“ออกปากเก็บข้าว ให้ฉาวทั้งริมเล” ลงแขกเกี่ยวข้าว นาริมเล มุ่งส่งเสริมการทำนาริมทะเลสาบสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตร วิถีชีวิตเกษตรกรริมทะเลสาบหนึ่งเดียวในไทย อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่บริเวณหลังโรงเรียนบ้านปากประ ตำบลลำปำ อำภเอเมืองพัทลุง ซึ่งเป็นสถานที่ทำนาริมเลแปลงใหญ่ นายปรีชา นวลน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ร่วมกับชาวบ้านกลุ่มเกษตรกร นักเรียน นักท่องเที่ยว วิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงเกษตร รวมกว่า 300 คน ลงแขกเกี่ยวข้าวนาริมเล “การทำนาริมเล” วิถีเกษตรริมทะเลสาบเป็นหนึ่งเดียวในไทย และยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนในชุมชน อีกทั้งยังส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนผ่านการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย
กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการและบริการทางการเกษตรจากหน่วยงานรัฐและสถาบันการศึกษา Workshop ภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ภาพพิมพ์ปลา ผ้ามัดย้อม คั่วตอก การละเล่นพื้นบ้าน เช่น หมากชุม ลากกาบหมาก เดินกะลา การแข่งขันอาหารพื้นถิ่น พิธีทำขวัญข้าว และกิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าว
บรรยากาศยามเย็นริมทะเลสาบ สะท้อนเสน่ห์ “นาริมเล” เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำเหนือทะเลสาบสงขลา ลำแสงสีทองกระทบนาข้าวสุกเหลืองอร่ามริมเล เกิดภาพสะท้อนระยิบระยับราวกับผืนผ้าทอทองที่ทอดตัวแนบผืนน้ำ เสียงหัวเราะของชาวบ้าน เด็กๆ วิ่งเล่นบนคันนา เสียงขับกล่อมเพลงพื้นบ้านคลอไปกับสายลมเย็น สร้างบรรยากาศอบอุ่น งดงามและเต็มไปด้วยชีวิตที่มีความสุข
สำหรับวิถีทำนาในทะเลสาบหนึ่งเดียวของประเทศไทย โดยชาวประมงริมทะเลสาบสงขลาฝั่งจังหวัดพัทลุง ส่วนใหญ่มีอาชีพหลัก คือการออกเรือหาปลา เนื่องจากบ้านเรือนตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา คิดค้นหาวิธีการเพาะปลูกพืชในทะเลสาบ หรือริมฝั่งริมทะเลสาบ เพื่อให้มีผลผลิตเลี้ยงครอบครัว มาตั้งแต่บรรพบุรษของพวกเขา คิดค้นการทำนาข้าวในทะเลสาบโดยใช้พื้นที่ริมชายฝั่งทะเลสาบที่เป็นดินโคลนเหมาะสำหรับปลูกต้นข้าวทอดยาวตามแนวชายฝั่งเกือบ 10 กิโลเมตร มาทำการเพาะปลูกโดยแต่ละปีจะทำนาข้าวลักษณะนี้ ได้เพียงครั้งเดียว ตั้งแต่ช่วงเริ่มปักดำเดือนมิถุนายน และเก็บเกี่ยวปลายๆเดือนสิงหาคม ถึงกลางๆเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ท้องทะเลสาบบริเวณดังกล่าวมีความอุดมสมบรูณ์มากที่สุดในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านจึงได้ทำนาข้าวในทะเลสาบตามแนวชายฝั่งประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ละแปลงจะทำนาจากชายฝั่งลงไปในทะเลประมาณเกือบ 30 เมตร ซึ่งเป็นแห่งเดียวของประเทศไทยที่ทำนาในทะเลสาบ
เหตุผลที่เลือกทำนาในช่วงเวลานี้ เป็นเพราะน้ำในทะเลสาบจะเป็นน้ำกร่อย และเป็นช่วงน้ำลงมากที่สุด หากเกินช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่ได้ผลผลิต เพราะน้ำทะเลจะหนุนสูงท่วมต้นข้าวเสียหาย สำหรับการเพาะปลูกข้าวที่นี่ ต้องหาพันธุ์ข้าวที่ลำต้นแข็งแรง มีรากลึก และต้นข้าวเมื่อเจริญเติบโตแล้วต้องมีความสูง และต้านทานกับสภาพแรงลมและคลื่นขนาดเล็กที่ซัดเข้าหาฝั่งได้
ดังนั้นชาวบ้านจึงนิยมใช้พันธุ์ข้าว กข 55 และพันธุ์ข้าวหอมราชินี ขณะเดียวกันการทำนาริมทะเลสาบในบริเวณดังกล่าวคลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวในแต่ละปีจำนวนมากต่างเดินทางมาถ่ายภาพ ต้นข้าวที่กำลังเจริญเติบโตเขียวจขีกับบรรยายท้องทะเลยามเช้าที่มีแสงพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากผืนน้ำ อีกทั้งเมื่อถึงช่วงรวงข้าวที่กำลังสุกเหลืองอร่าม ก็จะสวยงามเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวและช่างภาพ ที่ต้องการถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง
นายปรีชา นวลน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดี ที่ทุกคนได้ร่วมกันขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาการทำนาริมเล แห่งเดียวในประเทศไทยให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน และทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในชุมชน เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้คนในชุมชนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น