“ฐานทัพเรือพังยับเยิน สูญเสียหมด ไม่เหลือสภาพแล้ว” นาวาโทสุเทพ ศรีปานแก้ว ซึ่งประจำการที่กองอำนวยการฐานทัพพังงาชั่วคราว เล่าสภาพให้ “ทีมข่าวผู้จัดการรายวัน” ฟัง ท่ามกลางซากปรักหักพังของฐานทัพเรือ ทั้งตัวอาคารกองบัญชาการ อาคารที่พักนายทหารร่วมพันครอบครัว รวมถึงยานพาหนะของทางการและครอบครัวทหารไม่ต่ำกว่าพันคัน เศษซากต้นไม้ เสาไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งเกลื่อนกลาดรอบฐานทัพกินอาณาบริเวณประมาณ 2 ตร.กม. ขณะที่คลังสรรพาวุธ จุดต้นเหตุข่าวเตือนระวังคลังแสงทัพเรือระเบิดหลายหลังยังสงบนิ่งริมทะเล
เวลานี้ เรือรบหลวงกระบุรี หนักกว่าพันตัน ยาวร่วมร้อยเมตร เรือใหญ่สุดของฐานทัพเรือพังงาถูกคลื่นยักษ์ยกขึ้นมาเกยตื้น ส่วนเรือรบ 215 จมหายในท้องทะเล ยังเหลือเรือรบที่อยู่ในสภาพออกช่วยเหลือตามเกาะแก่งอยู่ประมาณ 7 ลำ จากที่มีอยู่ทั้งหมด 11 ลำ
นี่ยังไม่นับความสูญเสียของอาวุธยุทโธปกรณ์ ยวดยานพาหนะของฐานทัพนับร้อยๆ คันที่ถูกพัดหาย โรงงานซ่อมเรือรบยับเยิน เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ล้วนใช้การไม่ได้เพราะเสียหายจากการถูกน้ำเค็มท่วม
ฐานทัพเรือพังงา ที่รับผิดชอบน่านน้ำทะเลอันดามัน ราบเป็นหน้ากลอง กระทั่งบ้านพักรองผู้บัญชาการฯ ยังเหลือเพียงตอม่อ ขณะที่บ้านพักผู้บัญชาการฯ ก็พังพินาศ เพราะอยู่ติดริมทะเล
“ถ้าฐานเราไม่พังคงให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้มากกว่านี้เพราะที่นี่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมที่สุด แต่นี่กลายเป็นว่าฐานทัพยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และยังไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือดูแล ยิ่งกว่าชาวต่างชาติเสียอีก” นาวาโทสุเทพ และเพื่อนนายทหารที่ประจำกองอำนวยการชั่วคราว เล่าให้ฟัง
กองอำนวยการชั่วคราวที่ตั้งขึ้นในวันที่ ผบ.ทร. บินตรวจความเสียหายเมื่อ 28 ธ.ค.หลังเกิดเหตุแล้ว 3 วันนั้นยังอยู่ในสภาพที่ติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ นายทหารช่างกลุ่มหนึ่งกำลังขมักเขม้นติดตั้งรถโมบายและจานดาวเทียมเพื่อให้การติดต่อสื่อสารใช้งานได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ครอบครัวจะสูญหายและฐานทัพจะพังยับเยิน แต่ภารกิจแรกของทหารเรือที่นี่กลับไม่ใช่การค้นหาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกหลาน ซึ่งอาศัยกันอยู่ภายในฐานทัพนับพันครอบครัวที่สูญหายไปกับคลื่นยักษ์ พวกเขาบางส่วนยังคงปฏิบัติหน้าที่ล่องเรือกลางทะเลลัดเลาะตามเกาะแก่งค้นหาผู้สูญหายและเก็บซากศพลอยล่องมากับกระแสน้ำ และอีกส่วนหนึ่งก็อพยพเข้ามาอยู่วัดหลักแก่น ศูนย์รวมความช่วยเหลือของอ.ท้ายเหมือง ที่อยู่ห่างจากฐานทัพประมาณ 3 กม. เพื่อรอคำสั่งจากหน่วยเหนือ
