส่วนอาจเป็นกังวลมากขึ้นเหมือนกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความชะงักงันในการร่วมมือจากประชาชน เพราะกำลังที่ไม่คุ้นพื้นที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในการทำงาน”

ดร.ปณิธาน ตั้งข้อสังเกตว่า ในระยะกลางอาจเจอปัญหาเดิมอันเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่ดี อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานเดิมในพื้นที่กับกำลังพลใหม่ที่เสริมเข้าไป อาจมองได้ว่าเป็นการทำงานแข่งกับกองทัพภาคที่ 4 ขณะนี้พบว่าการวางสายบังคับบัญชาก็ยังไม่ชัดเจน บางข่าวบอกว่าจะอยู่กับกองทัพภาค 4 แต่การจัดงบประมาณดูเหมือนจะเอนเอียงมาที่ กอ.สสส.จชต. ซึ่งใกล้ชิดกับฝ่ายบริหาร ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างมากเพื่อให้เกิดการสอดประสานกัน

“จะเป็นการแบ่งงานกันทำหรือจะแย่งงานกันเพื่อสร้างผลงาน ถ้าเป็นอย่างหลังคงยุ่งแน่”

ในขณะที่หากเกิดความขัดแย้งกันจริง ๆ ดร.ปณิธาน ประเมินว่า สถานการณ์จะเลวร้ายเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องอาศัยกองกำลังเข้าไปในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นอีก อย่างในหลายประเทศที่เมื่อมีการเพิ่มกำลังพลเข้าไปในพื้นที่ปัญหา ปัญหาการเผชิญหน้าจะแรงขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม ท่าทีในการส่งกำลังลงไปตรึงในพื้นที่อย่างนี้ อาจส่งผลให้ต่างประเทศมองว่ามีสถานการณ์ความไม่สงบมากขึ้นจึงต้องเพิ่มกำลังเข้าไป ส่งผลให้เกิดอาการตื่นตระหนกมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรระมัดระวัง

ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและชุมชน ม.สงขลานครินทร์ ปัตตานี เห็นว่า โดยหลักการแล้วมองว่าวิธีการแบบสันติวิธีจะสร้างความเชื่อมั่นได้ยั่งยืนกว่าการใช้ความรุนแรง ที่แม้มีความสงบได้แต่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น จริงๆ แล้วคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมามาก สุดท้ายเมื่อรัฐเข้ามาแก้ไขก็พบว่าการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในวัฒนธรรมที่ต่างกันจะแก้ปัญหาได้

"ที่ผ่านมาไม่ว่ารัฐพยายามจะแก้ปัญหาอะไรก็จะเจอข้อสรุปเรื่องวัฒนธรรมและการใช้หัวใจในการแก้ปัญหา ตั้งแต่สมัยที่ รัฐบาลเปรม ก็ได้นำยุทธวิธีการเมืองนำการทหารเข้ามา แม้ว่าการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 15 จะเป็นสิทธิ์ของรัฐบาลที่จะทำได้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าน่าจะนำประสบการณ์และบทเรียนที่ผ่านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และไม่ว่าจะมีการเยือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สักกี่ครั้งความรู้สึกของประชาชนก็ไม่ได้อุ่นใจในความปลอดภัยขึ้น เพราะอยู่ที่วิธีการว่าทำให้ผลปฏิบัติว่าออกมาในรูปแบบใด"
กำลังโหลดความคิดเห็น