xs
xsm
sm
md
lg

คดีหมิ่นประมาทในยุคดิจิทัล เมื่อการใช้สิทธิตามกฎหมายถูกท้าทายด้วยวาทกรรม SLAPP

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย ทัศไนย ไชยแขวง ทนายความสำนักงาน KSS.
ในยุคที่ข้อมูลแพร่กระจายรวดเร็วจนสังคมมักด่วนสรุปก่อนตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์ “คำพิพากษาสังคม” (social judgement) กลายเป็นเรื่องปกติ ความคิดเห็นที่ถูกแชร์อย่างกว้างขวางจากข้อมูลไม่รอบด้านสามารถทำลายชื่อเสียงของบุคคล องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานรัฐได้อย่างรุนแรง จนหลายกรณีจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง

คดีปลาหมอคางดำเป็นตัวอย่างสำคัญของสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีการฟ้องร้องหมิ่นประมาทระหว่างบริษัทเอกชนรายใหญ่กับนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อันเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญทั้งเรื่องสิทธิในการปกป้องชื่อเสียง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และข้อกล่าวหาที่ว่าคดีอาจเป็นลักษณะ “ฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การฟ้องหมิ่นประมาทเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักกฎหมาย ขณะเดียวกันการถูกฟ้องปิดปาก “SLAPP” ก็เป็นสิทธิที่กฎหมายคุ้มครองผู้ถูกฟ้องเช่นกัน เรียกว่าต่างฝ่ายต่างก็ได้รับสิทธิหรือใช้สิทธิตามกฎหมาย เรามาว่ากันถึงเรื่องสิทธิของแต่ละฝ่ายตามข้อกฎหมาย

▶️สิทธิในการปกป้องชื่อเสียง

ชื่อเสียงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนให้การคุ้มครอง ทั้งตามกฎหมายไทย และ หลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights (UDHR) ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 บัญญัติถึงเรื่องสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียง โดยระบุว่า บุคคลใดจะถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัว ครอบครัว เคหสถาน หรือการติดต่อสื่อสารโดยพลการไม่ได้ และจะถูกลบหลู่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซงหรือการละเมิดสิทธิดังกล่าว
นอกจากนี้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง “International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)” ก็ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 17 ในทำนองเดียวกัน
จะเห็นได้ว่าในหลักสากล “สิทธิในเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียง” (Right of honour and Reputation) เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับความคุ้มครองมิให้ถูกละเมิด
ในกฎหมายไทยเองเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียงก็ได้รับความคุ้มครองทั้งทางแพ่งและอาญาผ่านทางความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 เกียรติและชื่อเสียงจึงเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองผ่านทางกฎหมายว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท และละเมิด ดังนั้น การฟ้องหมิ่นประมาทจึงถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของผู้ที่ได้รับผผลจากการกระทำนั้น

▶️สิทธิในการแสดงความคิดเห็น

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครอง แต่มีขอบเขตและจะไม่คุ้มครองข้อมูลอันเป็นเท็จเท็จหรือข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหาย สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่สิทธิที่ปราศจากขอบเขต (non-absolute right)

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง “International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)” มาตรา 19 กำหนดว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการจำกัดสิทธิเสรีภาพย่อมทำได้เพื่อ คุ้มครองสิทธิของผู้อื่น, คุ้มครองชื่อเสียงของบุคคลดังนั้น การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การใส่ร้าย หรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงไม่อยู่ในความคุ้มครองของเสรีภาพ ตามนัยยะแห่ง International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) เฉกเช่นเดียวกับกฎหมายไทยในเรื่องหมิ่นประมาท สิทธิที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต แต่หากไม่เข้าเงื่อนไขของกฎหมายแล้ว กฎหมายก็ไม่คุ้มครองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นนั้น ซึ่งกฎหมายไทยได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 เรื่องการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ฯลฯ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท “

▶️กลไกป้องกันการการฟ้องคดีเพื่อกลั่นแกล้ง

กฎหมายไทยมีการกำหนดบทบัญญัติใน มาตรา 161/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งถือว่าเป็นกลไกสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันมิให้กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งบุคคลอื่นผ่านการฟ้องคดีอาญา โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาท ซึ่งมีลักษณะอ่อนไหวต่อการถูกใช้เป็นการ “ฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP.( Strategic Lawsuit Against Public Participation)