“นี่ก็วันที่สามวันที่สี่แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าน้องชายที่ประจำการที่นี่หายไปไหน เขาเป็นทหารเรือช่วยเหลือคนอื่นมาตลอดนับสิบๆ ปี แต่พอเขาสูญหายไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเลย” อัมพร พี่สาวของนายทหารเรือคนหนึ่งซึ่งบินด่วนลงมาค้นหาน้องชายคร่ำครวญ พร้อมกับทอดสายตาไปยังดงไม้ในบริเวณฐานทัพที่กลายสภาพเป็นสุสานคนและซากรถเกลื่อนกลาด
อัมพร พร้อมด้วยญาติๆ ของนายทหารเรือนับสิบคนจับกลุ่มอยู่ริมถนนหน้าฐานทัพเพื่อเฝ้าติดตามการเข้าเคลียร์พื้นที่ที่ยังคงไร้วี่แววการเข้ามาช่วยเหลือของหน่วยกู้ภัยใดๆ โดยไม่หวั่นเกรงข่าวลือในเกือบเที่ยงของวันที่ 28 ธ.ค. เรื่องคลังแสงระเบิดให้คนรอบฐานทัพในรัศมี 20 กม. อพยพออกจากพื้นที่ด่วน
“พี่มาตามหาเพื่อน พี่กับแฟนเพิ่งเจอกันเมื่อคืนนี้เอง พี่กับเขาหากันอยู่สองวันนึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ปู เจ้าหน้าที่ในฐานทัพเรือ หนึ่งในกลุ่มคนที่มาตามหาญาติ บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“รูปที่ถ่ายไว้ช่วยส่งให้พี่ได้ไหม พี่จะเก็บเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานตามหาพวกเขา” เธอขอร้องและให้ที่อยู่เพื่อนที่เป็นอาจารย์อีกคนไว้เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะพักที่ไหน จะอยู่อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างสูญหายไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่ง
พันจ่าเอกอนุรักษ์ ก๊อกใหญ่ นายทหารเรือที่รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ บอกว่า ฐานทัพเรือได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีคนตายแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อเลย พอจะมีข่าวก็กลายเป็นเรื่องคลังแสงจะระเบิด ที่นี่เขาเรียกว่าคลังสรรพาวุธ ซึ่งเก็บอาวุธประจำเรือ ลูกปืนเรือ และโอกาสระเบิดแทบไม่มีเพราะถูกน้ำทะเลท่วมเสียหายหมด และข่าวที่ออกไปก็เพียงว่ามีคนตาย 7-8 คนทั้งที่ความจริงแล้วมากกว่านั้นแต่ยังไม่มีการค้นหากันเลย ที่รอดตายก็หาทางช่วยเหลือตัวเอง ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งให้เข้ารายงานตัวแต่อย่างใด จึงยังไม่รู้ว่าเหลือรอดกันมากน้อยแค่ไหน
เขาบอกว่า วันอาทิตย์ที่เกิดเหตุส่วนใหญ่ลูกหลานทหารเรือจะวิ่งเล่นกันหน้าบ้านพักซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่นับสิบอาคาร ขณะที่บรรดานายทหาร นักท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง กำลังออกรอบตีกอล์ฟในสนามกอล์ฟ“ศูนย์พัฒนากีฬาทับละมุ” ของฐานทัพ ซึ่งอยู่ติดกับทะเลรับคลื่นยักษ์ตรงๆ โดยที่มีลูกหลานทหารเรือทำงานเป็นแคดดี้
“วันนั้นมีรถที่เข้ามาตีกอล์ฟประมาณ 50 คัน คนที่อยู่ในสนามกอล์ฟวันนั้นคาดว่าประมาณ 200 คน เพราะเป็นวันหยุด แขกเยอะ ก็คงไม่มีเหลือ” หนึ่งในกลุ่มทหารเรือที่รอดตาย ให้ข้อมูล
“คนที่เห็นคลื่นก่อนใครอื่นก็เป็นกลุ่มที่ตีกอล์ฟอยู่ริมทะเล ส่วนตัวผมวิ่งขึ้นไปอยู่ที่ชั้นสอง บ้านพักผมอยู่อาคารหลังๆ ไม่ได้รับแรงปะทะโดยตรง จึงรอดมาได้” พันจ่าเอกอนุรักษ์ เล่าต่อพร้อมกับชี้มือไปยังซากอาคารบ้านพักซึ่งถูกทับถมด้วยเศษไม้ เศษซากสารพัดไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น
