คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไขยยงค์ มณีพิลึก
การขยายพื้นที่ปฏิบัติการจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ และ จ.พังงา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 นับเป็นความพยายามก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดแสวงเครื่องที่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ 3 จังหวัดอันดามันดังกล่าวช่วง 2 ปีมานี้ไม่ต่ำกว่า 3 หน
หนแรกเมื่อ 18-19 ธันวาคม 2567 หนที่สอง 13-14 มกราคม 2568 และหนที่สาม 23-24 มิถุนายน 2568 อีกทั้งถ้ายังจำกันได้ก่อนหน้านั้นมีอีกหลายครั้งที่ จ.ตรังกับ จ.สุราษฎร์ธานี และที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่เพียงเท่านั้นที่หน้าโรงพัก จ.สตูล และในอีกหลายอำเภอของ จ.พัทลุงด้วย
จากการสืบสวนสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุมทำให้ได้ทราบว่า เป็นฝีมือขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ทั้งสิ้น
ยังพบว่าแผนก่อเหตุครั้งล่าสุดระหว่าง 23-24 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำระเบิด 15 ลูกไปวางที่ จ.ภูเก็ต 6 จุด จ.พังงา 1 จุด และ จ.กระบี่ 4 จุด ปรากฏว่าเป็นฝีมือของ “แนวร่วมรับจ้าง” ปฏิบัติการรวม 14 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้สั่งการ 2 คน และขณะนี้ถูกจับกุมได้แล้ว 5 คน
โดยระเบิดทั้งหมดตั้งเวลาให้ทำงานตรงกัน แต่เพราะตำรวจประจำจุดตรวจ อ.เมือง จ.พังงา ตรวจพบรถเก๋ง 2 คันซุกซ่อนระเบิดไว้ และจากการสอบสวนทำให้ได้ทราบถึงแผนการทั้งหมดว่า มีการวางแผนกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.เทพา จ.สงขลา แล้วแบ่งงานกันทำ โดยทยอยเดินทางวางระเบิดตามจุดต่างๆ รวมแล้ว 11 จุด
เมื่อไล่กล้องวงจรปิดทำให้ติดตามร่องรอยกลุ่มคนร้าย จนตรวจพบจุดที่มีการนำระเบิดไปลอบวางได้ทั้งหมด อันนำมาสู่ข่าวการเก็บกู้และยิงทำลายที่ตื่นเต้นครึกโครม ยังดีที่ไม่ทำให้เกิดภาพสลดของความสูญเสียถึงขั้นต้องมีประชาชนบริสุทธิ์บาดเจ็บหรือล้ามตายเกิดขึ้นเท่านั้น
กระนั้นก็ตามข่าวการก่อวินาศกรรมเมืองท่องเที่ยวกระฉ่อนโลกอย่าง จ.ภูเก็ต จ.พังงา และ จ.กระบี่ ก็ได้สร้างความตื่นตระหนกแก่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ถือเป็นการ “ทำลายเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ” ไม่เพียงแค่ 3 จังหวัดอันดามันเท่านั้น ยังรวมถึงทั้งภาคใต้และในระดับประเทศให้ได้รับความเสียหายไปด้วย
เป็นที่ทราบกันว่าสาเหตุขยายการก่อวินาศกรรมออกนอก 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อยในครั้งนี้ เพราะบีอาร์เอ็นต้องการบีบรัฐไทยให้เร่งสานต่อการ “เจรจาสันติภาพ” ที่ว่างเว้นมากว่า 2 ปีนับตั้งแต่มี “รัฐบาลตระบัดสัตย์” ที่นำโดย “พรรคเพื่อไทย”
แต่มีข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งคือ แม้ “ผู้สั่งการ” และ “ผู้ปฏิบัติ” จะถูกตีตราว่าเป็นคนของบีอาร์เอ็น แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นเพียง “ภาพอดีต” ที่ปัจจุบันคนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในสังกัดของบีอาร์เอ็นแล้ว ดังนั้นจึงน่าจะเป็นได้แค่ “มือรับจ้าง” สร้างสถานการณ์ตามแต่ใครจะเป็น “ผู้จ้างวาน” ก็เท่านั้น
ที่สำคัญการก่อวินาศกรรมหนนี้มีข้อมูลระบุว่า ผู้จ้างวานคือ “คัสตูรี่ มะโกตาห์” ผู้นำขบวนการแบ่งแยกแดนแดน “พูโล” ที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศสวีเดน
ข้อมูลยังระบุด้วยว่า เขาเองก็เคยเป็น “ผู้รับจ้าง” ก่อเหตุในจังหวัดชายแดนใต้มาแล้วหลายต่อหลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ “หน่วยข่าวความมั่นคง” มีหลักฐานชี้ชัดถึงความเคลื่อนไหวของผู้นำขบวนการพูโลเป็นอย่างดี
คำถามที่ต้องมีต่อและสำคัญมากคือ แล้ว “ใคร” คือผู้ว่าจ้างให้ก่อเหตุวินาศกรรมระลอกหลังนี้
