คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
จยย.พ่วงข้างบอมบ์ที่เป้าหมายคือ “สัญลักษณ์อำนาจรัฐ” สถานีตำรวจทางหลวงกลาพอ ต.เคราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แม้ไม่มีใครต้องบาดเจ็บล้มตาย แต่ก็ได้สร้างความเสียหายให้แก่อาคารสถานที่และรถยนต์ราชการ รวมทั้งบ้านเรือนประชาชน ถึงขั้นยับเยินอีกครั้ง
ตามด้วยลอบวางระเบิดและวางเพลิงที่เป้าหมายคือ “สัญลักษณ์ของอำนาจทุน” บริษัท โรจพาราวู้ด จำกัด ม.2 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สร้างความเสียหายต่อรถโฟลค์ลิฟท์และทรัพย์สินอื่นๆ พอสมควร ถือเป็นการทำลายบรรยากาศด้านการลงทุนในพื้นที่
ก่อนหน้านี้ยังมีการก่อวินาศกรรมต่อกับทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ อ.แว้ง อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และบริษัทรับเหมาก่อสร้างสะพานกับบริษัทรับเหมาโครงการชลประทาน ที่ จ.ปัตตานี ซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างย่อยยับมาแล้ว
และล่าสุดยังมีการลอบยิง “สารวัตรกำนัน” เสียชีวิตในรถแบคโฮที่ ต.จะกั๊วะ อ.รามัน จ.ยะลา ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นคนของนักการเมืองบ้านใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่คือ “ซูกาโน มะทา” สส.ยะลา เขต 2
ทั้งหมดเป็นฝีมือของกองกำลังติดอาวุธและแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ที่ต้องการ “ทำลายเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้” โดยปฏิบัติการต่อผู้ประกอบการ ซึ่งโยงใยกลุ่มทุนการเมืองและกระทั่งหน่วยงานราชการได้ครบแล้วทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้
ปรากฏการณ์นี้ชี้ชัดถึง “ความล้มเหลว” การป้องกันเหตุของหน่วยงานความมั่นคง และตอกย้ำความรู้สึกคนในพื้นที่ถึง “ความไม่มั่นใจ” และ “ความไม่ศรัทธา” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง จนนำไปสู่ความรู้สึกชาวบ้านได้ว่า ไม่สำคัญอะไรเลยกับการมีหรือไม่มีเจ้าหน้าที่เหล่านี้อยู่ในพื้นที่
นี่คือ “ชัยชนะของบีอาร์เอ็น” ในการทำลายความเชื่อมั่น ที่มีต่ออำนาจรัฐ และสิ่งที่ตามมานั่นคือการที่ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในทุกกรณี พร้อมๆ กับสร้าง “ความหวาดกลัว” ให้เกิดขึ้น อันนำไปสู่การสร้างอิทธิพลจนต้องหันไปให้ความร่วมมือ หรือกลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นในที่สุด
ทราบจากข่าววงในมาว่า ในการโยกย้ายใหญ่หนนี้ “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผบ.ทบ. ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ “เพื่อนร่วมรุ่น” อย่าง พล.ท.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพียงอย่างเดียวเพื่อ “อวยยศ” ให้ได้เป็น “แม่ทัพภาคที่ 4”
แต่ลึกลงไปกว่านั้น ยังมีการวิเคราะห์จากทีมงานถึง “มาตรการดับไฟใต้” ที่มี “ความล้มเหลว” มาโดยตลอดว่า สาเหตุหนึ่งมาจากการเข้ามา “ครอบงำ” ของ “อดีตแม่ทัพภาคที่ 4” อย่างน้อย 3 คนต่อแม่ทัพภาคที่ 4 ที่เป็น “ลูกหม้อ” หรือที่เติบโตขึ้นในกองทัพภาคที่ 4 ที่ส่วนใหญ่ได้รับ “บุญคุณ” จาก “รุ่นพี่” ทุกคน
มีการกล่าวกันว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายในพื้นที่ “ทำได้ยาก” เพราะลูกหม้อที่ได้มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่มักถูกครอบงำจากอดีตแม่ทัพทั้ง 3 คนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องเพราะอดีตแม่ทัพเหล่านั้นมัก “แสวงหาผลประโยชน์” ทั้งจากงบประมาณและการวางคนของตนเองเพื่อสร้างฐานอำนาจมายาวนาน