ความสูญเสียของฐานทัพเรือพังงา ยังไม่อาจประเมินค่าได้ แต่อย่างไรก็ตามยังนับว่ามีความโชคดีเพราะว่าก่อนหน้านี้มีกลุ่มนักเรียนมาตั้งค่ายลูกเสือในฐานทัพ ประมาณ 300 คน
“เด็กๆ เพิ่งออกไปเพียง 15 นาทีคลื่นยักษ์ก็ซัดถล่มเข้ามา ถ้าไม่อย่างนั้นคงเกิดเหตุเศร้าสลดกันมากกว่านี้ และโชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านทับละมุอีกหลายร้อยไม่ได้มาเรียน” พันจ่าเอกอนุรักษ์ เล่าให้ฟังขณะพาทีมข่าว “ผู้จัดการรายวัน” ตระเวณรอบฐานทัพเรือที่เหลือแต่ซาก
พันจ่าเอกอนุรักษ์ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการให้ข้อมูลเพื่อให้ความจริงที่เกิดขึ้นกับฐานทัพเรือพังงาปรากฏสู่สาธารณะเพื่อจะได้มีการเข้ามาระดมให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหารที่เคราะห์ร้ายอย่างเร่งด่วน หลังจากเหตุการณ์ร้ายผ่านไปโดยไร้วี่แววการเข้ามาค้นหาผู้สูญหายในฐานทัพมา 3-4 วันแล้ว เขาได้แต่หวังว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ยังรอความหวังว่าจะได้พบญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้สูญหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม
ทางด้านจ่าเอกนิธินันท์ สุขพราว กับลูกสาววัย 6 ขวบ ที่เกาะแขนผู้เป็นพ่อแน่นที่พักในวัดหลักแก่น เล่านาทีชีวิตว่า เขาได้ยินเสียงคลื่นถาโถมเข้ามาก็รีบวิ่งเข้าไปอุ้มลูกสาวโยนขึ้นรถปิ๊กอัพขับหนีทันที
“ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องหนีให้เร็วที่สุด ผมไม่รู้ว่าลูกคนอื่นๆ พ่อแม่เขาจะช่วยเหลือทันหรือไม่” จ่าเอกนิธินันท์ กล่าว
ส่วน ประนอม จันทร์แสง ภรรยานายทหารเรือเคียงข้างด้วยลูกชาย เล่าว่า ในฐานทัพอยู่กันเยอะนับพันครอบครัว ตีว่าครอบครัวหนึ่งมีลูกด้วยก็ตกประมาณ 3,000 คน ที่พักอาศัยในฐานทัพ ที่สูญหายไปส่วนหนึ่งเป็นเด็กๆ
ครอบครัวของ ประนอม นับว่าโชคดีเพราะปกติวันหยุดเธอจะรับลูกชายจากซึ่งเรียนอยู่ที่ภูเก็ตมาหาพ่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้านพักในฐานทัพแต่วันดังกล่าว เธอไม่ได้กลับไปฐานเพราะสามีที่เป็นทหารเรือไปสวนที่อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ฯ
“วันนี้พี่เหลือแต่ชุดติดตัว ไม่ต้องไปคิดถึงทรัพย์สินข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่รู้อยู่ในสภาพไหนเพราะเขายังไม่ให้เข้าไปดู” ประนอม เล่าให้ฟัง
ประพฤทธิ์ ยูถนันท์ นายอำเภอท้ายเหมือง จ.พังงา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ตั้งฐานทัพเรือเสียหายหมดเลย ทั้งบ้านพักของผู้บัญชาการฐานทัพเรือ บ้าน เสธ. บ้านรองฯ พังหมด เสื้อผ้าเหลืออยู่ชุดเดียว เรือรบเกยตื้นพัดมาไม่เหลือ อาวุธก็ไม่รู้อยู่ยังไงแล้ว รถยนต์ที่ทุกคนใช้อยู่เสียหายหมด
“ฐานทัพเรือพังงาก็เหมือนกับว่าไม่มีฐานแล้ว มีแต่คน มาอยู่กันในวัด มาตั้งฐานทัพกันในวัดแล้ว” นายอำเภอท้ายเหมือง กล่าว
