xs
xsm
sm
md
lg

ผ่านรกบนผืนน้ำที่มหานครหาดใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทัศนะ โดย.. ไชยยงค์ มณีพิลึก

น้ำท่วมหรืออุทกภัยที่เกิดในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ครั้งนี้ แม้จะไม่รุนแรงเฉกเช่นที่เคยเมื่อปี 2543 ที่จำนวนมวลน้ำถล่มมหานครหาดใหญ่มากกว่าและระดับความท่วมของน้ำสูงกว่า

แต่ด้วยการบริหารจัดการกับปัญหาอุทกภัยครั้งนี้ที่ไม่มีความพร้อม ไม่มีการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ของฝนของน้ำที่เป็นวิชาการ และผู้บริหารเทศบาลมั่นใจในตัวตนว่า "น้ำไม่ท่วม" ทำงานแบบวันแมนโชว์ จึงเป็นเหตุทำให้สถานการณ์ของอุทกภัยครั้งนี้มีความรุนแรงและเสียหายอย่างยับเยิน

กว่าจะมีการแจ้งเตือนให้ขนข้าวของ ให้มีการอพยพ คนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และเป็นหนึ่งชั่วโมงในเวลา 1 ทุ่ม ซึ่งไม่ทันต่อสถานการณ์ เพราะมวลน้ำที่ไหลเข้าท่วมหาดใหญ่เร็วและแรง สิ่งที่หลายคนทำได้คือขับรถยนต์ขึ้นไปจอดบนสะพานทุกแห่งในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จนสุดท้ายกลายเป็นสิ่งกีดขวางในการที่จะส่งรถ เรือ และคนเข้าสู่พื้นที่น้ำท่วมไม่ได้

คำถามสำหรับคนภายนอกคือ ทำไมน้ำท่วมครั้งนี้คลอง ร.1 หรือคลองภูมินาถดำริ ซึ่งเป็นคลองที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ดำริเพื่อใช้คลองสายนี้ผันน้ำที่ไหลเข้าท่วมบ่าหาดใหญ่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาด้วยความรวดเร็ว และคลอง ร.1 ก็เป็นพระเอกในการบรรเทาน้ำที่ไหลเข้าท่วมหาดใหญ่มิให้เกิดความเสียหายติดต่อกันหลายปี ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา คลอง ร.1 ก็ช่วยให้หาดใหญ่รอดจากการถูกน้ำท่วมอย่างหวุดหวิดมาแล้ว ดังนั้นคนหาดใหญ่และผู้บริหารท้องถิ่นจึงมั่นใจว่าปีนี้ก็คงจะเป็นอย่างปีก่อนๆ นั่นคือคลอง ร.1 ต้องรับมือกับมวลน้ำที่ไหลเข้าสู่หาดใหญ่ได้อย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่แน่นอนก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะทุกปีในการรับมือน้ำท่วมหาดใหญ่ สิ่งที่ผู้บริหารและนักวิชาการให้ความสำคัญคือน้ำในคลองอู่ตะเภาที่มีต้นน้ำจาก อ.สะเดา จ.สงขลา ที่ไหลผ่าน อ.สะเดา เข้าสู่ อ.คลองหอยโข่ง ที่เป็นกลางน้ำ ก่อนที่จะไหลเข้าสู่หาดใหญ่และถูกระบายลงสู่คลอง ร.1 เพื่อไปลงทะเลสาบสงขลา

ดังนั้นจุดวัดน้ำ จุดพยากรณ์น้ำ จึงถูกให้ความสำคัญกับน้ำในคลองอู่ตะเภา เช่น จุดวัดน้ำที่บางศาลา หรือดูสถานการณ์น้ำที่ทุ่งลุง ต.พะตง และ ต.ทุ่งลาน ถ้าน้ำในคลองอู่ตะเภายังไม่วิกฤต น้ำในคลอง ร.1 ยังต่ำกว่าตลิ่งถึง 2 เมตร ก็จะไม่มีการยกธงเหลือง หรือถ้าจะยกธงแดงเพื่อเตือนภัยให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูงหรืออพยพ หมายถึงในคลองอู่ตะเภาต้องอยู่ในจุดวิกฤต

แต่น้ำท่วมในปี 2568 เป็นมวลน้ำจาก อ.นาหม่อม และจากเทือกเขาคอหงส์ที่อยู่ด้านตะวันออกของตัวเมืองหาดใหญ่ มิใช่เป็นน้ำจาก อ.สะเดา อ.คลองหอยโข่ง เหมือนกับทุกๆ ปีที่เกิดน้ำท่วมหนักในหาดใหญ่

