“ถ้าเรามีเกษตรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นด้านบวกต่อภาพลักษณ์ของสินค้าเกษตรไทย แม้เพียง 1 – 2 % เท่านั้นก็ตาม แทนที่ภาพของประเทศไทยจะผูกติดกับจีเอ็มโอ ซึ่งที่จริงแล้วจีเอ็มโอเองก็มีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด ที่รักก็รักมากเหลือเกิน ส่วนที่เกลียดก็เกลียดมากด้วย แต่เกษตรอินทรีย์มีแต่คนรัก มีแต่คนซื้อ” นายวิฑูรย์ ปัญญากุล ในฐานะผู้จัดการฝ่ายคุณภาพ สหกรณ์กรีนเนท จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการ”
เหตุการณ์ที่คาร์ฟู ฝรั่งเศส และเยอรมันสั่งแบนฟรุ้ตสลัดที่มีมะละกอเป็นส่วนประกอบของบริษัทผู้ส่งออกสินค้าผลไม้กระป๋องรายใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังข่าวการแพร่สะพัดการปนเปื้อนมะละกอจีเอ็มโอสู่แปลงเพาะปลูกทั่วไป อาจเป็นการสะท้อนภาพของคนที่เกลียดและไม่ยอมรับจีเอ็มโอจากอีกครึ่งโลกก็เป็นได้
นายวิฑูรย์ สะท้อนว่า เกษตรอินทรีย์ เหมาะสมสำหรับการผลิตในดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ของประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย และมีตลาดกว้างใหญ่ไพศาลในยุโรป อเมริกา อีกทั้งมีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 20 % ต่อปี และมีมูลค่าโดยรวมทั้งโลกสูงถึง 4 แสนล้านเหรียญ ในขณะที่ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกรวม 800 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึงปีละ 5 – 10 % ศักยภาพการตลาดนี้ดูจะมีเสน่ห์น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าจีเอ็มโอเลย
นครหลวงค้าข้าวลุยเกษตรอินทรีย์
ท่ามกระแสการเรียกร้องให้ทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการเปิดไฟเขียวให้ปลูกจีเอ็มโอร่วมกับพืชทั่วไปได้นั้น กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีบทบาทในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชมรมผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ไทย ซึ่งระดับแกนนนำที่สำคัญคือ ทายาทของกลุ่มนครหลวงค้าข้าว บริษัทผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของประเทศ
นายวัลลภ พิชญ์พงศ์ศา ทายาทหัวปีของเครือธุรกิจนครหลวงค้าข้าว เล่าว่า บริษัทหันมาสนใจธุรกิจเกษตรอินทรีย์โดยได้รับแรงจูงใจจากกลุ่มผู้บริโภคในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่สนใจในผลิตภัณฑ์ออแกนิกส์มาก บริษัทจึงหันมาเปิดตลาดข้าวอินทรีย์ในปี 2534 นับเป็นเอกชนรายแรกของประเทศที่หันมาสนใจธุรกิจนี้อย่างจริงจัง
ต่อมา ในปี 2545 วัลลภ ก็ตั้งบริษัทท๊อปออร์กานิก โปรดักส์แอนด์ซัพพลายส์ จำกัด โดยการร่วมหุ้นกับพันธมิตรในอิตาลี เพื่อเปิดตลาดสินค้าเกษตรอันหลากหลายชนิดรองรับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว
“บริษัทเริ่มส่งออกข้าวอินทรีย์ลอตแรกเมื่อปี 2537 ให้กับลูกค้าที่ยุโรปคืออิตาลี แล้วคู่ค้าก็จะกระจายสินค้าไปทั่วยุโรป ตอนนี้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ปีนี้สินค้าของท๊อปฯ นอกจากข้าวหอมมะลิซึ่งเรารับซื้อจากเกษตรกรในโครงการจากเชียงรายและพะเยาแล้ว เราก็มีกุ้งกุลาดำอินทรีย์จากสมุทรปราการและชุมพร กะทิจากจันทบุรี ภายใต้แบรนด์เกรทฮาเวสต์ และไทไท” นายวัลลภกล่าว