ฐานทัพเรือพังงา ในวันนี้ไม่อยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติหน้าที่ปกป้องรักษาประเทศเต็มร้อย และยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่จะกู้ซากฐานทัพเรือพังงาให้กลับมาคืนสู่สภาพดังเดิม
เวลานี้ เรือรบหลวงกระบุรี หนักกว่าพันตัน ยาวร่วมร้อยเมตร เรือใหญ่สุดของฐานทัพเรือพังงาถูกคลื่นยักษ์ยกขึ้นมาเกยตื้น ส่วนเรือรบ 215 จมหายในท้องทะเล ยังเหลือเรือรบที่อยู่ในสภาพออกช่วยเหลือตามเกาะแก่งอยู่ประมาณ 7 ลำ จากที่มีอยู่ทั้งหมด 11 ลำ
นี่ยังไม่นับความสูญเสียของอาวุธยุทโธปกรณ์ ยวดยานพาหนะของฐานทัพนับร้อยๆ คันที่ถูกพัดหาย โรงงานซ่อมเรือรบยับเยิน เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ล้วนใช้การไม่ได้เพราะเสียหายจากการถูกน้ำเค็มท่วม
ฐานทัพเรือพังงา ที่รับผิดชอบน่านน้ำทะเลอันดามัน ราบเป็นหน้ากลอง กระทั่งบ้านพักรองผู้บัญชาการฯ ยังเหลือเพียงตอม่อ ขณะที่บ้านพักผู้บัญชาการฯ ก็พังพินาศ เพราะอยู่ติดริมทะเล
“ถ้าฐานเราไม่พังคงให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้มากกว่านี้เพราะที่นี่มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมที่สุด แต่นี่กลายเป็นว่าฐานทัพยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และยังไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือดูแล ยิ่งกว่าชาวต่างชาติเสียอีก” นาวาโทสุเทพ และเพื่อนนายทหารที่ประจำกองอำนวยการชั่วคราว เล่าให้ฟัง
กองอำนวยการชั่วคราวที่ตั้งขึ้นในวันที่ ผบ.ทร. บินตรวจความเสียหายเมื่อ 28 ธ.ค.หลังเกิดเหตุแล้ว 3 วันนั้นยังอยู่ในสภาพที่ติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ นายทหารช่างกลุ่มหนึ่งกำลังขมักเขม้นติดตั้งรถโมบายและจานดาวเทียมเพื่อให้การติดต่อสื่อสารใช้งานได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ครอบครัวจะสูญหายและฐานทัพจะพังยับเยิน แต่ภารกิจแรกของทหารเรือที่นี่กลับไม่ใช่การค้นหาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกหลาน ซึ่งอาศัยกันอยู่ภายในฐานทัพนับพันครอบครัวที่สูญหายไปกับคลื่นยักษ์ พวกเขาบางส่วนยังคงปฏิบัติหน้าที่ล่องเรือกลางทะเลลัดเลาะตามเกาะแก่งค้นหาผู้สูญหายและเก็บซากศพลอยล่องมากับกระแสน้ำ และอีกส่วนหนึ่งก็อพยพเข้ามาอยู่วัดหลักแก่น ศูนย์รวมความช่วยเหลือของอ.ท้ายเหมือง ที่อยู่ห่างจากฐานทัพประมาณ 3 กม. เพื่อรอคำสั่งจากหน่วยเหนือ
“นี่ก็วันที่สามวันที่สี่แล้ว ยังไม่รู้เลยว่าน้องชายที่ประจำการที่นี่หายไปไหน เขาเป็นทหารเรือช่วยเหลือคนอื่นมาตลอดนับสิบๆ ปี แต่พอเขาสูญหายไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเลย” อัมพร พี่สาวของนายทหารเรือคนหนึ่งซึ่งบินด่วนลงมาค้นหาน้องชายคร่ำครวญ พร้อมกับทอดสายตาไปยังดงไม้ในบริเวณฐานทัพที่กลายสภาพเป็นสุสานคนและซากรถเกลื่อนกลาด