ดังนั้นจึงมี “เสือข้ามห้วย” เกิดขึ้น ด้วยการย้าย “รองยูณ” หรือ พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 มาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อ “ล้างบาง” อิทธิพลของบรรดาอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ดังกล่าว เป็นการหยุดมะเร็งร้ายที่เกาะกินมายาวนานทั้งใน “กองทัพภาคที่ 4” และใน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” รวมถึง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข”
ดังนั้นแผนการส่ง “เสือข้ามห้วย” จากกองทัพภาคที่ 2 แม้จะถูกมองว่าอาจไม่เข้าใจบริบท “ไฟใต้” แต่กลับมีความสำคัญยิ่งต่อการล้างบางอิทธิพลของอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ต้องการเข้าไปครอบงำการทำหน้าที่ของผู้มาใหม่ทุกคนนั่นเอง
อีกทั้งยังเป็นการวางแผนระยะยาวที่หลังเกษียณของ “เสือข้ามห้วย” ในปี 2569 จะมีการ “ส่งไม้” ให้ “ลูกหม้อ” รองแม่ทัพภาคที่ 4 ที่มาจาก “รบพิเศษ” หรือ “กองทัพภาคที่ 5” เพื่อสะสางปัญหาไฟใต้ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้ “กองกำลังอาสารักษาดินแดน” โดยจะมีการถอนทหารส่วนหนึ่งออกจากพื้นที่ด้วย
ทั้งหมดนั้นคือ “โรดแมป” ของกองทัพที่ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีข่าวจากวงในกองทัพเพิ่มเติมถึงเหตุที่ต้องเกิด “เสือข้ามห้วย” ในกองทัพภาคที่ 4 ครั้งนี้ว่า ใน 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นปีงบประมาณใหม่จะมีการสลับสับเปลี่ยนผู้รับผิดชอบงานใหม่ด้วย ซึ่งเถือเป็นการรับมือฝ่ายบีอาร์เอ็นที่ “วางแผน” และ “สั่งการ” ให้กองกำลังติดอาวุธเปิดปฏิบัติการ
ประกอบด้วย 1.ปฏิบัติการก่อการร้ายต่อพื้นที่สาธารณประโยชน์และสาธารณูประโภคที่เป็นของรัฐ 2.ทำลายเศรษฐกิจการลงทุนของเอกชนในพื้นที่ 3.ก่อการร้ายต่อเป้าหมาย “สัญลักษณ์” ของรัฐไทย เช่น ที่ว่าการอำเภอ สถานตำรวจ สถานที่ราชการต่างๆ และ 4.ปฏิบัติการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่ออำนาจรัฐ
ส่วนการปฏิบัติการต่อเป้าหมายที่เป็นทหาร ตำรวจ รวมถึงกองกำลังท้องถิ่นอย่าง “อาสาสมัครรักษาดินแดน” และ “อาสาสมัครทหารพราน” ไม่นับให้อยู่ในแผน 3 เดือน เพราะเป็นปฏิบัติการที่ต้องทำตาม “วงรอบ” ของแผน 2 ปีอยู่แล้ว
สำหรับการโจมตีเป้าหมายที่เป็นทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง สิ่งนี้ก็ถือเป็นงานประจำของกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นอยู่แล้วเช่นกัน นั่นคือเมื่อ “เป้าหมายชัด โอกาสมี ทางหนีพร้อม” ก็ให้มีการลงมือได้โดยพลัน
ที่สำคัญวันนี้บีอาร์เอ็นมีการสร้าง “ครูฝึกรุ่นใหม่” เพิ่มาทำหน้าที่เป็นครูฝึก “สมาชิกหน้าขาว” ขึ้นมาเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 คน เพื่อเตรียมการก่อการร้ายในช่วง 3 เดือนที่จะถึงดังกล่าว
จึงต้องติดตามกันใกล้ชิดต่อไปว่าการที่ พล.ต.นรธิป โพยนอก ข้ามห้วยจาก “รองแม่ทัพภาค 2” มารับหน้าที่ใหม่คือ “แม่ทัพภาคที่ 4” และ “ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะดำเนินการป้องกันและต่อกรกับกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียกับทั้งต่อภาครัฐ เจ้าหน้าที่และประชาชนเหมือนที่ผ่านๆ มา