ในภาคการผลิตเกษตรอินทรีย์จะต้องพิถีพิถันกว่าเกษตรทั่วไป นายวัลลภ เปิดเผยว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่ได้มีฟาร์มเป็นของตัวเอง แต่จะรับซื้อจากเกษตรกรที่มีการจัดระบบการผลิตที่ได้มาตรฐาน และประสานงานให้หน่วยงานรับรองมาตรฐานเข้ามาตรวจสอบ โดยกระบวนการของบริษัทท๊อปฯ ตั้งแต่การผลิตจนถึงขั้นการส่งออกนั้น ได้รับมาตรฐานสากล IFOAM
“ในส่วนของข้าว เราจะรับซื้อจากเกษตรกรในรอยต่อ อ.เทิง จ.เชียงราย และ อ.จุน จ.พะเยาในเนื้อที่กว่า 6,000 ไร่ ซึ่งประสานงานกับกรมวิชาการเกษตรในการหาพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนจากสถานีทดลองข้าว อ.พาน จ.เชียงราย ในการจัดการศึกษาให้เกษตรกรในเรื่องระบบการผลิต การทำปุ๋ยพืชสด ส่วนการสีข้าวเราจะส่งต่อให้โรงสีชัยวิวัฒน์ ที่เชียงใหม่ซึ่งผ่านการรับรองเช่นกัน โดยมีสถานีทดลองข้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ดูแลในการสุ่มตัวอย่างตรวจสอบคุณภาพ นอกจากนี้ศูนย์วิจัยข้าว จ.แพร่ จะช่วยตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ดินจากการทำเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งมาตรฐานของข้าวในเรื่องสี ความหอม และเปอร์เซนต์ข้าวสารต่อข้าวเปลือก”
ราคาขายของสินค้าเกษตรอินทรีย์นั้น นายวัลลภ ชี้ว่ายังคงสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไป เนื่องจากระบบจัดการที่ต้องใช้ต้นทุนสูง สำหรับตลาดในเมืองไทยทาง บ.ท็อปฯ ส่งขายเพียง 10 % ของสินค้าบริษัท และถือได้ว่าตลาดยังขยายไม่ได้มากเท่าที่ควร สำหรับราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ จะสูงกว่าเกษตรธรรมดาราว 5 % โดยนำรายได้ที่ได้จากต่างประเทศมาประกันให้ เพื่อขยายตลาดในเมืองไทย
สำหรับตลาด 90% ของ บ.ท๊อปฯ ในต่างประเทศ นั้น ส่งไปยุโรปเป็นหลักถึง 90 % และอเมริกาอีก 10 % ปีหนึ่งๆ บริษัทส่งออกข้าวอินทรีย์ได้กว่า 1,000 ตันต่อปี เป็นรายได้ราว 200 ล้านบาท ส่วนกุ้งยังอยู่ในขั้นการผลิตเพื่อเตรียมจะการส่งออก ในขณะที่ตลาดหลายแห่งอย่างออสเตรเลียให้ความสนใจกะทิอินทรีย์ เรียกได้ว่าสำหรับเกษตรอินทรีย์นั้นตลาดยังเปิดกว้างอยู่มาก
สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ในวงการเกษตรอินทรีย์นั้น ทายาทนครหลวงค้าข้าว แนะนำว่า ต้องมีความตั้งใจศึกษาข้อมูลถึงกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด ที่สำคัญคือต้องมี”ความเชื่อมั่น”ในเกษตรอินทรีย์
“มีคนเคยบอกผมว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคของเกษตรอินทรีย์มากที่สุด ก็คือ ความเชื่อในระบบของเกษตรอินทรีย์ ว่าจะสามารถผลิตได้ บางคนก็มีการตั้งคำถามว่าเมื่อไม่ใช้สารเคมี แล้วมันจะขึ้นเหรอ ทั้งที่บางครั้งก็เป็นที่ชัดเจนว่าทำได้ ต้องทลายกำแพงความเชื่อตรงนี้ให้ได้ ว่าจริงๆ แล้วมันทำได้”
“ต้องเชื่อมั่นในปรัชญาและระบบของมัน” นายวัลลภ กล่าว
กรีนเนท อนาคตใหม่เกษตรกรไทย
นอกจากบริษัทท๊อปฯ ของทายาทนครหลวงค้าข้าวแล้ว “สหกรณ์กรีนเนท” เป็นอีกชื่อหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในยุโรป นายวิฑูรย์ ปัญญากุล ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพของสหกรณ์ฯ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ”ว่า ตนเพิ่งต้อนรับคณะสื่อมวลชนจากประเทศเบลเยี่ยม หนึ่งในตลาดของกรีนเนทในยุโรป เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ในไทย
