เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ร้านอาหารหลานตาชู อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายวัง จื้อเจียน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา ได้พบปะกับตัวแทนสื่อมวลชนในจังหวัดสงขลา เพื่อสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ภายหลังเดินทางมารับตำแหน่งกงสุลใหญ่ฯ ประจำภาคใต้ โดยมีนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา และสื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้นำการสนทนาในครั้งนี้
นายวัง จื้อเจียน ได้กล่าวถึงภารกิจในฐานะกงสุลใหญ่ฯ ว่า ได้ให้ความสนใจในปัญหาความยากจนของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางการไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งประเทศจีนเคยประสบปัญหานี้และแก้ไขปัญหาความยากจนของประชากร 800 ล้านคนได้สำเร็จมาแล้ว จากการลงพื้นที่หลายจังหวัดของภาคใต้ พบว่าประชาชนไทยมีต้นทุนคือที่ดินทำกิน มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ แต่ขาดการใช้เทคโนโลยี การบริหารจัดการในเรื่องความรู้ และการตลาด ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งในเรื่องนี้ สำนักงานกงสุลมีแผนที่จะนำตัวแทนกลุ่มอาชีพจากประเทศไทยและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ไปดูงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศจีน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ปัญหาความยากจน
นอกจากนี้ จะมีการนำตัวแทนชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปศึกษาดูงาน เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงในมิติของชาวมุสลิมในประเทศจีน ที่ได้รับการพัฒนาอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความเป็นอยู่ไม่ได้เป็นอย่างที่สื่อตะวันตกรายงานข่าว ซึ่งจีนถือว่าเป็น "ข่าวปลอม" (Fake News) และสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น จากการลงไปพบปะผู้นำศาสนาอิสลามในจังหวัดยะลา พบว่าผู้นำมุสลิมในพื้นที่ซึ่งเคยเดินทางไปยังประเทศจีนมีความเข้าใจเรื่องต่างๆ ของจีนดีขึ้น การนำตัวแทนชาวมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีนจึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เห็นข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น
นายวัง จื้อเจียน กล่าวต่อไปว่า ช่องทางการค้าระหว่างไทย-จีนยังเปิดกว้างและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน ซึ่งยังเป็นผลไม้ส่งออกที่สำคัญจากประเทศไทย โดยจีนได้อำนวยความสะดวกให้การส่งออกมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรอย่างมะพร้าวน้ำหอมและผลไม้อื่นๆ ตลอดจนการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในภาคใต้เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนในทุกมิติ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในฐานะตัวแทนของรัฐบาลจีนในภาคใต้ หลังจากมารับตำแหน่ง ได้ลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ของภาคใต้ไปแล้วหลายจังหวัด เหลือเพียง 4-5 จังหวัดที่ยังไม่ได้ไป และจะเดินทางลงพื้นที่ให้ครบทั้งหมดภายในปีนี้ เพื่อจะได้เห็นจุดอ่อนและจุดแข็งในการร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย สำหรับการพัฒนาร่วมกันเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เพราะไทยและจีนไม่ได้เป็นเพียงพันธมิตร แต่เป็นมากกว่านั้น นั่นคือเป็น "เครือญาติ" ที่มีความมั่นคงมากกว่าการเป็นพันธมิตร