xs
xsm
sm
md
lg

กำจัดไม่หมด ก็ใช้ประโยชน์มันซะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงที่ผ่านมา ชื่อของ “ปลาหมอคางดำ” โผล่ขึ้นมาในหน้าข่าวและโลกออนไลน์ราวกับเป็นภัยพิบัติชนิดใหม่ หลายคนหวั่นเกรงว่ามันจะกลืนกินระบบนิเวศของไทย ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เป็นบทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของมนุษย์ กับสิ่งที่เรียกว่า “เอเลี่ยนสปีชีส์” หรือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
รศ.ดร.สุชนา ชวนิตย์ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงที่มาของการนำเข้าปลาต่างถิ่นว่าในเชิงวิชาการมีวิธีเข้ามาได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การเข้ามาอย่างจงใจ ซึ่งมีทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

กรณีที่ถูกกฎหมาย เช่น การขออนุญาตนำเข้าเพื่อทำการเพาะเลี้ยง เพื่อเป็นปลาสวยงาม กรณีนี้ง่ายต่อการควบคุม มีที่มาที่ไปชัดเจน ตลอดจนมีมาตรการกำจัดกำกับไว้เรียบร้อย

กรณีที่ผิดกฎหมาย เช่น การลักลอบนำเข้า ซึ่งเห็นทั่วไปตามตลาดปลา กรณีนี้ไม่ใช่แค่ที่ไทยแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นการนำเข้าที่ ไม่สามารถหาได้เลยว่าเอาเข้ามาแล้วไปอยู่ที่ไหน ซึ่งกลุ่มนี้มีมากที่สุด

การเข้ามาอย่างไม่จงใจ เช่น ติดมากับใต้ท้องเรือ หรือ ติดมากับน้ำอับเฉาในเรือ

จากประสบการณ์กว่ายี่สิบปีของ ดร.สุชนา เธอระบุว่า “ไม่เคยมีประเทศไหนในโลกที่กำจัดเอเลี่ยนสปีชีส์ที่ระบาดแล้วให้หมดสิ้นได้” เนื่องจากเมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งหลุดรอดเข้ามาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มันก็จะเติบโต ขยายพันธุ์ และปรับตัวอย่างรวดเร็ว เกินกว่าจะจัดการให้หมดไปได้ นี่คือความจริงที่จำต้องยอมรับ

ประเทศไทยอยู่กับพืชและสัตว์ต่างถิ่นมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผักตบชวาที่เต็มแม่น้ำ เต่าญี่ปุ่นที่เคยฮิตเลี้ยงกัน หรือแม้แต่กุ้งขาวที่เพาะเลี้ยงและส่งออกจนกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่เข้ามาและหยั่งรากในสังคมไทยจนแทบไม่มีใครคิดถึงต้นกำเนิดของมันอีกต่อไป การตื่นตระหนกกับปลาหมอคางดำ จึงสะท้อนว่าคนส่วนใหญ่เพิ่งตระหนักปัญหาที่อยู่มานานนับศตวรรษ เพียงเพราะวันนี้มีโซเชี่ยลมีเดียมาช่วยกระพือข่าว

ถ้ากำจัดไม่หมด แล้วทางออกอยู่ตรงไหน? หลายประเทศเลือกที่จะอยู่ร่วม และหาทางใช้ประโยชน์จากมันแทน เช่น สหรัฐฯ ที่เคยเผชิญกับปลาสิงโตจากไทย ก็ใช้วิธีควบคุมด้วยการส่งเสริมการจับ และบริโภคปลาสิงโต รวมถึงจัดแข่งขันตกปลา เรียกว่าใช้วัฒนธรรมการบริโภคมาเป็นเครื่องมือควบคุม และอาจเป็นแนวทางที่นำมาปรับใช้กับปลาหมอคางดำได้เช่นกัน

เพราะในท้ายที่สุด ปลาหมอคางดำ ก็เป็นปลาที่กินได้ เป็นโปรตีนที่จับต้องได้ หมายความว่า แม้จะมีปัญหาปลาหมอคางดำ ระบาดแต่ก็มีโอกาสซ่อนอยู่ด้วย ปลาหมอคางดำอาจถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ เป็นปุ๋ยชีวภาพ หรือกลายเป็นแหล่งโปรตีนราคาย่อมเยาที่ช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนในบางพื้นที่ สิ่งที่สำคัญคือการปรับมุมมอง จากการมองมันเป็น “ศัตรู” ไปสู่การเห็นว่าเป็น “ทรัพยากร

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจแก้ได้เพียงการกินอย่างเดียว หากไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย รัฐจำเป็นต้องเข้มงวดกว่านี้ โดยเฉพาะกับการลักลอบนำเข้า กฎหมายไทยยังอ่อนแรงเมื่อเทียบกับประเทศที่เคร่งครัดอย่างออสเตรเลีย ที่แม้แต่ผู้โดยสารยังไม่สามารถนำผลไม้สดติดเข้าประเทศได้ ความเข้มแข็งของกฎเกณฑ์จึงเป็นปราการด่านแรกที่จะช่วยลดความเสี่ยง ไม่ให้ปัญหาบานปลายเหมือนทุกวันนี้

แต่ในจังหวะที่ปัญหาปลาหมอคางดำเกิดขึ้นแล้ว การจะกำจัดให้หมดอาจเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ควรถามตัวเองว่าจะอยู่กับมันอย่างไรโดยไม่ให้กระทบต่อระบบนิเวศเกินควร และในเวลาเดียวกันสามารถดึงประโยชน์กลับคืนมาได้อย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกคนต้องร่วมกันหาคำตอบ 

เพราะสุดท้ายแล้วความจริงที่เลี่ยงไม่พ้นก็คือ “ไม่มีใครกำจัดเอเลี่ยนสปีชีส์ให้หมดได้” สิ่งที่ทำได้คือยอมรับมัน ปรับตัว และหันมาใช้ประโยชน์จากมันให้มากที่สุด บางทีการอยู่ร่วมอย่างชาญฉลาด อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าการทำสงครามที่ไม่รู้จบ


กำลังโหลดความคิดเห็น