นายวิฑูรย์ เล่าว่า สหกรณ์กรีนเนทมีสมาชิกเป็นเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 1,200 ครอบครัว โดยทำการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิในภาคอีสาน และข้าวโพดฝักอ่อนและถั่วเหลืองในภาคเหนือ กลุ่มนี้จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2536 โดยการต่อยอดจากเครือข่ายเกษตรทางเลือก ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานส่งเสริมการผลิตของเกษตรกรมากว่า 20 ปี และเริ่มต้นเสนอทางเลือกทางการตลาดให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และดำเนินการภายใต้แนวคิดของการค้าที่เป็นธรรม
“ขณะนี้เรามีการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ใน 15 กลุ่ม มีผลิตภัณฑ์กว่า 100 ชนิด และทำการผลิตเพื่อการค้าไปกว่า 20 ชนิด เช่น ข้าวเหลืองอ่อน ข้าวหอมมะลิ ข้าวแดง ถั่งเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด งา เป็นต้น โดยที่กลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายหลักๆ จะอยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือส่งขายในประเทศกับต่างประเทศในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ทำรายได้จากการส่งออกราว ๆ 50 ล้านบาทต่อปี” ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพของสหกรณ์การเกษตรเพียงแห่งเดียวที่อยู่บัญชีของสมาคมผู้ส่งออกข้าว กล่าว
ลูกค้าหลักของกรีนเนทอยู่ในยุโรปด้วยความร่วมมือของกลุ่มการค้าที่ชื่อว่า กลุ่ม Fair Trade ซึ่งช่วยกระจายสินค้าภายใต้แบรนด์อันหลากหลายไปทั่วยุโรปกว่า 10 ประเทศ โดยได้รับการรับรองของ IFOAM เช่นกัน
“ล่าสุดในปีนี้ เรามีเกษตรกรเสนอตัวให้ทางกรีนเนทเข้าไปฝึกอบรมและสนับสนุนการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์จำนวนหลายร้อย เกินกำลังของบุคลากรของเรา ทีมีอยู่เพียง 25 คน จึงต้องขอเลื่อนบางรายไปเป็นปีหน้า” วิฑูรย์ สะท้อนให้เห็นกระแสการตื่นตัวของเกษตรกรที่ได้รับบทเรียนจากการผลิตโดยใช้สารเคมีสูง และผลกระทบด้านลบของตลาดเกษตรทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ทั้ง วัลลภ และวิฑูรย์ ต่างเห็นพ้องว่าอุปสรรคสำคัญของธุรกิจเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ความเข้าใจของผู้บริโภคที่ยังไม่เห็นความแตกต่างและความสำคัญของผลิตภัณฑ์อย่างนี้ และยังขาดการประชาสัมพันธ์โดยภาครัฐ รวมทั้งข้อจำกัดทางวิชาการในบางด้านที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐที่ทำการศึกษาวิจัยเท่าที่ควร
ในขณะที่สมาชิกของชมรมผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกันว่า โอกาสของธุรกิจนี้ยังคงเติบโตสดใสได้ในอนาคต เพราะแนวโน้มคนทั่วไปจะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ซึ่งกระแสนิยมเกษตรอินทรีย์แม้ว่าจะไม่เป็นกระแสหวือหวาหรือโด่งดังเหมือนสินค้าบางชนิด แต่เป็นกระแสที่มีความนิยมและเติบโตอย่างมั่นคง
นายวิฑูรย์ เปรียบเทียบให้ “ผู้จัดการ” ฟังว่าสภาวะดังกล่าวเป็นดั่ง “Snowball Effect” ที่คล้ายก้อนหิมะซึ่งสะสมจากยอดเขาแล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เมื่อทิ้งตัวลงจากยอดเขา
“เกษตรอินทรีย์เป็นเทคโนโลยีชีวภาพด้านหนึ่งที่ควรพัฒนา การขึ้นรถไฟเทคโนโลยีชีวภาพขบวนเกษตรอินทรีย์ น่าจะสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นครัวโลกได้เป็นอย่างดี ส่วนขบวนรถไฟจีเอ็มโอนั้น มีปัญหาเรื่องสิทธิบัตร และมีปัญหาเรื่องการยอมรับของผู้บริโภค โดยไม่ต้องพูดถึงความปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยเลย ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าผู้บริโภคทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ แต่ถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์ทุกคนยอมรับหมด” ผู้จัดการสหกรณ์กรีนเนท กล่าวทิ้งท้าย
