คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
25 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมาครบรอบ 21 ปี “เหตุการณ์โศกนาฏกรรมตากใบ” ที่เริ่มจากแผนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ให้ชุดคุ้มครองหมู่บ้าน(ชรบ.) จำนวนหนึ่งนำปืนลูกซองยาวของราชการไปมอบให้แก่ “แนวร่วม” เพื่อให้ตำรวจ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส จับกุม ชรบ.ทั้งชุดไปสอบสวน
จากนั้น “ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ” บีอาร์เอ็นได้ปลุกระดมมวลชนนับพันไปปิดล้อม สภ.ตากใบ กดดันให้ตำรวจปล่อยตัว มีทั้งมวลชนจัดตั้งและประชาชนที่ “ถูกหลอกให้ไปดูนกยักษ์” พลบค่ำก็ให้มวลชนจัดตั้งปะทะเจ้าหน้าที่เพื่อให้มีการบาดเจ็บล้มตาย แล้วป่าวประกาศว่า “เจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน”
ที่สำคัญวันนั้น 25 ตุลาคม 2547 อยู่ในช่วง “รอมฎอน” ที่พี่น้องมุสิลมถือศีลอดข้าวอดน้ำตลอดกลางวัน กอปรกับ “อุสตาส” หรือครูสอนศาสนา คนของบีอาร์เอ็นได้บ่มเพาะไว้ก่อนแล้วว่า “มุสิลมที่ทำลายล้างศัตรูช่วงถือศีลอดจะได้บุญ 10 เท่า” นั่นจึงทำให้สถานการณ์ยิ่งรุนแรงและย่ำแย่
แม้ “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” สั่งให้ใช้วิธีจากเบาไปหาหนัก แต่ก็ไม่ทำให้ผู้ชุมนุมล่าถอย แถมมีมวลชนถูกเติมเข้าไปเรื่อยๆ ตลอดวัน สุดท้ายจึงสั่งสลายการชุมนุมให้ได้ก่อนพลบค่ำ ทำให้มี “คนตาย” ที่ สภ.ตากใบและระหว่างถูกคุมตัวใส่รถยีเอ็มซีไปส่งที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กว่า 100 กิโลเมตร
ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตบริเวณ สภ.ตากใบมีไม่เท่าไหร่ แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมที่ถูกขนทับถมไปในรถบรรทุกทหารถึงที่หมายยามวิกาลพบว่า มีเสียชีวิตถึง “กว่า 80 ศพ” และยังมีที่ต้องบาดเจ็บและพิการในเวลาต่อมาอีกจำนวนหนึ่ง สาเหตุหลักเป็นเพราะ “ขาดอากาศหายใจ” แถมยังมาจากความอ่อนล้าจากการถือศีลอดด้วย
แม้ภายหลังรัฐบาลได้ตั้ง “องค์กรอิสระ” เพื่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ก็ยุติลงด้วยการใช้ “ยุติธรรมสมานฉันท์” ให้เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 7.5 ล้านบาท ส่วนบาดเจ็บและผู้พิการได้ลดหลั่นลงไป โดยต้องไม่ฟ้องร้องคดีอีก แต่ก็มีบางครอบครัวที่รับเงินเยียวยาไปแล้ว แต่กลับยังฟ้องร้องคดีอาญาตามมา
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ผู้คนต่างเข้าใจว่า “คดีตากใบ” ได้ยุติไปแล้ว เพียงแต่ทุกวันที่ 25 ตุลาคมของทุกปี ฝ่ายบีอาร์เอ็นยังพยายามให้ “ภาคประชาสังคม” อยู่ใต้ปีกการเมืองในพื้นที่หยิบเอาเหตุการณ์โศกนาฏกรรมตากใบมาตอกย้ำเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนำตัว “ผู้รับผิดชอบสลายการชุมนุม” มาลงโทษทางอาญา
เมื่อปีที่แล้วช่วงก่อนครบ 20 ปีที่คดีตากใบจะหมดอายุความ ก็มี “กลุ่มทนายความ” อ้างว่ารับมอบอำนาจจากครอบครัวผู้สูญเสียให้นำคดีดังกล่าวยื่นฟ้องศาลจังหวัดนราธิวาส ให้เอาผิดทางอาญาเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนในการสลายการชุมนุมและควบคุมขนส่งผู้ชุมนุมจนเสียชีวิตและพิการ