เนื้อหาของมาตราดังกล่าวกำหนดว่า หากความปรากฏต่อศาลเอง หรือจากพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมา และศาลเห็นว่าผู้ฟ้องคดีดำเนินการโดยไม่สุจริต บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือมีเจตนากลั่นแกล้ง ศาลมีอำนาจ ยกฟ้องและไม่ให้ยื่นฟ้องซ้ำในเรื่องเดียวกันอีก ถือเป็นอำนาจเชิงรุกในการอำนวยความยุติธรรมแก่จำเลย จึงเป็นเกราะคุ้มกันทั้งสำหรับประชาชน นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ หรือผู้วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เพราะช่วยป้องกันไม่ให้ต้องเผชิญกับภาระคดีอาญาที่นำมาเป็นเครื่องมือในการกดดัน ในอีกด้านหนึ่งยังเป็นตัวกำกับพฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีให้ใช้สิทธิทางกฎหมายอย่างสุจริต

เท่าที่ทราบการฟ้องร้องครั้งนี้บริษัทเอกชนได้ดำเนินการผ่านอำนาจรัฐ โดยการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ผ่านขั้นตอนการสอบสวน และยื่นฟ้องโดยพนักงานอัยการ ซึ่งถือว่าเป็นการกลั่นกรองตามกระบวนการของเจ้าหน้าที่รัฐแล้วว่าคดีมีมูลพอที่จะดำเนินคดี หาใช่การดำเนินคดีโดยอำเภอใจของเอกชนแต่เพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้ ในส่วนของค่าเสียหายที่เรียกร้องจำนวน 200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจที่สูงกว่าหกแสนล้านบาทและความเสียหายชื่อเสียงในทางธุรกิจที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางแล้ว อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเพื่อสะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง มิได้มีเจตนามุ่งหวังผลประโยชน์จากตัวเลขความเสียหายหรือการดำเนินคดีอาญาเป็นเครื่องมือข่มขู่หรือฟ้องปิดปากคู่กรณีแต่อย่างใด ทั้งนี้ บริษัทยังมีภาระต้องพิสูจน์ต่อศาลว่าความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและคำนวณเป็นตัวเงินได้ ส่วนจะเป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นดุลยพินิจของศาล

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ถูกฟ้องได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อยืนยันว่า การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีปลาหมอคางดำของตนนั้น เป็นการกระทำโดยสุจริตและเพื่อประโยชน์สาธารณะ มิใช่การใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อทำลายชื่อเสียงบริษัทเอกชนแต่อย่างใด ข้อมูลที่เผยแพร่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตรวจสอบเชิงนโยบายต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งเป็นความสนใจร่วมของสาธารณชน การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้อยู่ในขอบเขตของสิทธิตามกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาทำลายธุรกิจของบริษัทและไม่มีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือมูลค่าทางเศรษฐกิจของบริษัทแต่อย่างใดสำหรับประเด็นเรื่อง “การฟ้องปิดปาก (SLAPP)” ผู้ถูกฟ้องเห็นว่าการฟ้องร้องลักษณะนี้อาจทำให้การตรวจสอบในประเด็นสาธารณะถูกจำกัดลง

▶️กรณีศึกษาคดีหมิ่นประมาทและข้อถกเถียงเรื่อง SLAPP

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคำว่า “SLAPP”
หรือการฟ้องเพื่อปิดปาก ถูกนำมาใช้เป็นวาทกรรมโต้กลับแทบทุกครั้งที่มีการดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่ข้อมูลในประเด็นความขัดแย้ง จนกลายเป็นเหมือน “โล่กำบัง” ในหลายกรณี ผู้ที่อ้างว่าถูกปิดปากกลับเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือมีลักษณะบิดเบือนจนสร้างความเข้าใจผิดในสังคม การอ้างสิทธิและเสรีภาพในลักษณะนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือป้องกันตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ตนก่อขึ้น มากกว่าจะเป็นการใช้สิทธิอย่างสุจริตตามหลักเจตนา

ปรากฏการณ์ดังกล่าวคล้ายกับรูปแบบของ Information Operation (IO) ที่มีระบบการจัดการที่ชัดเจนในเป้าประสงค์ ผ่านช่องทางต่างๆ จึงเกิดคำถามสำคัญในเชิงวิชาการว่า เรากำลังปกป้องเสรีภาพอย่างแท้จริง หรือกำลังปล่อยให้เสรีภาพถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายความจริงกันแน่ และท้ายที่สุดใครคือผู้ที่บิดเบือนความหมายของคำว่า “SLAPP”

การฟ้องหมิ่นประมาทคือกลไกทางกฎหมายที่ปกป้องศักดิ์ศรีและชื่อเสียง การฟ้องหมิ่นประมาทอาจจะเพื่อหยุดยั้งการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ การเรียกค่าเสียหายจำนวนสูงอาจจะเพื่อการกลั่นแกล้ง ในขณะเดียวกันการที่ต้องการความคุ้มครองเรื่อง SLAPP ก็อาจจะไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต เสรีภาพต้องเดินคู่กับความรับผิดชอบ ประเด็นเหล่านี้คงต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมกับคู่กรณี และแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานของสังคม


กำลังโหลดความคิดเห็น