คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
ช่วงนี้แม้ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จะลดลง รวมถึง 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ก็ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นนานแล้ว แต่สถานการณ์ทั่วไปยังไม่น่าไว้วางใจ
เนื่องเพราะยังตรวจพบความเคลื่อนไหวของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียด้าน อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่สำคัญมีการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดข้ามแดนเข้ามาในฝั่งไทยด้วย
นอกจากนี้แล้วยังมีการข่าวสนับสนุนด้วยว่า หลังวันที่ 15 สิงหาคม 2568 อาจจะมีปฏิบัติการจาก 2 ปัจจัยคือ ก่อเหตุตามปกติต่อเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ที่มีช่องโหว่ และก่อเหตุแบบผสมโรง “กรณีตำรวจจับกุมตำรวจไอซ์” ได้เกือบ 200 กิโลกรัม
ทั้งนี้ งานการข่าวระบุว่า ยาเสพติด “ไอซ์” ที่ถูกจับได้เป็นของ “นักการเมืองระดับชาติ” ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และยังเกี่ยวข้องกับ “กองกำลังติดอาวุธ” ของบีอาร์เอ็นด้วย เหมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า ถ้าแตะต้องธุรกิจเถื่อนของคนกลุ่มนี้ เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้อง “จ่ายค่าตอบแทน” ด้วยเช่นกัน
ข่าวการก่อเหตุรุนแรงอีกระลอกหลังวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ถือว่า “มีน้ำหนัก” พอสมควร เพราะทราบว่า พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ได้เรียกประชุมและแจ้งเตือนทุกหน่วยในสังกัดให้มีการระวังป้องกันเข้มข้น ซึ่งจะได้ผลหรือไม่อยู่ที่ความสามารถของกำลังพลในพื้นที่
มีปรากฎการณ์เกี่ยวข้องกับไฟใต้นอกพื้นที่ด้วย นั่นคือ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพิ่งจะเดินทางไปเยือนรัฐกลันตัน ซึ่งมีเขตติดต่อกับประเทศไทย ฐานเสียงหลักของ “พรรคปาส” ฝ่ายค้านที่เพิ่งปลุกระดมให้ประชาชนเดินขบวนขับไล่รัฐบาล โดยอ้างว่าบริหารประเทศล้มเหลว
“อันวาร์” ให้สมภาษณ์สื่อมวลชนมาเลเซียเร่งเร้าให้รัฐบาลไทยเร่งขับเคลื่อนกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” โดยส่งตัวแทนรัฐไทยไปเจรจากับตัวแทนขบวนการบีอาร์เอ็นโดยเร็ว ซึ่งฝ่ายมาเลเซียพร้อมเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ เพื่อยุติปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
หลัง “อันวาร์” ให้สัมภาษณ์เพียง 2 วันปรากฏว่า “กัสตูรี มะโกตาห์” ผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดน “พูโล” ออกมาขานรับด้วยการแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พร้อมสนับสนุนให้เกิดเวทีเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐไทยกับตัวแทนขบวนการบีอาร์เอ็นโดยเร็วด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าทางฝ่ายบีอาร์เอ็นกับ “ไม่ให้ราคา” การออกมาเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียแต่อย่างใด
สำหรับขบวนการพูโลเกิดขึ้นมานานแล้ว และเคยมีการ “แตกแยก” ออกเป็นหลายกลุ่มก้อน เช่น พูโลเก่า พูโลใหม่ พูโลคัสดาน และพูโลของคัสตูรีที่วันนี้ยังแสดงตัวอยู่ เขาถือเป็น “มือรับจ้าง” ให้กับ “องค์กรชาติตะวันตก” ไม่ว่าจะเป็น HD (Centre for Humanitarian Dialogue) หรือ เจนีวาคอลล์ เป็นต้น
