เปลี่ยนมุมคิด!! ‘ปลาหมอคางดำ’ อาจกลายเป็นโอกาส และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
“ปลาหมอคางดำ” เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงอย่างหนักในฐานะ “ผู้รุกล้ำ” ธรรมชาติ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าปลาชนิดนี้คือ "พระเอกตัวจริง" ที่ทำให้เกิดการปรับสมดุล?
เครือข่าย “เสียงจากป่า” องค์กรภาคประชาสังคมเพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดงานเสวนา “ปลาหมอคางดำ…พระเอกหรือผู้ร้าย” ขึ้น เพื่อเจาะลึก “ความจริง” ของปลาชนิดนี้ในมิติทางวิทยาศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาร่วมแลกเปลี่ยนอย่างเข้มข้น การเสวนาครั้งนี้เป็นเวทีเปิดที่ให้แต่ละฝ่ายได้นำเสนอหลักฐานและสิ่งน่าสนใจ
นักวิชาการชี้ : "ไม่ใช่ปลาคุกคามดุร้าย...แต่มันคือความมั่นคงทางอาหาร"
หนึ่งในมุมมองที่สร้างความฮือฮาคือการนำเสนอของ ดร. องอาจ เลาหวินิจ ที่จบปริญญาเอกเรื่องสัตว์น้ำจากประเทศญี่ปุ่น โดยระบุชัดเจนว่าปัญหาการลักลอบนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นมีมานาน แต่เราควรเปลี่ยนจากการหาที่มาเป็นการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรที่มีอยู่ "ผมมองว่าปลาหมอคางดำเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะสามารถเป็นอาหารและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนได้...แม้แต่ปลานิลพระราชทานก็เป็นปลาต่างถิ่นเช่นกัน แต่เราก็บริโภคได้ตามปกติ" ดร. องอาจ กล่าวประเด็นสำคัญที่ ดร. องอาจ เน้นย้ำคือ
กู้ภัยระบบนิเวศ: ปลาหมอคางดำสามารถอาศัยและเติบโตได้ในสภาพน้ำคุณภาพต่ำหรือเสื่อมโทรม (มีค่าออกซิเจนต่ำ) ซึ่งปลาอื่นอยู่ไม่ได้ และยังช่วย “กินขยะ” หรือสิ่งที่ตกค้างในธรรมชาติได้ด้วย ที่สำคัญปลาหมอคางดำ ยังสามารถเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ต้นทุนต่ำ เพราะเลี้ยงในบ่อกุ้งร้าง หรือในลักษณะ "คาร์บอนต่ำ" ได้ ทั้งยังมีศักยภาพในการเป็นวัตถุดิบแทนปลาป่นสำหรับผลิตอาหารสัตว์
ความมั่นคงทางอาหาร: องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สนับสนุนเรื่องอาหารประจำถิ่น และปลาชนิดนี้สามารถเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยมีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็นกรดอะมิโนจำเป็น วิตามิน สังกะสี ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศฟิลิปปินส์ก็เผชิญปัญหาปลาหมอคางดำเช่นเดียวกับเรา แต่พวกเขามองว่าเป็น "ทรัพยากรที่มีมูลค่า" มาช่วยแก้ปัญหาความอดอยาก และทดแทนปลาเศรษฐกิจที่มีต้นทุนสูง
ทางออก: เลิกทำลาย! ส่งเสริมให้ ‘กิน คุม ฟื้น’ ... ดร.องอาจ ยังเสนอทางออกว่าแทนที่จะทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อกำจัด (เช่น การช็อตปลาที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ช็อต) รัฐบาลควรเปลี่ยน "มายด์เซ็ต" ของประชาชนและส่งเสริมให้มีการจับและนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ทำน้ำปลา ปลาแดดเดียว หรือปลาร้า เหมือนกรณีที่เคยสำเร็จมาแล้วกับหอยเชอรี่และตั๊กแตนปาทังก้า
"ปลาหมอคางดำราคาไม่ถึง 10 บาท/กก. ขณะที่ปลานิลกิโลกรัมละ 30-40 บาท ทั้งที่มูลค่าทางอาหารไม่ได้ต่างกันเลย... รัฐต้องจัดอบรมและเผยแพร่องค์ความรู้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ แล้วผู้บริโภคจะเป็นผู้ตัดสินว่าอะไรคือพระเอกหรือผู้ร้าย" ดร. องอาจทิ้งท้าย