เหตุการณ์ที่คาร์ฟู ฝรั่งเศส และเยอรมันสั่งแบนฟรุ้ตสลัดที่มีมะละกอเป็นส่วนประกอบของบริษัทผู้ส่งออกสินค้าผลไม้กระป๋องรายใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังข่าวการแพร่สะพัดการปนเปื้อนมะละกอจีเอ็มโอสู่แปลงเพาะปลูกทั่วไป อาจเป็นการสะท้อนภาพของคนที่เกลียดและไม่ยอมรับจีเอ็มโอจากอีกครึ่งโลกก็เป็นได้
นายวิฑูรย์ สะท้อนว่า เกษตรอินทรีย์ เหมาะสมสำหรับการผลิตในดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ของประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย และมีตลาดกว้างใหญ่ไพศาลในยุโรป อเมริกา อีกทั้งมีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 20 % ต่อปี และมีมูลค่าโดยรวมทั้งโลกสูงถึง 4 แสนล้านเหรียญ ในขณะที่ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกรวม 800 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึงปีละ 5 – 10 % ศักยภาพการตลาดนี้ดูจะมีเสน่ห์น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าจีเอ็มโอเลย
นครหลวงค้าข้าวลุยเกษตรอินทรีย์
ท่ามกระแสการเรียกร้องให้ทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพว่าด้วยการเปิดไฟเขียวให้ปลูกจีเอ็มโอร่วมกับพืชทั่วไปได้นั้น กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีบทบาทในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชมรมผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ไทย ซึ่งระดับแกนนนำที่สำคัญคือ ทายาทของกลุ่มนครหลวงค้าข้าว บริษัทผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของประเทศ
นายวัลลภ พิชญ์พงศ์ศา ทายาทหัวปีของเครือธุรกิจนครหลวงค้าข้าว เล่าว่า บริษัทหันมาสนใจธุรกิจเกษตรอินทรีย์โดยได้รับแรงจูงใจจากกลุ่มผู้บริโภคในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่สนใจในผลิตภัณฑ์ออแกนิกส์มาก บริษัทจึงหันมาเปิดตลาดข้าวอินทรีย์ในปี 2534 นับเป็นเอกชนรายแรกของประเทศที่หันมาสนใจธุรกิจนี้อย่างจริงจัง
ต่อมา ในปี 2545 วัลลภ ก็ตั้งบริษัทท๊อปออร์กานิก โปรดักส์แอนด์ซัพพลายส์ จำกัด โดยการร่วมหุ้นกับพันธมิตรในอิตาลี เพื่อเปิดตลาดสินค้าเกษตรอันหลากหลายชนิดรองรับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว
“บริษัทเริ่มส่งออกข้าวอินทรีย์ลอตแรกเมื่อปี 2537 ให้กับลูกค้าที่ยุโรปคืออิตาลี แล้วคู่ค้าก็จะกระจายสินค้าไปทั่วยุโรป ตอนนี้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ปีนี้สินค้าของท๊อปฯ นอกจากข้าวหอมมะลิซึ่งเรารับซื้อจากเกษตรกรในโครงการจากเชียงรายและพะเยาแล้ว เราก็มีกุ้งกุลาดำอินทรีย์จากสมุทรปราการและชุมพร กะทิจากจันทบุรี ภายใต้แบรนด์เกรทฮาเวสต์ และไทไท” นายวัลลภกล่าว
ในภาคการผลิตเกษตรอินทรีย์จะต้องพิถีพิถันกว่าเกษตรทั่วไป นายวัลลภ เปิดเผยว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่ได้มีฟาร์มเป็นของตัวเอง แต่จะรับซื้อจากเกษตรกรที่มีการจัดระบบการผลิตที่ได้มาตรฐาน และประสานงานให้หน่วยงานรับรองมาตรฐานเข้ามาตรวจสอบ โดยกระบวนการของบริษัทท๊อปฯ ตั้งแต่การผลิตจนถึงขั้นการส่งออกนั้น ได้รับมาตรฐานสากล IFOAM