แต่คดีนี้ก็จบลงที่ “ผู้ถูกศาลออกหมายจับ” ไม่ไปรายงานตัว และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถติดตามตัวมาส่งให้ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ตามเวลากำหนด ซึ่งในทางกฎหมายจึงต้องถือว่าทุกคนที่ถูกออกหมายจับพ้นจากความผิดทั้งหมดทั้งปวงไปแล้ว
ทว่าแม้จะล่วงเลยถึงปีที่ 21 เหตุการณ์ตากใบก็ยังยากยุติลงได้ ช่วงก่อนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ยังมีบางนักการเมืองและบางพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กับภาคประชาสังคมใต้ปีกการเมืองบีอาร์เอ็นได้ยื่นเรื่องรัฐบาลให้ “รื้อฟื้นคดีตากใบ” และให้ยอมรับว่าเป็น “โศกนาฏกรรมที่รัฐเป็นผู้ก่อ”
ทั้งนี้ ด้วยต้องการให้มีการแสดงออกถึงการที่รัฐบาลขออภัยอย่างเป็นทางการ สำหรับในส่วนของการรื้อฟื้นคดีก็คือ ให้มีการนำคดีตากใบไปดำเนินการตามกลไกของกฎหมายต่างประเทศ หรือผลักดันขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) นั่นเอง
เมื่อคดีตากใบยังถูกใช้เป็นเงื่อนไขกระพือไฟใต้ให้ลุกโชนอย่างไม่มีจุดจบ การออกมาเรียกร้องสันติภาพและให้ชายแดนใต้คืนสู่สันติสุขคงเกิดขึ้นไม่ได้ แม้แต่เวทีพูดคุยสันติสุขก็ไม่สามารถทำให้คลี่คลาย เพราะรัฐบาล รวมถึงกองทัพคงไม่มีวันรับข้อเรียกร้องดังกล่าว
มีอีกเงื่อนไขกระพือไฟใต้คือ จากการตรวจค้นและบันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ พบว่า บีอาร์เอ็นมีการบ่มเพาะและปลุกระดมเยาวชนชาย-หญิงหรือ “เปอร์มูดอ” และ “เปอร์มูดี” ในพื้นที่ให้ปฏิเสธการเป็นคนไทย และเรียกร้อง “เอกราชปัตตานี” อย่างต่อเนื่อง โดยมีการขยายพื้นที่จัดตั้งอย่างเข้มแข็งด้วย
การตรวจค้นสถาบันปอเนาะที่ ต.บาเก่า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี “จับเป็น” และ “จับตาย” กองกำลังติดอาวุธที่เข้าไปพักพิงได้ และจากหลักฐานที่ยึดได้แสดงให้เห็นว่าอาจมีโรงเรียนสอนศาสนาอีกไม่น้อยที่ยังเป็นเครื่องมือให้บีอาร์เอ็นใช้สร้างอุดมการณ์และฝึกอาวุธ
บีอาร์เอ็นมีความก้าวหน้าในการสร้างมวลชนให้ขยายตัวไปทุกหมู่บ้าน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของหน่วยงานความมั่นคง ที่ไม่กล้าตรวจสอบและตรวจค้น รวมทั้งไม่มีความแม่นยำของงานการข่าว ส่งผลให้บีอาร์เอ็นมีได้เปรียบในเวลานี้
วันนี้ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา มี “มหาอำนาจอเมริกา” แทรกเข้ามาบีบให้รัฐบาลไทยต้องยอมรับเงื่อนไขอย่างหวานอมขมกลืน ซึ่งต่อไปอาจจะเข้ามาแทรกเป็นยาดำต่อ “มาตรการดับไฟใต้” ระหว่างรัฐบาลกับบีอาร์เอ็นด้วยก็เป็นได้
หากมีแนวโน้มเช่นนั้นจริงคือ อันตรายสำหรับปัญหาความขัดแย้งบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน ดังนั้นจึงต้องถามดังๆ ว่า วันนี้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบดับไฟใต้ไม่ว่าจะรัฐบาลและกองทัพมีการสำเหนียกและมีแผนรับมือไว้แล้วหรือยัง
 
                    