การเสวนาครั้งนี้ได้ตอกย้ำว่า การตัดสินใจเรื่องสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่ควรใช้เพียง “มโนคติ” แต่ต้องพิจารณาจากข้อมูลทางวิชาการที่ครอบคลุม เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่มองว่าเป็น “ภัยคุกคาม” ให้กลายเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจ” และความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
ประธาน ‘เสียงจากป่า’ จี้รัฐทบทวน ชี้ควรหันมา'สร้างมูลค่า' พร้อมเตือนสังคมให้รับฟังข้อมูลที่ถูกต้อง
นายชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายเสียงจากป่า กล่าวว่า การจัดงานเสวนา "ปลาหมอคางดำ…พระเอกหรือผู้ร้าย" ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจี้ประเด็นสำคัญเรื่องการใช้งบประมาณภาครัฐ ในการจัดการสัตว์ต่างถิ่นที่อาจไม่เกิดประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงการควบคุมการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำของประเทศ จึงต้องการให้เกิดการตรวจสอบและลดการใช้งบประมาณจากภาครัฐ
"วันนี้เราต้องตรวจสอบและสังคมต้องช่วยกันดูแล เพราะการกำจัดปลาหมอคางดำเป็นการใช้งบประมาณของประชาชน ซึ่งหากปลาชนิดนี้นำเข้ามาไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์กันได้... แต่ที่สำคัญคือเราจะควบคุมอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก" นายชัยภัฏกล่าว
นายชัยภัฏยังได้หยิบยกประเด็นเรื่อง อิทธิพลของข้อมูลข่าวสารทางโซเชียลมีเดีย ที่มีผลต่อความเชื่อของประชาชน โดยชี้ว่าหลายครั้งการรับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนทำให้เกิดความเข้าใจผิดและมีการ "ใส่ร้ายป้ายสี" สัตว์ชนิดนี้
"จากการที่ผมศึกษามา เราถึงได้รู้ว่าเอเลี่ยนสปีชีส์ที่เข้ามาในเมืองไทยส่วนใหญ่ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์... วันนี้ปลาหมอคางดำไม่ใช่เชื้อโรค แต่มันสามารถนำมาซึ่งประโยชน์ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้"
ประธานเครือข่ายเสียงจากป่าระบุว่า สังคมควรใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในการตัดสิน ไม่ใช่การใช้มโนคติ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าปลาชนิดนี้เป็น "ปลานักล่า" หรือไม่, และที่สำคัญมันสามารถอยู่ใน "น้ำเน่าเสีย" ได้ซึ่งจากข้อมูลที่มีอยู่พบว่าประเทศไทยมีแหล่งน้ำที่เสื่อมโทรมมากมาย และเราควรจะหาวิธี "ใช้ประโยชน์" จากปลาชนิดนี้ที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวได้
หาความยุติธรรมให้สัตว์: มนุษย์คือผู้ทำลายตัวจริง
นายชัยภัฏเรียกร้องให้สังคมมองหา "ความยุติธรรม" ให้กับปลาหมอคางดำ โดยชี้ว่าผู้ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ใช่สัตว์ แต่คือมนุษย์เอง ดังนั้น จะต้องช่วยกันฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูแหล่งน้ำให้สะอาด งานเสวนาครั้งนี้จึงทำให้เห็นข้อเท็จจริงว่าปลาชนิดนี้ไม่ใช่ปลาที่น่ากลัวอย่างที่พูดกัน ทุกวันนี้เหมือนการใส่ร้ายป้ายสี... จึงขอให้มีสติในการรับข้อมูล
นายชัยภัฏทิ้งท้ายถึงความสำคัญของการเปลี่ยนมุมมอง โดยย้ำว่าทุกอย่างต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลข่าวสารและวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ และควรนำความสามารถของปลาหมอคางดำที่สามารถอยู่ในได้ทุกสภาพน้ำ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับประชาชนในฐานะทรัพยากรใหม่ของประเทศ