อัมพร พร้อมด้วยญาติๆ ของนายทหารเรือนับสิบคนจับกลุ่มอยู่ริมถนนหน้าฐานทัพเพื่อเฝ้าติดตามการเข้าเคลียร์พื้นที่ที่ยังคงไร้วี่แววการเข้ามาช่วยเหลือของหน่วยกู้ภัยใดๆ โดยไม่หวั่นเกรงข่าวลือในเกือบเที่ยงของวันที่ 28 ธ.ค. เรื่องคลังแสงระเบิดให้คนรอบฐานทัพในรัศมี 20 กม. อพยพออกจากพื้นที่ด่วน
“พี่มาตามหาเพื่อน พี่กับแฟนเพิ่งเจอกันเมื่อคืนนี้เอง พี่กับเขาหากันอยู่สองวันนึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ปู เจ้าหน้าที่ในฐานทัพเรือ หนึ่งในกลุ่มคนที่มาตามหาญาติ บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“รูปที่ถ่ายไว้ช่วยส่งให้พี่ได้ไหม พี่จะเก็บเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานตามหาพวกเขา” เธอขอร้องและให้ที่อยู่เพื่อนที่เป็นอาจารย์อีกคนไว้เนื่องจากตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าจะพักที่ไหน จะอยู่อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างสูญหายไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่ง
พันจ่าเอกอนุรักษ์ ก๊อกใหญ่ นายทหารเรือที่รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ บอกว่า ฐานทัพเรือได้รับความเสียหายอย่างหนัก และมีคนตายแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อเลย พอจะมีข่าวก็กลายเป็นเรื่องคลังแสงจะระเบิด ที่นี่เขาเรียกว่าคลังสรรพาวุธ ซึ่งเก็บอาวุธประจำเรือ ลูกปืนเรือ และโอกาสระเบิดแทบไม่มีเพราะถูกน้ำทะเลท่วมเสียหายหมด และข่าวที่ออกไปก็เพียงว่ามีคนตาย 7-8 คนทั้งที่ความจริงแล้วมากกว่านั้นแต่ยังไม่มีการค้นหากันเลย ที่รอดตายก็หาทางช่วยเหลือตัวเอง ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งให้เข้ารายงานตัวแต่อย่างใด จึงยังไม่รู้ว่าเหลือรอดกันมากน้อยแค่ไหน
เขาบอกว่า วันอาทิตย์ที่เกิดเหตุส่วนใหญ่ลูกหลานทหารเรือจะวิ่งเล่นกันหน้าบ้านพักซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่นับสิบอาคาร ขณะที่บรรดานายทหาร นักท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียง กำลังออกรอบตีกอล์ฟในสนามกอล์ฟ“ศูนย์พัฒนากีฬาทับละมุ” ของฐานทัพ ซึ่งอยู่ติดกับทะเลรับคลื่นยักษ์ตรงๆ โดยที่มีลูกหลานทหารเรือทำงานเป็นแคดดี้
“วันนั้นมีรถที่เข้ามาตีกอล์ฟประมาณ 50 คัน คนที่อยู่ในสนามกอล์ฟวันนั้นคาดว่าประมาณ 200 คน เพราะเป็นวันหยุด แขกเยอะ ก็คงไม่มีเหลือ” หนึ่งในกลุ่มทหารเรือที่รอดตาย ให้ข้อมูล
“คนที่เห็นคลื่นก่อนใครอื่นก็เป็นกลุ่มที่ตีกอล์ฟอยู่ริมทะเล ส่วนตัวผมวิ่งขึ้นไปอยู่ที่ชั้นสอง บ้านพักผมอยู่อาคารหลังๆ ไม่ได้รับแรงปะทะโดยตรง จึงรอดมาได้” พันจ่าเอกอนุรักษ์ เล่าต่อพร้อมกับชี้มือไปยังซากอาคารบ้านพักซึ่งถูกทับถมด้วยเศษไม้ เศษซากสารพัดไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น
ความสูญเสียของฐานทัพเรือพังงา ยังไม่อาจประเมินค่าได้ แต่อย่างไรก็ตามยังนับว่ามีความโชคดีเพราะว่าก่อนหน้านี้มีกลุ่มนักเรียนมาตั้งค่ายลูกเสือในฐานทัพ ประมาณ 300 คน
