นักวิชาการด้านความมั่นคง ชี้สิงคโปร์เช่าสนามบินกองบิน 23 อุดรธานี เป็นความร่วมมือที่ไม่ปกติ ระวังลากดึงไทยผนึกแน่นสหรัฐฯ เสี่ยงส่งสัญญาณผิด เกิดความหวาดระแวงกับเพื่อนบ้านในภูมิภาค
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกรณีที่กระทรวงกลาโหม สิงคโปร์ทำบันทึกข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมในการขอเช่าสนามบินกองบิน 23 จ.อุดรธานี แลกกับการมอบเครื่องบินรบเอฟ 16 จำนวน 7 ลำ ให้กองทัพอากาศไทย ว่า ถือเป็นการตกลงด้านการทหารระหว่างประเทศที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก เนื่องจากเป็นการกำหนดกรอบเวลาระยะยาวถึง 15 ปี ขณะที่ปกติแล้วสิงคโปร์และไทยก็มีการร่วมมือระหว่างกันอยู่แล้ว เช่น ด้านข่าวกรอง การซ้อมรบคอบร้า โกลด์ และการซ้อมรบของทหารบก เป็นต้น ซึ่งเป็นความร่วมมือเฉพาะกิจระยะสั้นเท่านั้น
“ในความสัมพันธ์โดยรวมแล้ว การตกลงกันอย่างนี้จะเพิ่มระดับความเป็นพันธมิตรระหว่างไทยและสิงคโปร์กันมากขึ้น ที่ต้องห่วงคือท่าทีแบบนี้จะไปกระทบกับเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าสิงคโปร์และประเทศเหล่านี้มีแรงเสียดทานด้านกองทัพสูงอยู่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะส่งสัญญาณอะไรให้เพื่อนบ้านหรือไม่ ว่าเรามีภัยคุกคามหรือเปล่า หรือเราต้องการถ่วงดุลหรือไม่อย่างไร” ดร.ปณิธานกล่าว
อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งข้อสังเกตต่อว่า ขณะนี้เรายังไม่ทราบว่ากระทรวงกลาโหมมีข้อแลกเปลี่ยนทั้งหมดอย่างไรบ้าง ซึ่งตนเชื่อว่าน่าจะมีมากกว่าการได้รับเอฟ 16 เนื่องจากตามระเบียบสำนักนายกฯ ที่ว่าด้วยการซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธ จะต้องมีเงื่อนไขมากกว่าตัวอาวุธ การฝึก การซ่อมบำรุง อย่างที่ผ่านมา เช่น การแลกเปลี่ยนอาวุธกับสินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญมากที่ฝ่ายการเมืองจะพิจารณาทำการตกลงกับประเทศอื่นๆ
"ที่สำคัญคือการนำเอฟ 16 มาประจำการอีกนั้น ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศ เนื่องจากเรากำลังจะปลดประจำการเอฟ 16 และนำเครื่องบินรบที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามาประจำการ เช่น เครื่องบินรบจากสวีเดนและรัสเซีย"
ดร.ปณิธาน ระบุต่อว่า เป็นที่รู้กันว่าในมุมมองของสิงคโปร์นั้นมองประเทศไทยเป็นฐานส่วนหน้า (Forward Base) เพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศรอบข้าง โดยต้องการดึงภาพของประเทศไทยให้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสิงคโปร์และสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงประเทศไทยได้ และที่ผ่านมาประเทศในอาเซียนค่อนข้างจะระมัดระวังท่าทีแบบนี้มาโดยตลอด เพราะเกรงว่าจะเป็นการส่งสัญญาณผิดและทำให้เกิดความขัดแย้งตามมา
“สิงคโปร์และสหรัฐฯ มียุทธศาสตร์ร่วมกันที่ชัดเจนมาก เพราะเขาต้องระวังภัยจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบมะละกาและท่าทีของจีน”
ดร.ปณิธาน เสนอว่า รัฐบาลควรจะสร้างยุทธศาสตร์ที่ถ่วงดุล และรักษาความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ต้องตระหนักขณะนี้คือสิงคโปร์เองก็พร้อมที่จะซื้อความสัมพันธ์ที่แนบชิดอย่างนี้กับไทย
ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกรณีที่กระทรวงกลาโหม สิงคโปร์ทำบันทึกข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมในการขอเช่าสนามบินกองบิน 23 จ.อุดรธานี แลกกับการมอบเครื่องบินรบเอฟ 16 จำนวน 7 ลำ ให้กองทัพอากาศไทย ว่า ถือเป็นการตกลงด้านการทหารระหว่างประเทศที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก เนื่องจากเป็นการกำหนดกรอบเวลาระยะยาวถึง 15 ปี ขณะที่ปกติแล้วสิงคโปร์และไทยก็มีการร่วมมือระหว่างกันอยู่แล้ว เช่น ด้านข่าวกรอง การซ้อมรบคอบร้า โกลด์ และการซ้อมรบของทหารบก เป็นต้น ซึ่งเป็นความร่วมมือเฉพาะกิจระยะสั้นเท่านั้น
“ในความสัมพันธ์โดยรวมแล้ว การตกลงกันอย่างนี้จะเพิ่มระดับความเป็นพันธมิตรระหว่างไทยและสิงคโปร์กันมากขึ้น ที่ต้องห่วงคือท่าทีแบบนี้จะไปกระทบกับเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน หรือไม่อย่างไร เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าสิงคโปร์และประเทศเหล่านี้มีแรงเสียดทานด้านกองทัพสูงอยู่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะส่งสัญญาณอะไรให้เพื่อนบ้านหรือไม่ ว่าเรามีภัยคุกคามหรือเปล่า หรือเราต้องการถ่วงดุลหรือไม่อย่างไร” ดร.ปณิธานกล่าว
อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งข้อสังเกตต่อว่า ขณะนี้เรายังไม่ทราบว่ากระทรวงกลาโหมมีข้อแลกเปลี่ยนทั้งหมดอย่างไรบ้าง ซึ่งตนเชื่อว่าน่าจะมีมากกว่าการได้รับเอฟ 16 เนื่องจากตามระเบียบสำนักนายกฯ ที่ว่าด้วยการซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธ จะต้องมีเงื่อนไขมากกว่าตัวอาวุธ การฝึก การซ่อมบำรุง อย่างที่ผ่านมา เช่น การแลกเปลี่ยนอาวุธกับสินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนสำคัญมากที่ฝ่ายการเมืองจะพิจารณาทำการตกลงกับประเทศอื่นๆ
"ที่สำคัญคือการนำเอฟ 16 มาประจำการอีกนั้น ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การใช้กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศ เนื่องจากเรากำลังจะปลดประจำการเอฟ 16 และนำเครื่องบินรบที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามาประจำการ เช่น เครื่องบินรบจากสวีเดนและรัสเซีย"
ดร.ปณิธาน ระบุต่อว่า เป็นที่รู้กันว่าในมุมมองของสิงคโปร์นั้นมองประเทศไทยเป็นฐานส่วนหน้า (Forward Base) เพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศรอบข้าง โดยต้องการดึงภาพของประเทศไทยให้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสิงคโปร์และสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงประเทศไทยได้ และที่ผ่านมาประเทศในอาเซียนค่อนข้างจะระมัดระวังท่าทีแบบนี้มาโดยตลอด เพราะเกรงว่าจะเป็นการส่งสัญญาณผิดและทำให้เกิดความขัดแย้งตามมา
“สิงคโปร์และสหรัฐฯ มียุทธศาสตร์ร่วมกันที่ชัดเจนมาก เพราะเขาต้องระวังภัยจุดยุทธศาสตร์อย่างช่องแคบมะละกาและท่าทีของจีน”
ดร.ปณิธาน เสนอว่า รัฐบาลควรจะสร้างยุทธศาสตร์ที่ถ่วงดุล และรักษาความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ต้องตระหนักขณะนี้คือสิงคโปร์เองก็พร้อมที่จะซื้อความสัมพันธ์ที่แนบชิดอย่างนี้กับไทย