ตรัง - “สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” เผยตัดสินใจถูกแล้ว ที่ยกทีมย้ายมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย เพราะมีอนาคตสดใส พร้อมกวาดยกจังหวัด ยืนยันยังเคารพ “นายหัวชวน” เหมือนเดิม เพราะเกิดการเมืองจากที่นั่น
วันนี้ (5 พ.ย.) นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ หรือ “โกหนอ” อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ หลายสมัย ในฐานะบ้านใหญ่เมืองตรัง กล่าวว่า สาเหตุที่ล่าสุดตนได้ยกทีมย้ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่มาจากประเด็นที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือ นายเนวิน ชิดชอบ เดินทางเทียบเชิญถึงบ้าน แต่มาจากประเด็นสำคัญก็คือ ปัญหาระหว่างตน กับนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ยังอยู่พรรคเดียวกัน
เมื่อคราวเลือกตั้งนายก อบจ.ตรัง ในปี 2563 ตนได้ไปเชิญ นายสาทิตย์ ให้มาร่วมงานการเมืองถึง 2 ครั้ง พร้อมบอกว่า อย่ามาแข่งกันเองเลย และเมื่อ นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ พี่ชายของตนเป็นนายก อบจ.ตรัง ตนก็จะให้น้องชายของ นายสาทิตย์ เป็นรองนายก อบจ.ตรัง แต่ นายสาทิตย์ กลับปฎิเสธ และเมื่อน้องชายพ่ายแพ้ ก็ทำให้เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้น
นายสมชาย กล่าวว่า จากนั้นในการเลือกตั้ง ส.ส.ตรัง สมัยล่าสุด ตนจึงได้จัดงานรวมพลคนไม่เอาสาทิตย์ขึ้น ในพื้นที่ 3 อำเภอ ของเขต 2 และตนยังหันไปสนับสนุน นายทวี สุระบาล ซึ่งตอนนั้นลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่ล่าสุด นายทวี ได้ย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย ร่วมกับตนแล้ว โดยผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น ปรากฏว่า นายสาทิตย์ ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน และต้องหยุดเส้นทางเมือง 7 สมัย ทำให้ยิ่งเกิดรอยร้าวมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอตัวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนใหม่ ซึ่งตนก็สนับสนุน เพราะเป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ ประสานได้ทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ได้บอกย้ำ นายอภิสิทธิ์ ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ถ้ามีสาทิตย์ ไม่มีสมชาย แต่ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์กลับเลือก นายสาทิตย์ และแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าพรรค ดังนั้น ตนเองจึงต้องจำใจต้องออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งน้ำตา ทั้งที่มีความผูกพันมายาวนานกว่า 30 ปี และช่วยต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างเต็มที่ ขนาดเที่ยวล่าสุดเหลือเก้าอี้ ส.ส.ตรัง แค่ 2 เขต จากที่มีทั้งหมด 4 เขต และบางหน่วยพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้แค่ 1 คะแนนเท่านั้น เพราะการเมืองในวันนี้ จะพูดอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำด้วย
นายสมชาย กล่าวอีกว่า แม้วันนี้ นายอภิสิทธิ์ จะติดต่อมาขอเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ นายสาทิตย์ แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว เพราะวันนั้นตอนที่เกิดปัญหา ไม่มีผู้ใหญ่ในพรรคสนใจมาเคลียร์เลย อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าการเลือกตั้งเที่ยวหน้า คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์จะดีขึ้น เมื่อได้ นายอภิสิทธิ์ มาเป็นหัวหน้าพรรค จากคะแนนเดิม 9 แสน ก็น่าจะได้เป็น 2 ล้าน แต่สำหรับ ส.ส.เขตในภาคใต้คงเหลือน้อย และเชื่อว่าเที่ยวหน้าที่จังหวัดตรัง น้ำเงินจะกวาดเรียบ
ที่ผ่านมามีหลายพรรคติดต่อทาบทามมา แต่ตนเห็นว่า พรรคภูมิใจไทย มีความพร้อมสุด เติบโตเร็วสุด และอยากได้ผู้แทนที่ตรังมากสุด ส่วน นายอนุทิน เองก็เคยมาบ้านตนเองหลายครั้ง และเคยมาเป็นประธานงานแต่งงานของบุตรสาวคือ นางสาวสุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง 2 สมัย ด้วย จึงถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ขนาดอยู่คนละพรรคกัน เหมือนดั่งคำพูดที่ว่า “พวกเดียวคนละพรรค ดีกว่าพรรคเดียวคนละพวก”
นายสมชาย ยอมรับว่า ตอนนี้เริ่มมีการสร้างกระแสเปรตอวตาร เพื่อทำลายกันทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ แล้ว เช่น บอกว่า บุรีรัมย์จะครองตรัง หรือโน่นนี่นั่น แต่ตนมั่นใจว่า ผู้นำท้องที่ท้องถิ่นที่เข้มแข็งทั้งจังหวัดในสายงานของตน จะสามารถลงไปอธิบายชาวบ้านให้รับทราบความจริงได้ เชื่อมั่นไม่น่าจะมีปัญหาจากกรณีนี้ โดยที่ผ่านมาตนไม่เคยเรียกตัวเองว่า บ้านใหญ่ แต่คำนี้สื่อเป็นคนตั้งให้ ซึ่งได้มาจากความสัมพันธ์ของตน ที่คอยดูแลชาวบ้านทุกระดับมายาวนานแล้ว ไม่มีแบบไปงานศพ 20 คน ทำบุญ 300 บาท
ส่วนจากกรณีที่เกิดขึ้น ตนเองไม่เคยติดต่ออะไรกับ นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทุกปีในวันครบรอบการจากไปของ คุณแม่ถ้วน มารดาของ นายชวน ตนก็จะนำหมูย่างไปสับแจกจ่ายในงาน และทำเช่นนี้มา 14 ปีมาแล้ว รวมทั้งในปีต่อๆ ไป เพราะตนเริ่มต้นการเมืองจากตรงนี้ จึงมีความผูกพันกันมาก และได้ยก นายชวน ไว้บนหิ้ง เป็นที่เคารพ เพียงแต่วันนี้การเมืองเปลี่ยน และบทบาทได้มาอยู่ที่คนรุ่นใหม่แล้ว เราจึงต้องปรับตัวให้ทัน
นายสมชาย ยังมองการเมืองระดับประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ส้ม แดง น้ำเงิน จะช่วงชิงความได้เปรียบกัน แต่เชื่อตอนนี้กระแสน้ำเงินมาแรงมาก และได้เปรียบเพราะเป็นรัฐบาล ตนจึงคิดว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ย้ายมาอยู่กับพรรคนี้