องค์กรชาติตะวันตกเหล่านี้อยู่เบื้องหลังการผลักดัน “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” หรือการเจรจาสันติภาพตาม “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม (Joint Comprehensive Peace Plan (JCPP)” ที่ใช้เป็นกรอบข้อตกลงระหว่างรัฐไทยกับบีอาร์เอ็น
JCPP เกิดจากความเห็นชอบของ “ปีกการเมือง” บีอาร์เอ็นที่มีมาเลเซียเป็นผู้กับกับ และมี HD ให้การสนับสนุน ส่วนฝ่ายไทยผู้ให้การเห็นชอบคือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งก็มีส่วนร่วมกับ HD มาโดยตลอด ตั้งแต่การไปทำ “ข้อตกลงความริเริ่มเบอร์ลิน” โดยไม่รับฟังเสียงคัดค้านใดๆ แล้วนำมาต่อยอดเป็นแผนนี้
ทั้งที่เสียงคัดค้านมีสาระสำคัญคือ หากมีการเจรจาตามกรอบ JCPP นั่นอาจจะเปิดโอกาสให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกลายเป็น “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “เขตปกครองตนเอง” ตามเจตนารมณ์ฝ่ายมาเลเซียเคยให้คำแนะนำรัฐบาลไทยไว้ในอดีต ยังดีที่ทุกผู้นำรัฐบาลไทยไม่เอาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องความมั่นคงภายใน
การที่อดีตผู้นำมาเลเซียแนะนำไทยเช่นนั้นไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และก็ไม่เหมือนกับกรณี “โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา” ในอดีตที่มาเลเซียขอความช่วยเหลือไทยจนแก้ปัญหาได้สำเร็จ โดยอ้างว่าเป็นภัยคุกคามร่วม 2 ชาติ เนื่องจากตอนนั้นฝ่ายมาเลเซียต้องการสถาปนา “รัฐกันชน” ให้เกิดขึ้น
ควรทำความเข้าใจด้วยว่าในขบวนการบีอาร์เอ็นฝ่ายที่มีอำนาจแท้จริงคือ “ปีกการทหาร” เพราะคือฝ่ายคุมกองกำลัง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการเจรจาตามกรอบ JCPP เพราะรู้ดีว่าถ้าชายแดนใต้ไทยได้เป็นเขตปกครองพิเศษ หรือเขตปกครองตนเอง ผู้ที่จะมีอำนาจบริหารแผ่นดินตรงนี้คือ “นักการเมืองในพื้นที่” ซึ่งไม่ใช่คนของบีอาร์เอ็น
ดังนี้แล้วจึงไม่ต้องแปลกใจที่ “ปีกการทหาร” ที่มีอำนาจแท้จริงในขบวนการบีอาร์เอ็น พวกเขาจะนิ่งเฉยไม่ให้ราคากับการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของอันวาร์ ในประเด็นที่เร่งเร้าให้รัฐบาลไทยขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุขโดยเร็ว
ความจริงแล้วการแก้ปัญหาไฟใต้ต้องแก้ไปพร้อมกัน 2 ทางคือ ทางแรก “แก้ปัญหาภายใน” อย่างที่แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ทำอยู่ กับทางที่สองคือใช้ “กระบวนการพูดคุย” แต่ต้องมีกรอบขับเคลื่อนที่ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ หรือยกเลิก JCPP แล้วยกร่างกรอบกันใหม่
นอกจากนี้แล้วต้องรู้ด้วยว่า “กำลังพูดคุยกับใคร” ซึ่งต้องไม่ใช่คณะที่ถูกอุปโลกน์โดยมาเลเซีย หรือ HD หรือองค์กรต่างประเทศที่ไม่มีความเป็นกลาง การผลีผลามไปพูดคุยกับตัวแทนบีอาร์เอ็นที่ไม่มีอำนาจ ยากที่จะประสบผลสำเร็จ แถมมีแต่จะสิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์เสียมากกว่า
สุดท้ายเห็นรายชื่อ “คณะที่ปรึกษาด้านความั่นคง” ของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยแล้วมีความหวังขึ้นมาเลย เพราะเต็มไปด้วยผู้รู้เรื่องไฟใต้ชนิดถึงรากเหง้า อาทิ พล.อ.ชินวัตร แม้เดช พล.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ พล.อ.ธิวา เพ็ญเขตกรณ์ พล.ท.วินัย ฉ้งทับ และใครต่อใครอีกหลายคน
ก็ได้แต่หวังว่าทุกท่านจะไม่เดินตามเกมที่ “มาเลเซีย” และ “HD” ต้องการ โดยเฉพาะต้องไม่ถูกครอบงำจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใช้อำนาจผ่านทางร่างทรงมาโดยตลอด สิ่งนี้ต่างหากที่ถือเป็นจุดที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับการเดินหน้าดับไฟใต้