“ในส่วนของข้าว เราจะรับซื้อจากเกษตรกรในรอยต่อ อ.เทิง จ.เชียงราย และ อ.จุน จ.พะเยาในเนื้อที่กว่า 6,000 ไร่ ซึ่งประสานงานกับกรมวิชาการเกษตรในการหาพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนจากสถานีทดลองข้าว อ.พาน จ.เชียงราย ในการจัดการศึกษาให้เกษตรกรในเรื่องระบบการผลิต การทำปุ๋ยพืชสด ส่วนการสีข้าวเราจะส่งต่อให้โรงสีชัยวิวัฒน์ ที่เชียงใหม่ซึ่งผ่านการรับรองเช่นกัน โดยมีสถานีทดลองข้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ดูแลในการสุ่มตัวอย่างตรวจสอบคุณภาพ นอกจากนี้ศูนย์วิจัยข้าว จ.แพร่ จะช่วยตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ดินจากการทำเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งมาตรฐานของข้าวในเรื่องสี ความหอม และเปอร์เซนต์ข้าวสารต่อข้าวเปลือก”
ราคาขายของสินค้าเกษตรอินทรีย์นั้น นายวัลลภ ชี้ว่ายังคงสูงกว่าสินค้าเกษตรทั่วไป เนื่องจากระบบจัดการที่ต้องใช้ต้นทุนสูง สำหรับตลาดในเมืองไทยทาง บ.ท็อปฯ ส่งขายเพียง 10 % ของสินค้าบริษัท และถือได้ว่าตลาดยังขยายไม่ได้มากเท่าที่ควร สำหรับราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์ จะสูงกว่าเกษตรธรรมดาราว 5 % โดยนำรายได้ที่ได้จากต่างประเทศมาประกันให้ เพื่อขยายตลาดในเมืองไทย
สำหรับตลาด 90% ของ บ.ท๊อปฯ ในต่างประเทศ นั้น ส่งไปยุโรปเป็นหลักถึง 90 % และอเมริกาอีก 10 % ปีหนึ่งๆ บริษัทส่งออกข้าวอินทรีย์ได้กว่า 1,000 ตันต่อปี เป็นรายได้ราว 200 ล้านบาท ส่วนกุ้งยังอยู่ในขั้นการผลิตเพื่อเตรียมจะการส่งออก ในขณะที่ตลาดหลายแห่งอย่างออสเตรเลียให้ความสนใจกะทิอินทรีย์ เรียกได้ว่าสำหรับเกษตรอินทรีย์นั้นตลาดยังเปิดกว้างอยู่มาก
สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ในวงการเกษตรอินทรีย์นั้น ทายาทนครหลวงค้าข้าว แนะนำว่า ต้องมีความตั้งใจศึกษาข้อมูลถึงกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด ที่สำคัญคือต้องมี”ความเชื่อมั่น”ในเกษตรอินทรีย์
“มีคนเคยบอกผมว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคของเกษตรอินทรีย์มากที่สุด ก็คือ ความเชื่อในระบบของเกษตรอินทรีย์ ว่าจะสามารถผลิตได้ บางคนก็มีการตั้งคำถามว่าเมื่อไม่ใช้สารเคมี แล้วมันจะขึ้นเหรอ ทั้งที่บางครั้งก็เป็นที่ชัดเจนว่าทำได้ ต้องทลายกำแพงความเชื่อตรงนี้ให้ได้ ว่าจริงๆ แล้วมันทำได้”
“ต้องเชื่อมั่นในปรัชญาและระบบของมัน” นายวัลลภ กล่าว
กรีนเนท อนาคตใหม่เกษตรกรไทย
นอกจากบริษัทท๊อปฯ ของทายาทนครหลวงค้าข้าวแล้ว “สหกรณ์กรีนเนท” เป็นอีกชื่อหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในยุโรป นายวิฑูรย์ ปัญญากุล ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพของสหกรณ์ฯ เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ”ว่า ตนเพิ่งต้อนรับคณะสื่อมวลชนจากประเทศเบลเยี่ยม หนึ่งในตลาดของกรีนเนทในยุโรป เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ในไทย
นายวิฑูรย์ เล่าว่า สหกรณ์กรีนเนทมีสมาชิกเป็นเกษตรกรทั่วประเทศกว่า 1,200 ครอบครัว โดยทำการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิในภาคอีสาน และข้าวโพดฝักอ่อนและถั่วเหลืองในภาคเหนือ กลุ่มนี้จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2536 โดยการต่อยอดจากเครือข่ายเกษตรทางเลือก ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานส่งเสริมการผลิตของเกษตรกรมากว่า 20 ปี และเริ่มต้นเสนอทางเลือกทางการตลาดให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และดำเนินการภายใต้แนวคิดของการค้าที่เป็นธรรม
