xs
xsm
sm
md
lg

จัดการปลาหมอคางดำ...ทำได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย... วงษ์อร อร่ามกูล

ทุกครั้งที่มีข่าว “ปลาหมอคางดำ” เรามักเสียเวลาถกเถียงว่าใครผิด ใครปล่อย ทั้งที่คำตอบไม่ช่วยให้รายได้ชาวบ้านดีขึ้นสักนิด สิ่งที่ควรถามตอนนี้คือ “วันนี้เราจะเอามันออกจากน้ำได้เท่าไร และเอาไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง” ต่างหาก

ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia, Sarotherodon melanotheron) เป็นปลาหมอสีถิ่นกำเนิดแอฟริกาตะวันตก ปรับตัวเก่ง อยู่ได้ทั้งน้ำจืด–น้ำกร่อย จึงกลายเป็นสัตว์ต่างถิ่นชนิดรุกรานในหลายประเทศ รวมถึงไทยเราเองด้วย ข้อมูลล่าสุด จากการสำรวจของกรมประมง พบการระบาดใน 17 จังหวัด ลดลงจาก 19 จังหวัดก่อนหน้า แต่ก็ยังสร้างแรงกดดันต่ออาชีพประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รัฐบาลเองประกาศเดินหน้าแพ็กเกจควบคุม 7 มาตรการ เพื่อเร่งจับออก ควบคุมด้วย “ปลาผู้ล่า” ควบคู่กับวิจัยระยะยาว เช่น เทคโนโลยีทำให้ปลาหมอคางดำเป็น “หมัน” ผ่านการเหนี่ยวนำโครโมโซม ตลอดจนแผนฟื้นฟูถิ่นอาศัยให้ชนิดท้องถิ่นกลับมาแข็งแรง

แล้วแนวทาง “ยั่งยืนและทำได้จริง” หน้าตาเป็นอย่างไร?

1) จับ–ใช้–คุม ให้เป็นวงจรเศรษฐกิจ
อย่าจับแล้วทิ้ง ให้ทำ “ตลาดรองรับถาวร” รับซื้อเพื่อนำไปทำอาหารสัตว์ ทำปุ๋ยชีวภาพ หรือแปรรูปเป็นโปรตีนราคาย่อมเยา เมื่อ “จับได้ = มีที่ไป” ชาวบ้านมีแรงจูงใจออกเรือทุกวัน ปริมาณในธรรมชาติจึงลดลงต่อเนื่อง ทั้งยังลดต้นทุนอาหารสัตว์ของเกษตรกรอีกทอดหนึ่งด้วย (หลายพื้นที่ต่างประเทศก็ใช้แนวคิดคล้ายกันนี้กับปลารุกรานกลุ่มทิลาเปีย)

2) สร้าง “โปรแกรมรับซื้อ–ราคาแน่นอน” (Price floor)
เทศบาล/สหกรณ์ประมงกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำ และเปิดจุดรวบรวมให้เห็นชัดในแต่ละอำเภอ เงินไม่ต้องมากแต่ “แน่นอน–ต่อเนื่อง” จะทำให้การจับออกเกิดทุกวัน ไม่ใช่แค่ช่วงกระแสข่าว

3) ใช้วิทยาศาสตร์นำทาง ไม่ใช่ข่าวลือ
งานวิชาการล่าสุดเสนอกรอบ “จัดการเชิงระบบนิเวศแบบบูรณาการ” ตั้งแต่การติดตามด้วย eDNA (ตรวจดีเอ็นเอสิ่งแวดล้อมในน้ำ) การควบคุมด้วยผู้ล่า การบริหารจัดการประมงอย่างมีเป้าหมาย และการพัฒนาแนวทางทำหมันเพื่อลดการสืบพันธุ์ ทั้งหมดต้องทำร่วมกันและวัดผลอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำช็อตเดียวแล้วจบ

