คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ไฟใต้สงบชั่วคราวช่วงเกิดอุทกภัย เพราะ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นต้องให้ความช่วยเหลือคนมลายูที่เป็น “มวลชน” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับความเดือดร้อนด้วย แต่หลังน้ำลดไม่กี่วันที่ จ.ปัตตานีก็มีซุ่มยิงตำรวจเสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1 อีกทั้งมีการวางเพลิงเผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ 1 แห่งที่ จ.ยะลา
ข่าวจากวงในรายงานว่า “กองกำลังติดอาวุธ” บีอาร์เอ็นมีแผนก่อเหตุพื้นที่เศรษฐกิจช่วงส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง พร้อมๆ กับลอบซุ่มยิง “เจ้าหน้าที่” กับ “สายข่าว” และยังรวมถึง “ผู้ค้ายาเสพติด” ที่สร้างความเดือดร้อนให้มวลชน เพื่อเรียกคะแนนเสียงในหมู่บ้านจัดตั้ง
จึงต้องจับตา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่มี พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ที่ถูกสังคมมองว่า “ล้มเหลว” จากการรับมืออุทกภัยที่ไม่ค่อยถนัดมาแล้ว สำหรับด้านการเตรียมรับมือเรื่องที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรต่อไป
มีเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้นสัปดาห์นี้คือ การเปิด “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” ระหว่างตัวแทนรัฐไทยที่มี พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เป็นหัวหน้าคณะ ส่วนฝ่ายบีอาร์เอ็นมี “เจ๊ะมูดอ มะรือสะ” หรือ “เจ๊ะมูดอ ตะมะยูง” เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งมาแทน “พิพนี มะเระ” ที่ทำหน้าที่หัวหน้าคณะคนก่อน
ตรวจดูรายชื่อ “คณะพูดคุยสันติภาพ” ของบีอาร์เอ็นมี 8 คน ประกอบด้วย 1. “เจ๊ะมูดอ มะรือสะ” หรือ “เจ๊ะมูดอ ตะมะยูง” ทำหน้าที่หัวหน้าคณะ 2. “หิพนี มะเระ” อดีตอิหม่ามบันนังสตา จ.ยะลา 3. “ดอรอแม อูมา” หรือ “อุสตาซอับดูลเลาะมาน ปาลาวี (แมปาวี)” 4. “มูฮัมหมัดคานาฟี ดอเลาะ” อดีตอิหม่านบันนังสตา จ.ยะลา 5. “มูฮัมหมัดไซนุง กะเต๊ะ” หรือ “มะ ดูตอ” หรือ “มะ สถานทูต” 6. “นิมะ เจะแต” 7. “โอมาน บินอับดุลเลาะ” และ 8. “ฮัมหมัดมูริส ลาเต๊ะ” หรือ “อุสตาสมูระ สาวอ” แห่ง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
ปูมหลังทั้ง 8 คนเป็น “อดีตแกนนำ” บีอาร์เอ็นตัวจริง แต่หลังรัฐบาลมาเลเซียเลือกมาเป็นคณะพูดคุยสันติภาพต่างก็ “ถูกปลด” จากการเป็นแกนนำตั้งแต่การพูดคุยครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นสถานะของบุคคลทั้ง 8 เวลานี้จึงถือว่าเป็น “คนนอก” ที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ หรือทำหน้าที่แทน “ประธานบีอาร์เอ็น” ได้
สำหรับผู้ที่เข้าใจ “โครงสร้างองค์กร” บีอาร์เอ็นและรู้ที่มาที่ไปของทั้ง 8 คนจะเข้าใจได้เลยว่า เวลานี้พวกเขาคือ “บีอาร์เอ็นสายยุโรป” หรือ “สาย HD” ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ “เจนีวาคอลล์” องค์กรเอ็นจีโอสากลที่เชื่อมโยงกับประเทศเยอรมันและสวิสเซอร์แลนด์ อันเป็นคนละเส้นทางเดินกับบีอาร์เอ็นในปัจจุบัน
จึงมีคำถามต่อ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ว่า “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่ดำเนินมายาวนานและหยุดชะงักไปเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมา ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องพูดคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริงของฝ่ายบีอาร์เอ็นเสียที เพราะที่แล้วๆ มาพูดคุยเจรจากันกลับไม่เห็นความคืบหน้าและแทบไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นมักผลให้เห็น
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริงของฝ่ายบีอาร์เอ็น เช่น “ดุลเลาะ แวมะนอ” หรือ “นิเซะ นิฮะ” หรือ “อิหม่านเฮง” ประธานสภาซูรอที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หรืออย่างน้อยก็ควรเป็น “มูฮัมหมัดอับดุลฮาดี” หรือ “แบกี” ที่เป็นผู้นำกองกำลัง เป็นต้น
มีเรื่องที่สังคมไม่เข้าใจหนักมากคือ ตลอดกว่า 10 ปีที่ตั้งโต๊ะพูดคุยเจรจากันเสร็จ ฝ่ายรัฐไทยมักแถลงถึง “ความสำเร็จ” แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่เนื่องๆ พร้อมกล่าวอ้างว่าฝ่ายบีอาร์เอ็นจะไม่มีการ “แบ่งแยกดินแดน” กระทั่งก่อตั้ง “เขตปกครองตนเอง” หรือ “เขตปกครองพิเศษ” บนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา
ที่ผ่านมาคณะพูดคุยฝ่ายรัฐไทยได้ยื่นข้อเสนอเดิมๆ ไปให้ฝ่ายบีอาร์เอ็น 3 ข้อ ประกอบด้วย 1) ให้ยุติการใช้ความรุนแรง 2) ให้พัฒนาร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม และ 3) การพูดคุยกันต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย ซึ่งทุกข้อก็ถูกปฏิเสธจากฝ่ายบีอาร์เอ็นมาโดยตลอด
ส่วนที่บีอาร์เอ็นยื่นข้อเสนอเดิมๆ ให้รัฐบาลไทยพิจารณา 5 ข้อเช่นดัน ซึ่งสามารถขยายไปได้เป็น 10 ข้อย่อย โดย “นิมะ เจะแต” โฆษกบีอาร์เอ็นยุโรปได้นำเสนอต่อสาธารณะไปแล้ว กลับไม่มีข้อไหนที่ระบุว่า “ไม่มีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดน” แถมยัง “ขัดรัฐธรรมนูญไทย” อีกด้วย
ดังนั้นจึงขอถาม พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ในฐานะหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยคนใหม่ด้วยว่า ท่านและคณะได้ทำหารศึกษาและลงลึกถึงรายละเอียดในข้อเรียกร้องต่างๆ ของฝ่ายบีอาร์เอ็นยุโรปแล้วหรือไม่ และที่สำคัญมีความคิดเห็นเช่นไรควรบอกกล่าวให้สังคมได้รับรู้รับทราบด้วย
การเปลี่ยนข้อตกลงเดิมๆ ที่คณะพูดคุยไทยชุดเก่าๆ เคยลงนามไว้กับฝ่ายบีอาร์เอ็นยุโรปเสียใหม่ โดยใช้ชื่อเรียกเท่ๆ เป็นตัวย่อภาษอังกฤษว่า “JCPP” แต่เนื้อหาไม่เปลี่ยน แถมครั้งนี้ยังให้ฝ่ายบีอาร์เอ็นได้เพิ่มเติมข้อเสนออีหลายประเด็น สิ่งนี้จะถือเป็น “ความก้าวหน้า” หรือ “ความสำเร็จ” ในการไปสานต่อการพูดคุยตรงไหน
คำว่า “End State” เป็นเพียงการบัญญัติศัพท์ที่โก้ๆ เป็น “วาทกรรม” ที่ไปไม่ถึงและไม่มีอยู่จริง แต่ปรากฏว่า พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา และคณะพูดคุยกลับตื่นเต้นกับคำศัพท์ภาษอังกฤษนี้เหมือนเป็น “ของวิเศษ” ที่จะนำไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างไรอย่างนั้น
ที่สำคัญ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ต้องรับผิดชอบที่ให้สัมภาษณ์ว่า บีอาร์เอ็นจะแปรสภาพเป็น “องค์กรที่ไม่นิยมความรุนแรง” แต่จะร่วมสร้างสรรค์ความเจริญงอกงามให้ประชาชนในพื้นที่ และหากต่อไปความรุนแรงยังเกิดขึ้นอีก ท่านต้องมีคำตอบต่อสังคมในเรื่องนี้ การจะอ้างว่าฟังมาผิด หรือคนแปลภาษามาให้ผิดๆ ไม่น่าจะได้
และอีกประโยคที่จะเป็น “นายของคำพูด” ของ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา คือขอให้ไว้มั่นใจการพูดคุยที่เราทำมาเป็นสิบๆ ปีได้ออกดอกออกผลในเชิงสร้างสรรค์ ไม่ต้องกังวลใจอีกกว่าแผ่นดินไทยตอนล่างจะถูกแบ่งแยกไป สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น โดยเฉพาะ “การยุติความรุนแรง” จะเป็น “ก้าวแรก” ของการพัฒนาพื้นที่
ถามว่าการที่คณะพูดคุยของ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา มั่นใจขนาดนั้น ท่านได้พูดคุยและได้รับคำตอบจากตัวแทนที่กุมอำนาจแท้จริงของฝ่ายบีอาร์เอ็นแล้วหรือ ที่สำคัญท่านเห็นด้วยกับข้อเสนอของบีอาร์เอ็นยุโรปคณะนี้หรือไม่ และท่านกับคณะรู้หรือไม่ว่าทำไมผู้มีการอำนาจตัวจริงเสียงจริงของบีอาร์เอ็นในมาเลเซียจึง “นิ่งเงียบ” ในที่ตั้ง
พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา รู้หรือไม่ว่า รัฐบาลมาเลเซียได้สั่งการให้ “หิพนี มะเระ” ที่ร่วมเป็นตัวแทนในการพูดคุยครั้งต่อไป ต้องไม่เป็นภัยคุกคามต่อฝ่ายบีอาร์เอ็นที่เป็น “ของจริง” อันจะทำให้สามารถมี “ที่มั่น” ของขบวนการในประเทศมาเลเซียต่อไปโดยไม่กระทบกระเทือน
หากสังคมไทยยังปล่อยให้ “คณะพูดคุยสันติสุข” ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทยไปทำหน้าที่ “งมโข่ง” บนโต๊ะเจรจากับ “คณะพูดคุยสันติภาพ” ที่ยังต้องนับว่าเป็น “ของปลอม” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นต่อไป เพื่อที่บีอาร์เอ็นที่เป็น “ของจริง” จะได้เดินหน้าปฏิบัติการบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมั่นคงต่อไป
“กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 13 ปี การตั้งโต๊ะครั้งใหม่จึงเป็นครั้งที่ “เหลวไหล” ที่สุดเท่าที่เห็นมา ซึ่งพอที่จะอนุมานได้ว่าถ้าไม่ใช่เป็นการ “หลงกล” ให้กับเอ็นจีโอยุโรป ก็คงเป็น “กระทงหลงทาง” เพราะเป็นการเจรจาในห้วงซับน้ำตาประชาชนจากน้ำท่วมภาคใต้ทั้งของไทยและมาเลเซียนั่นเอง


