คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ช่วงนี้มี 3 เหตุการณ์ฝีมือกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นที่ควรจับตาคือ การวางเพลิงและวางระเบิด “โรงไฟฟ้าชีวมวล” ที่ ต.กายูคละ อ.แว้ง จ.นราธิวาส วางเพลิงรถสิบล้อและรถขุดรถตักของ “บริษัทเหมืองแร่เอเชีย” ที่ ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และวางเพลิง “บริษัทซามะสัมพันธ์” ที่รับเหมาโครงการชลประทาน ต.ปล่องหอย อ.กระพ้อ จ.ปัตตานี
เป็นการพุ่งเป้าหมายที่ “กลุ่มทุนนอกพื้นที่” ที่เข้าไปลงทุนในชายแดนใต้ อย่างโรงไฟฟ้าชีวมวลมีถึง 16 โรง กระจายอยู่ทั้ง 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ที่ผ่านมาถูกวางเพลิงและวางระเบิดไปแล้ว 2 โรงใน จ.ปัตตานี กับ จ.สงขลา
สำหรับกรณีของ “บริษัทเหมืองแร่เอเชีย” เป็นการก่อเหตุอุกอาจในเวลากลางวัน นอกจากวางเพลิงรถสิบล้อและรถขุดรถตักแล้ว ยังทุบทำลายบ้านพักคนงาน 4 หลัง แล้วขับรถสิบล้อออกจากบริษัทไปเผาทิ้งกลางถนนอีก 1 คัน เหมือนกับต้องการเย้ยหยัน “หน่วยงานความมั่นคง” ว่า ไร้น้ำยาป้องกันเหตุ
ไม่เพียงเท่านั้น แนวร่วมบีอาร์เอ็นยังแขวนป้ายผ้าแสดงความรับผิดชอบและบอกเจตนารมณ์ด้วยว่า ไม่ต้องการให้กลุ่มทุนภายนอกเข้ามาตักตวงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากอ้างความชอบธรรมแล้ว ยังเป็นการหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน โดยเฉพาะกับ “เยาวชน” ที่ถูกปลุกระดมให้ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจรัฐ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวสัมปทานเหมืองแร่หรือเหมืองหิน จะเกิดเหตุแขวนป้าย โปรยใบปลิวหรือไม่ก็พ่นสีตามที่ต่างๆ ที่สำคัญ มีการรวมตัวของเยาวชน นำโดยเอ็นจีโอออกมาคัดค้าน ซึ่งทำให้บีอาร์เอ็นฉวยโอกาสก่อเหตุเพื่อเรียกคะแนนเสียงสนับสนุนทันที เป็นการฉวยโอกาสผสมโรงที่ไม่ใช่ต้องการเรียกร้องความชอบธรรม
ความจริงแล้ว ปฏิบัติการต่อกลุ่มทุนภายนอกพื้นที่ดังกล่าวมี “เบื้องหลัง” และก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่า เป็นเรื่องของการ “เรียกค่าคุ้มครอง” จาก “ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่” และที่สำคัญมักมี “ผู้นำท้องที่” และ/หรือ “ผู้นำท้องถิ่น” ร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วย
ตัวอย่างก่อนหน้าเกิดเหตุกับ “โรงไฟฟ้าชีวมวล” ดังกล่าว มีการเรียกผู้มีอิทธิพลและโดยเฉพาะผู้นำท้องที่กับผู้นำท้องถิ่นไปตกลง “จ่ายเงิน” โดยอ้างเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ แล้วช่วงยังตกลงกันไม่ได้ปรากฏมีผู้นำเรื่องไปรายงานหน่วยความมั่นคง จึงเป็นที่มาของการ “สั่งสอน” นั่นเอง
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับ “บริษัทเหมืองแร่เอเชีย” ซึ่งยังมีการฝังระเบิดหมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเก็บพยานหลักฐาน แต่คนงานของบริษัทกลับรับเคราะห์แทนขาขาด 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย มีข้อมูลยืนยันว่าเกิดจากการ “เรียกค่าคุ้มครอง” เดือนละ 30,000 บาทของบีอาร์เอ็น
แต่เป็นเพราะบริษัทให้ “ผู้รับเหมาช่วง” ดำเนินการขุดและขนแร่ที่เป็นถึงระดับ “นายก อบจ.” ซึ่งต้องถือว่ามีชื่อชั้น ทำให้การเจรจาค่าคุ้มครองล่าช้า จึงเป็นเหตุให้กองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นต้องแสดงศักยภาพให้เห็นถึงความเหนือกว่า ถือเป็นการส่งสัญญาญตรงไปตรงมาชนิดที่พนักงานสอบสวนก็ไม่ต้องไปพึ่งยาบวดหาย
ทั้งหมดทั้งปวงสรุปได้ว่า การลงทุนในชายแดนใต้ต้องจ่าย “ค่าคุ้มครอง” โดยผ่านตัวแทนของบีอาร์เอ็นในพื้นที่อาจเป็น “ผู้นำท้องที่” และ/หรือ “ผู้นำท้องถิ่น” ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ถูกก่อเหตุร้าย หาใช่เป็นเพราะได้เสียภาษีให้แก่รัฐไปแล้ว จึงได้รับการดูแลปกป้องเป็นอย่างดีจากหน่วยงานความมั่นคง
สิ่งที่ผู้ประกอบการในชายแดนใต้ต้องแบกรับ ณ เวลานี้ ไม่ได้แตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นที่โจษขานกัน กล่าวคือ “พูโล” ภายใต้การนำของ “ยูโซะ ปากีสถาน” หรือ “ยูโซะ ยามูแรแน” และมี “สะมะแอ ท่าน้ำ” กับ “ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” เป็นฝ่ายปฏิบัติการ มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองผู้ประกอบการไปทั่ว ไม่เว้นกระทั้งเจ้าของสวนยางและสวนผลไม้
สิ่งที่ไม่ต่างกันเลยคือ ผู้รับหน้าที่เป็นไม้เป็นมือให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนคือ ผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น หรือนักการเมืองทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ แต่ที่แตกต่างกันมีเพียงชื่อเรียกขานขบวนการ ได้แก่ ปัจจุบันคือ “บีอาร์อ็น” ส่วนอดีตคือ “พูโล” เท่านั้น
ปัจจุบันนอกจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ตกเป็นจำเลย เพราะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังต้องรวม “มหาดไทย” ในฐานะต้นสังกัด “ผู้ว่าฯ” และ “นายอำเภอ” ที่ต้องกำกับดูการทำหน้าที่ของทั้ง “ผู้นำท้องที่” กับ “ผู้นำท้องถิ่น” รวมถึงต้องรับผิดชอบ “ผู้มีอิทธิพล” ด้วย
ดังนั้น จึงขอส่งเสียงถามดังๆ ต่อ “สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง อีกทั้งยังนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วยว่า ท่านจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร และกี่โมง..?!?!