คืนที่น้ำจากเทือกเขาคอหงส์และน้ำจากนาหม่อม จากแก้มลิง จากปลักธง จากคลองหวะ ไหลบ่าเข้าโจมตีพื้นที่ด้านตะวันออกของตัวเมืองหาดใหญ่ น้ำในคลองอู่ตะเภายังรับน้ำได้อีกหลายเมตร เช่นเดียวกับคลอง ร.1 ยังรับมวลน้ำได้อย่างไม่ต้องกังวล

ดังนั้นน้ำระลอกแรกที่เข้าถล่มหาดใหญ่ในย่านการค้า ตั้งแต่หน้าหอนาฬิกา ตลาดกิมหยง ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 2 3 ถนนศรีภูวนารถ ถนนรัถการ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ชุมชนทุ่งเสา ชุมชนจันทร์นิเวศน์ จันทร์วิโรจน์ รัตนวิบูลย์ คือน้ำฝนและน้ำป่าจาก อ.นาหม่อม และจากเทือกเขาคอหงส์นั่นเอง

ประเด็นสำคัญ ลักษณะภูมิศาสตร์ของหาดใหญ่เป็นแอ่งกระทะ น้ำจากทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก เมื่อล้นพื้นที่ก็จะทะลักเข้าไปในหาดใหญ่ และที่กลายเป็นปัญหาที่สุดคือน้ำจากด้านตะวันออก จากเทือกเขาคอหงส์และจาก อ.นาหม่อม ทะลักเข้าสู่หาดใหญ่ด้านตะวันออก บริเวณนี้ของตัวเมืองหาดใหญ่ไม่มีคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพื่อรับน้ำและไหลออกจากหาดใหญ่ไปยังคลอง ร.ต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่คลอง ร.1 จนถึง ร.6

น้ำทั้งหมดจึงไหลลงคลองเตยที่ถูกพัฒนาเป็นคลองคอนกรีต และคลองสามสิบเมตรที่เป็นคลองเล็ก ไม่มีความสามารถในการรับมวลน้ำจำนวนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา รวมทั้งเทศบาลนครหาดใหญ่ไม่มีการสร้างฟลัดเวย์เพื่อให้เบี่ยงมวลน้ำออกนอกเมืองอีกต่างหาก

และที่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากที่มวลน้ำจากเทือกเขาคอหงส์และนาหม่อมเข้าโจมตีระลอกแรก จนย่านเศรษฐกิจและชุมชนต่างๆ 103 ชุมชน ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว เพราะไม่มีใครที่อพยพได้ทันท่วงที ในคืนวันที่ 23 ยังมีมวลน้ำจำนวนมหึมาจาก อ.สะเดา และจากเทือกเขาแก้ว น้ำตกผาดำ อ.คลองหอยโข่ง และจากน้ำตกโตนงาช้าง ไหลบ่าเข้าซ้ำเติมเป็นระลอกที่ 2 ทำให้น้ำในคลองอู่ตะเภาล้นตลิ่ง น้ำในคลอง ร.1 รับน้ำที่ไหลบ่าจากทุกทิศทางไม่ไหว น้ำล้นคันคลองทะลักทลายเข้าโจมตีหาดใหญ่เป็นระลอกที่ 2 และที่สำคัญฝนที่ตกหนักตั้งแต่วันที่ 19 เป็นต้นมายังไม่หยุดตก

แน่นอนว่า ภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายและยากยิ่งที่จะทำการป้องกัน แต่ถ้าผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารจังหวัด มีวิสัยทัศน์ มีการเตรียมพร้อม มีการประเมิน และมีการวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่ทำงานแบบวันแมนโชว์ การรับมือสถานการณ์ก็จะลดความเสียหายและความสูญเสียลงไปได้

แต่เพราะไม่มีการประเมิน ไม่มีการวิเคราะห์ ขาดหลักวิชาการในการทำงานและเชื่อมั่นในตนเอง จึงทำให้หาดใหญ่กลายเป็นนรกบนผืนน้ำ เพราะตั้งแต่วันที่ 21 เป็นต้นมา ยังมีคนติดอยู่ในบ้านเรือนที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา และออกมาไม่ได้ไม่ต่ำกว่า 30,000 คน มีคนที่อดอาหารติดอยู่ในบ้าน บนหลังคาบ้าน ไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ที่เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยยังเข้าไปช่วยไม่ได้

และที่ต้องตั้งข้อสังเกต แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่หาดใหญ่แล้วถึง 2 ครั้ง แต่ในการแก้ปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัด ของนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ยังไม่มีการบูรณาการ หรือการรวมศูนย์ หรือการตั้งกองบัญชาการในการช่วยเหลือชาวบ้าน เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งหมดคือการซ้ำเติมปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ ที่หลังจากนี้ต้องมีการสังคายนา เพื่ออย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น