“ขณะนี้เรามีการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ใน 15 กลุ่ม มีผลิตภัณฑ์กว่า 100 ชนิด และทำการผลิตเพื่อการค้าไปกว่า 20 ชนิด เช่น ข้าวเหลืองอ่อน ข้าวหอมมะลิ ข้าวแดง ถั่งเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด งา เป็นต้น โดยที่กลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายหลักๆ จะอยู่ที่ภาคอีสานและภาคเหนือส่งขายในประเทศกับต่างประเทศในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ทำรายได้จากการส่งออกราว ๆ 50 ล้านบาทต่อปี” ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพของสหกรณ์การเกษตรเพียงแห่งเดียวที่อยู่บัญชีของสมาคมผู้ส่งออกข้าว กล่าว
ลูกค้าหลักของกรีนเนทอยู่ในยุโรปด้วยความร่วมมือของกลุ่มการค้าที่ชื่อว่า กลุ่ม Fair Trade ซึ่งช่วยกระจายสินค้าภายใต้แบรนด์อันหลากหลายไปทั่วยุโรปกว่า 10 ประเทศ โดยได้รับการรับรองของ IFOAM เช่นกัน
“ล่าสุดในปีนี้ เรามีเกษตรกรเสนอตัวให้ทางกรีนเนทเข้าไปฝึกอบรมและสนับสนุนการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์จำนวนหลายร้อย เกินกำลังของบุคลากรของเรา ทีมีอยู่เพียง 25 คน จึงต้องขอเลื่อนบางรายไปเป็นปีหน้า” วิฑูรย์ สะท้อนให้เห็นกระแสการตื่นตัวของเกษตรกรที่ได้รับบทเรียนจากการผลิตโดยใช้สารเคมีสูง และผลกระทบด้านลบของตลาดเกษตรทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ทั้ง วัลลภ และวิฑูรย์ ต่างเห็นพ้องว่าอุปสรรคสำคัญของธุรกิจเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ความเข้าใจของผู้บริโภคที่ยังไม่เห็นความแตกต่างและความสำคัญของผลิตภัณฑ์อย่างนี้ และยังขาดการประชาสัมพันธ์โดยภาครัฐ รวมทั้งข้อจำกัดทางวิชาการในบางด้านที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐที่ทำการศึกษาวิจัยเท่าที่ควร
ในขณะที่สมาชิกของชมรมผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกันว่า โอกาสของธุรกิจนี้ยังคงเติบโตสดใสได้ในอนาคต เพราะแนวโน้มคนทั่วไปจะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ซึ่งกระแสนิยมเกษตรอินทรีย์แม้ว่าจะไม่เป็นกระแสหวือหวาหรือโด่งดังเหมือนสินค้าบางชนิด แต่เป็นกระแสที่มีความนิยมและเติบโตอย่างมั่นคง
นายวิฑูรย์ เปรียบเทียบให้ “ผู้จัดการ” ฟังว่าสภาวะดังกล่าวเป็นดั่ง “Snowball Effect” ที่คล้ายก้อนหิมะซึ่งสะสมจากยอดเขาแล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เมื่อทิ้งตัวลงจากยอดเขา
“เกษตรอินทรีย์เป็นเทคโนโลยีชีวภาพด้านหนึ่งที่ควรพัฒนา การขึ้นรถไฟเทคโนโลยีชีวภาพขบวนเกษตรอินทรีย์ น่าจะสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นครัวโลกได้เป็นอย่างดี ส่วนขบวนรถไฟจีเอ็มโอนั้น มีปัญหาเรื่องสิทธิบัตร และมีปัญหาเรื่องการยอมรับของผู้บริโภค โดยไม่ต้องพูดถึงความปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยเลย ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าผู้บริโภคทั่วโลกส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ แต่ถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์ทุกคนยอมรับหมด” ผู้จัดการสหกรณ์กรีนเนท กล่าวทิ้งท้าย