จากการติดตามร่องรอยพบว่าเป็น “หน่วยงานชาติตะวันตก” ที่อยู่เบื้องหลัง “ปีกการเมือง” ฝ่ายบีอาร์เอ็น เพราะต้องการจี้รัฐไทยให้รีบตั้ง “โต๊ะพูดคุยสันติสุข” ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทยยังไม่ตกผลึกเรื่องนี้ เพราะไม่มั่นใจจะนำสู่การยุติ “ไฟใต้” ได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นคู่เจรจาคือ “ผู้ที่มีอำนาจ” แท้จจริงของบีอาร์เอ็นไหม
เป็นที่รู้กันดีว่าผู้มีอำนาจแท้จจริงฝ่ายบีอาร์เอ็นคือ “ปีกการทหาร” และปฏิเสธการเจรจามาตลอด เพราะมีธงว่าต้องการ “เอกราช” คือการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่แค่ให้จัดตั้ง “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “เขตปกครองตนเอง” เท่านั้น และก็รู้ว่ารัฐไทยไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นได้
สาเหตุที่ “ปีกการทหาร” บีอาร์เอ็นไม่ออกมาปฏิเสธการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ เพราะได้รับประโยชน์ไปแล้วเต็มๆ อีกทั้งยังเป็นการทำให้เห็นว่ามี “ศักยภาพ” และมี “แนวร่วม” ที่พร้อมก่อการร้ายนอกจากในชายแดนใต้แล้ว ยังขยายออกไปได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย
ดังนั้นต้องถือว่าสถานการณ์ไฟใต้มี “พัฒนาการ” ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และที่น่าเป็นห่วงคือมี “องค์กรชาติตะวันตก” ชักใยอยู่เบื้องหลังใน “ปีกการเมือง” บีอาร์เอ็น
ดังนั้นข้อห่วงกังวลของ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” จึงเป็นจริง เพราะกลุ่มก้อนในฝ่ายบีอาร์เอ็นที่ต้องการเจรจากับรัฐไทย โดยให้มี “มาเลเซีย” เป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” ซึ่งมีการตั้งโต๊ะเจรจากันมาในชื่อเรียกต่างๆ กว่า 12 ปีแบบ “ไม่มีความก้าวหน้า” หากดันทุรังให้เดินหน้าต่อไปก็ไม่ต่างจาก “พายเรือในอ่าง”
แต่ทว่า “การเจรจาจอมปลอม” ก็ยังเป็นที่ต้องการของทั้งบีอาร์เอ็นและรัฐไทย โดยเฉพาะฝ่ายหลังมี “สภาความมั่นคงแห่งชาติ” (สมช.) ทั้งเห็นด้วยและเห็นดี อีกทั้งพร้อมให้ความร่วมมือกับ “องค์กรฝรั่งหัวแดง” ที่อยู่ภายใต้การคอลโทรลของ “มหาอำนาจตะวันตก”
นี่คือ “ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน” ของวิกฤตไฟใต้ที่ “รัฐบาล” ไม่ได้ให้ความสนใจเพียงพอ และ “หน่วยงานความมั่นคง” ก็ไม่ยอมอธิบายให้ประชาชนรับรู้ มีแต่ทีท่าปิดบังอำพราง จนดูเหมือน “มาตรการดับไฟใต้” ไม่มีอะไรใหม่ แถมที่ดำเนินอยู่ก็มีแต่ยิ่งยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนภาพของการไม่เคยมี “ยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจน
ตัวอย่างคือเหตุการณ์จับกุม “คนจีนแผนดินใหญ่” ได้ 2 คนที่นำเข้า “โดรนบรรทุกระเบิด” 2 ลำมาซุกไว้บริเวณชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา แม้มีความพยายามให้ข่าวว่านำใช้ลำเลียงยาเสพติด แต่แท้จริงเป็น “คำสั่งซื้อ” จากคนของบีอาร์เอ็นเพื่อนำมาใช้ก่อการร้ายในชายแดนใต้
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีข้อมูลทางลึกระบุว่า บีอาร์เอ็นสั่งซื้อโดรนชนิดนี้จากจีนล็อตใหญ่ “10 ลำ” รับมอบไปแล้ว 8 ลำใช้ปฏิบัติการ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส ส่วน 2 ลำหลังสุดท้ายบังเอิญไม่รอดสายตาเจ้าหน้าที่ไว้ใช้ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย เรื่องราวเหล่านี้สังคมไม่เคยได้รับรู้
ดังนั้นจึงบอกได้คำเดียวว่า การที่จะยุติไฟใต้ภายในปี 2570 ตามเป้าหมายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์ไฟใต้มีพัฒนาการที่รวดเร็วมาก และยิ่งเวลานี้กลายเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมไฟใต้ให้โหมกระพือความรุนแรงยิ่งขึ้น
ทั้งหมดคือโจทย์ที่ “กองทัพ” ต้องใส่ใจและติดตามให้ทันสถานการณ์ ที่สำคัญต้องมี “ยุทธศาสตร์” ที่ชัดเจน และแทบไม่ต้องพึ่งพา “รัฐบาลเป็นง่อย” ก็ได้ เนื่องเพราะ “ท่านผู้นำ” เองก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่า “รู้สี่รู้แปด” กับวิกฤตใต้มาก่อนเลย