คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล สร้างเป็นปรากฎการณ์ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” ขึ้น ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยิ่งใหญ่อีกคราครั้ง ด้วยการนำคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับ “มาตรการดับไฟใต้” จากส่วนกลาง เดินทางมาร่วมประชุมกับผู้นำหน่วยงานความมั่นคงและหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่
คณะของนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง เป็นต้น
สำหรับในพื้นที่ ประกอบด้วย พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงในสังกัด พร้อมด้วยฝ่ายตำรวจและพลเรือน นำโดย ผู้บัญชาการตำรวจภาค 9 (ผบช.ภ.9) และ ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เกี่ยวข้อง
เป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังรับตำแหน่งนายกฯ และหลังบีอาร์เอ็นเปิดปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงต่อเนื่อง ตั้งแต่ปล้นร้านทองในห้างบิ๊กซี อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ลอบวางระเบิด 3 ลูกในศูนย์เยาวชน 1 ลูกในสนามช้างเผือก และไปป์บอมบ์ 7 ลูกในสวนขวัญเมืองเขตเทศบาลนครยะลา อีกทั้งบึ้มป้ายบอกทางรถไฟที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
นอกจากสอบถามความคืบหน้าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังสั่งการให้ใช้มาตรการป้องกันที่รัดกุมและเข้มข้น โดยเฉพาะงานการข่าว และการซีลพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยกำชับเป็นพิเศษตามแนวแม่น้ำสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งปรากฏว่ากองกำลังบีอาร์เอ็นใช้เข้า-ออก ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุได้สะดวก
ซึ่งก็ถือเป็น “ปรากฏการณ์เดิมๆ” ที่ไม่ว่าใครได้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีต่างก็ทำกันมาแล้วทั้งนั้น แทบไม่มีอะไรใหม่หรือแตกต่าง แต่ที่ต้องติดตามมีนัยสำคัญคือ หลังคณะนายกฯ กลับไปแล้ว “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะแสดง “ศักยภาพ” ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ได้มากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตคือ คณะนายกฯ หนนี้มี “รมว.การต่างประเทศ” ร่วมเดินทางมาด้วย ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสำคัญต่อมาตรการดับไฟใต้ เพราะเกี่ยวพันถึงประเทศมาเลเซีย ทั้งในฐานะให้ “บีอาร์เอ็นตั้งฐานที่มั่น” อยู่ในรัฐกลันตันและรัฐตรังกานู และในฐานะรัฐบาลเสือเหลืองรับหน้าที่ “ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการเจรจา”
อีกทั้งมีการนำ “หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย” คนล่าสุดเดินทางมาด้วย เพื่อประเมินสถานการณ์ไฟใต้ ก่อนจะไปจัดทีมที่ต้องมีทั้ง “คณะกรรมการชุดใหญ่” และ “ประธานฝ่ายเทคนิค” อันก็เป็นไป “แบบเดิมๆ” อีกเช่นกัน เพื่อยกทัพไปเจรจากับฝ่ายบีอาร์เอ็น
มีหลายปัญหาที่ยังเป็นที่ “กังขา” ของสังคมคือ 1) รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เข้ามาบริหารประเทศระยะเวลาสั้นมาก หลังเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้า “พรรคภูมิใจไทย” ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วการแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยชุดนี้จะมีความต่อเนื่องไหม