“เด็กๆ เพิ่งออกไปเพียง 15 นาทีคลื่นยักษ์ก็ซัดถล่มเข้ามา ถ้าไม่อย่างนั้นคงเกิดเหตุเศร้าสลดกันมากกว่านี้ และโชคดีที่เป็นวันอาทิตย์ เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านทับละมุอีกหลายร้อยไม่ได้มาเรียน” พันจ่าเอกอนุรักษ์ เล่าให้ฟังขณะพาทีมข่าว “ผู้จัดการรายวัน” ตระเวณรอบฐานทัพเรือที่เหลือแต่ซาก
พันจ่าเอกอนุรักษ์ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการให้ข้อมูลเพื่อให้ความจริงที่เกิดขึ้นกับฐานทัพเรือพังงาปรากฏสู่สาธารณะเพื่อจะได้มีการเข้ามาระดมให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหารที่เคราะห์ร้ายอย่างเร่งด่วน หลังจากเหตุการณ์ร้ายผ่านไปโดยไร้วี่แววการเข้ามาค้นหาผู้สูญหายในฐานทัพมา 3-4 วันแล้ว เขาได้แต่หวังว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ยังรอความหวังว่าจะได้พบญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้สูญหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม
ทางด้านจ่าเอกนิธินันท์ สุขพราว กับลูกสาววัย 6 ขวบ ที่เกาะแขนผู้เป็นพ่อแน่นที่พักในวัดหลักแก่น เล่านาทีชีวิตว่า เขาได้ยินเสียงคลื่นถาโถมเข้ามาก็รีบวิ่งเข้าไปอุ้มลูกสาวโยนขึ้นรถปิ๊กอัพขับหนีทันที
“ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องหนีให้เร็วที่สุด ผมไม่รู้ว่าลูกคนอื่นๆ พ่อแม่เขาจะช่วยเหลือทันหรือไม่” จ่าเอกนิธินันท์ กล่าว
ส่วน ประนอม จันทร์แสง ภรรยานายทหารเรือเคียงข้างด้วยลูกชาย เล่าว่า ในฐานทัพอยู่กันเยอะนับพันครอบครัว ตีว่าครอบครัวหนึ่งมีลูกด้วยก็ตกประมาณ 3,000 คน ที่พักอาศัยในฐานทัพ ที่สูญหายไปส่วนหนึ่งเป็นเด็กๆ
ครอบครัวของ ประนอม นับว่าโชคดีเพราะปกติวันหยุดเธอจะรับลูกชายจากซึ่งเรียนอยู่ที่ภูเก็ตมาหาพ่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้านพักในฐานทัพแต่วันดังกล่าว เธอไม่ได้กลับไปฐานเพราะสามีที่เป็นทหารเรือไปสวนที่อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ฯ
“วันนี้พี่เหลือแต่ชุดติดตัว ไม่ต้องไปคิดถึงทรัพย์สินข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่รู้อยู่ในสภาพไหนเพราะเขายังไม่ให้เข้าไปดู” ประนอม เล่าให้ฟัง
ประพฤทธิ์ ยูถนันท์ นายอำเภอท้ายเหมือง จ.พังงา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ตั้งฐานทัพเรือเสียหายหมดเลย ทั้งบ้านพักของผู้บัญชาการฐานทัพเรือ บ้าน เสธ. บ้านรองฯ พังหมด เสื้อผ้าเหลืออยู่ชุดเดียว เรือรบเกยตื้นพัดมาไม่เหลือ อาวุธก็ไม่รู้อยู่ยังไงแล้ว รถยนต์ที่ทุกคนใช้อยู่เสียหายหมด
“ฐานทัพเรือพังงาก็เหมือนกับว่าไม่มีฐานแล้ว มีแต่คน มาอยู่กันในวัด มาตั้งฐานทัพกันในวัดแล้ว” นายอำเภอท้ายเหมือง กล่าว
ฐานทัพเรือพังงา ในวันนี้ไม่อยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติหน้าที่ปกป้องรักษาประเทศเต็มร้อย และยังไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่จะกู้ซากฐานทัพเรือพังงาให้กลับมาคืนสู่สภาพดังเดิม