4) ผู้ล่าอย่างพอดี–พอเหมาะ
การปล่อยปลานักล่า (เช่น ปลากะพง/ปลาอีกง) ช่วยกดประชากรได้ แต่ต้องทำตามฤดูกาลและสภาพพื้นที่ ไม่ใช่ “ปล่อยแล้วปล่อยเลย” ควรผูกกับข้อมูลติดตามจริงในพื้นที่ เพื่อไม่ให้กระทบสัตว์ชนิดท้องถิ่นอื่นโดยไม่ตั้งใจ


5) เทคโนโลยี “ทำหมัน” เพื่อตัดวงจรแพร่พันธุ์
แนวทางเหนี่ยวนำโครโมโซม (เช่น สร้างสายพันธุ์หมัน) กำลังอยู่ระหว่างวิจัยในไทย เป้าคือให้ปลาแพร่ไม่ออกหรือแพร่ได้ต่ำมาก วิธีนี้ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็น “ชิ้นส่วนสำคัญ” ในชุดเครื่องมือระยะยาวเมื่อใช้ควบคู่กับการจับออกและฟื้นฟูถิ่นอาศัย

6) ฟื้นฟูระบบนิเวศให้ชนิดท้องถิ่นกลับมา
ปลารุกรานมักได้เปรียบในแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ขุ่น ตื้น ออกซิเจนต่ำ การขุดลอกเชิงนิเวศ กำจัดวัชพืชน้ำอย่างเหมาะสม เพิ่มพื้นที่หลบซ่อน และ “ปล่อยกลับ” ปลาพื้นถิ่นที่เหมาะสม จะช่วยให้ระบบนิเวศแข็งแรงขึ้นและต้านการยึดครองของปลาต่างถิ่นได้ดีขึ้น

7) เข้ม Biosecurity: ห้ามเคลื่อนย้าย–ล้างอุปกรณ์–ปิดช่องรั่ว
ความเสี่ยงใหญ่คือ “คนพาไป” มากกว่าปลาว่ายไปเอง ต้องควบคุมการขนย้ายมีชีวิต วางจุดล้างเรือ อวน กะชัง ก่อนเข้า–ออกแหล่งน้ำ และห้ามปล่อยซากมีไข่กลับลงน้ำ กฎง่าย ๆ เหล่านี้ช่วยหยุดการกระจายตัวข้ามลุ่มน้ำได้มาก

8) สื่อสารตรงไปตรงมา ตัดข่าวลวงแต่ต้นทาง
อย่าปล่อยให้เฟคนิวส์นำทาง ทั้งเรื่อง “ห้ามกินทุกกรณี” หรือ “ตากแดดแล้วฟักไข่ได้” ซึ่งไม่จริงทั้งคู่ สิ่งที่จริงคือ เราต้องบริหารจัดการอย่างมีข้อมูล และปกป้องผู้บริโภคด้วยมาตรฐานสุขอนามัยในการแปรรูป/ปรุงสุกตามปกติ

ทำไมต้องเร่งมือ? เพราะงานวิจัยในไทยชี้ว่า ปลาหมอคางดำอาจแทบไม่มีปรสิต/พยาธิที่ติดตามมาควบคุมตามธรรมชาติ จึงยิ่งขยายตัวได้ดี ถ้าเราเฉื่อยเมื่อไรกราฟประชากรจะยิ่งพุ่ง ดังนั้น เลิกเล่นบท “จับผิดคน” แล้วหันมา “จับปลา–ใช้ประโยชน์–คุมประชากร–ฟื้นฟูถิ่น” ให้ทุกวันมีผลลัพธ์ที่วัดได้ ถ้าทำครบเครื่องแบบนี้ ปลาหมอคางดำก็เป็นเพียง “โจทย์บริหารจัดการ” ไม่ใช่ “ศัตรูที่ไม่มีวันชนะ” และที่สำคัญอย่าลืมว่าปัญหานี้ชนะไม่ได้ด้วยโพสต์แรง ๆ แต่ชนะด้วยการลงมือทำ


กำลังโหลดความคิดเห็น