2) หากเร่งรีบตั้งโต๊พูดคุยสันติสุขท่ามกลางการทำหน้าที่ของ “กอ..รมน.”ภาค 4 ส่วนหน้า” ที่ยังไม่สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือบีอาร์เอ็น โดยเฉพาะมีภาพชัดที่ถูกก่อเหตุร้ายรุนแรงต่อเนื่องมาดังกล่าว ย่อมเสี่ยงที่ฝ่ายรัฐไทยจะตกเป็น “เบี้ยล่าง” หรือเป็นการเจรจาแบบ “พายเรือในอ่าง” เหมือนที่ผ่านมาไหม
3) การตั้งคณะพูดคุยสันติสุขชุดใหม่ครั้งนี้ เป็นความต้องการใคร “รัฐบาล” หรือ “รมว.กลาโหม” หรือ “กองทัพ” หรือ “สมช.” และที่สำคัญที่สุดคือเพื่อ “ต้องการใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท” ในการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยมากกว่าต้องการ “ผลสัมฤทธิ์” ในการดับไฟใต้ใช่หรือเปล่า
4) ฝ่ายรัฐไทยชัดเจนหัวหน้าคณะคือ “พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา” ส่วนฝ่ายบีอาร์เอ็นเวลานี้กลับยังไม่รู้ว่า “ใคร” เพราะขบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ยังทำตัวเป็น “องค์กรลับ” ที่สำคัญหลังก่อเหตุไม่ออกมา “รับ” หรือ “ปฏิเสธ” ว่าได้ลงมือทำหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การจะไปเจรจาด้วยยังมีประโยชน์อยู่อีกหรือไม่
5) ปัจจุบันนี้ “แกนนำ” ขบวนการบีอาร์เอ็นที่สามารถตอบรับข้อเสนอต่างๆ ไม่ว่า “โน” หรือ “โอเค” ที่หน่วยข่าวกรองไทยมีรายชื่ออยู่ก็ไม่กี่คน อาทิ “นิเซะ นิฮะ” หรือ “บือราเฮง ปะจุศาลา” หรือ “กาแม เวาะแล” เป็นต้นถึงเวลานี้ยังไม่มีการยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้จะได้รับแต่ตั้งเป็น “หัวหน้าคณะฝ่ายบีอาร์เอ็น” หรือไม่
6) กรอบเจรจา “เจซีพีพี” (Joint Comprehensive Plan towards Peace : JCPP) ที่เป็นข้อตกลงที่นายฉัตรชัย บางชวด อดีตหัวหน้าคณะฝ่ายคนก่อนได้ทำไว้กับฝ่ายบีอาร์เอ็นยังจะถูกใช้ต่อหรือไม่ เนื่องจากบุคคลในฝ่ายความมั่นคงจำนวนมากไม่เห็นด้วย หากให้ใช้ต่อ “ความเสียเปรียบ” จะตกอยู่กับฝ่ายรัฐไทยมากกว่า
และ 7) มีข่าวสะพัดว่าการเปิดโต๊ะเจรจาครั้งหน้า ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะไม่มีแค่ “บีอาร์เอ็น” เท่านั้น แต่ทุกขบวนการที่ยังเคลื่อนไหวในชายแดนใต้ของไทยให้เห็นว่ายังมี “ตัวตน” อยู่ พวกเขาต่างขอส่งตัวแทนเข้ามามีส่วนร่วมนั่งบนโต๊ะพูดคุยสันติสุขที่จะเกิดขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้บีอาร์เอ็นเคยแถลงไว้ชัดว่า หากเปิดให้ขบวนการอื่นๆ ที่ถือเป็น “รถเปล่า” เพราะไม่มีการ “กองกำลังโดยสารมาด้วย” ได้เข้าร่วมโต๊ะเจรจา ก็จะไม่มีแม้เงาของตัวแทนฝ่ายบีอาร์เอ็นอยู่ในสถานที่นั้น ซึ่งถ้ายังเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะตั้งโต๊ะพูดคุยสันติสุขไปเพื่ออะไร
ปัจจุบันมีข้อบ่งชี้ว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคลื่อนไหวและปฏิบัติการก่อเหตุในชายแดนใต้ไทยคือ “บีอาร์เอ็น” ส่วนในชื่ออื่นๆ ล้วนจัดว่า “ตายแล้ว” ดังนั้นแค่ขบวนการเดียวยัง “เอาไม่อยู่” แล้วมีเหตุผลใดเล่าที่จะไป “ปลุกผี” ให้มาร่วมปั่นป่วนก่อกวน
ณ วันนี้ “กองทัพ” กำลังได้เปรียบทางการเมืองเหนือ “รัฐบาล” ดูได้จากขออะไรไปล้วนได้ไฟเขียว ดังนั้นถ้า “ยอมในสิ่งถูกต้อง” ย่อมนับเป็นเรื่องดี แต่ถ้า “ยอมในสิ่งไม่ถูกต้อง” หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่สร้าง “ความเสียหาย” กับประเทศชาติและประชาชนได้
ดังนั้นจากปรากฎการณ์ “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมือง” จึงอาจจะตามต่อด้วยปรากฏการณ์ “กลัดกระดุมผิดเม็ด” ก็เป็นได้ โดยเฉพาะกับ “มาตรการดับไฟใต้” หากเดินหมากพลาดเมื่อไหร่ นั่นถือเป็นโอกาส “เสียดินแดน” ของประเทศไทยเราเลยก็เป็นได้


