ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ภูเก็ต พังงา กระบี่ น่าจะเคลียร์ได้หมดแล้ว! วัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด 15 จุด หวังสร้างสถานการณ์ป่วนอันดามัน ตามไทม์ไลน์และคำสารภาพของคนร้าย หลังเจ้าหน้าที่ ตร.ทุกหน่วย ทุ่มกำลังควานหาแบบไม่ย่อท้อ EOD เก็บกู้ ยิงทำลายสำเร็จ ทุกลูก
สรุปไทม์ไลน์ การควานหา วัตถุต้องสงสัย ที่ถูกคนร้ายนำมาวางไว้ตามแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ที่ค่อยๆ เปิดปากสารภาพมาที่ละนิดที่ละนิด จากกรณีที่มีการจับกุมคนร้ายเป็นชายชาวปัตตานีจำนวน 2 คน พร้อมวัตถุระเบิด ซุกในรถเก๋ง ในพื้นที่บริเวณด่านตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพังงา เมื่อเวลาประมาณ 04.00น. วันที่ 24 มิ.ย. 68 ก่อนจะถูกนำตัวไปสอบสวน และ เปิดปากรับสารภาพ ว่า มีการนำวัตถุต้องสงสัยมาวางตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 4 จุด หลังจากนั้นมีการสารภาพ ว่า มีการวางอีก 4 จุด รวมทั้งหมด 8 จุด ซึ่งประกอบด้วย สนามบินภูเก็ต 1 จุด ,แหลมพรมเทพ 1 จุด หาดป่าตอง 2 จุด หาดสุรินทร์ 2 จุด หาดในยาง 1 จุด สะพานสารสิน 1 ชุด
ซึ่งหลังจากทราบข้อมูล ทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหามาชี้จุดที่วาง แต่เผอิญว่าคนที่นำไปวางไม่ใช่ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 ภาค 9 ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตำรวจสภ.เมืองพังงา ตชด. สุนัข K9 เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ได้กระจายกำลังค้นหาตามจุดที่ผู้ต้องหาให้การสารภาพ ซึ่งสอดคล้องกับ การตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรวจสอบได้
และจากความพยายามของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย ที่รวมพลังทำงานกันอย่างเต็มที่แทบไม่ได้พัก และการค้นหาก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะบางจุดนำไปฝังทราย บางจุดนำไปซุกในซอกปูน และอีกหลายวิธีการอำพราง แต่ในที่สุดก็ต้องยกนิ้วให้เจ้าหน้าที่ สามารถเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด
ประกอบด้วย เมื่อช่วงเย็น วันที่ 24 มิ.ย. มีการตรวจพบ รถจักรยานยนต์ต้องสงสัย จอดอยู่ที่ลานจอดรถอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่ามีวัตถุคล้ายถังดับเพลิงซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะรถ จึงตัดสินใจยิงทำลาย ตัดวงจรได้สำเร็จ
จุดที่ 2 เจ้าหน้าที่ตรวจพบที่หาดป่าตอง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 มิ.ย. ที่บริเวณชายหาดป่าตอง ห่างจากป้อมตำรวจบางลา ไปทางสวนสาธารณะโลมา ประมาณ 400 เมตร โดยคนร้ายนำวงจใส่ไว้ในแก้วเยติและฝังไว้ในทรายลึกประมาณ 50 ซ.ม. ซึ่งจุดนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ไช้วิธียิงทำลาย
จุดที่ 3 เจ้าหน้าที่ตรวจพบที่บริเวณแหลมพรมเทพ เมื่อช่วงเที่ยวของวันที่ 26 มิ.ย. หลังจากหามาประมาณ 2 วัน โดยจุดนี้คนร้ายนำวงจรใส่ไว้ในกระป๋องโก๋แก่ ซุกไว้บริเวณฐานปูนที่ก่อเป็นที่นั่งจุดชมวิวแหลมพรหมเทพ และใช้ก้อนหินปิดไว้ เจ้าหน้าที่ใช้วิธีตัดวงจร
จุดที่ 4. ช่วงเย็นวันที่ 26 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ EOD ตำรวจภุธรภาค 9 เก็บกู้วัตถุต้องสงสัย ซึ่งมีนำแผงควบคุม ซุกในพาวเวอร์แบงค์ นำไปวางไว้ใต้คาน บริเวณอาคารจุดชมวิวสะพานสารสิน
จุดที่ 5. วันนี้ (27 มิ.ย.) เมื่อช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตรวจพบที่บริเวณหาดสุรินทร์ คนร้ายนำไปฝังทรายใกล้กับต้นไม้ ซึ่งจุดนี้ก้ใช้เวลาในการควานหามาเกือบ 3 วัน จนกระทั่งพบและทำลายในทีในที่สุด
จุดที่ 6 วันนี้ (27 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตรวจพบที่บริเวณหาดในยาง ซึ่งคนร้ายนำไปฝังทรายไว้ โดยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้สำเร็จ
จุดที่ 7 ช่วงบ่ายวันนี้ (27 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ที่บริเวณหาดป่าตอง โดยคนร้ายนำแผงวงจรใส่ในแก้วเยติ ไปฝังทรายใกล้ต้นไม้ใหญ่ หางจากจุดที่พบครั้งแรก ประมาณ 50 เมตร ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำลายวงจรสำเร็จแล้ว
และจุดที่ 8 ช่วงเย็น วันเดียวกัน ( 27 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ตรวจพบที่ หาดสุรินทร์ โดยคนร้ายนำแผงวงจรใส่ในแก้เยติ ไปฝังทราย ห่างจากจุดแรกประมาณ 150 เมตร ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดบริการของเจ้าหน้าที่ไลฟ์การ์ดและเจ้าหน้าที่ได้ทำการเก็บกู้ได้ในที่สุด
สำหรับการก่อเหตุในครั้งนี้ คนร้ายไม่ได้ก่อเหตุพาะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเท่านั้น แต่ยังดำเนินการในพื้นที่จังหวัดกระบี่และจังหวัดพังงาด้วย โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ ได้มีการวางวัตถุต้องสงสัยไว้จำนวน 5 จุด ซึ่งขณะนี้สามารถเก็บกู้ได้ทั้งหมด ประกอบด้วย ลานประติมากรรมไม้มะหาด ,ใต้ป้ายอุทยานหาดนพรัตน์ธารา สวนสนอุทยานหาดนพรัตน์ธารา ลานปฎิมากรรมปลาใบ หน้าหาดอ่าวนาง และ บริเวณกำแพงกันคลื่นใกล้ประติมากรรมหอยชักตีน บริเวณหน้าชายหาดนพรัตน์ธารา
ขณะที่จังหวัดพังงาตั้งเป้าวาง 2 จุด แต่สามารถวางได้แค่ 1 จุด เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ก่อน โดยเจ้าหน้าที่ บริเวณเรียนหินหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามคำรับสารภาพ ของผู้ต้องหา ที่ระบุว่ามีการวางวัตถุต้องสงสัยในภูเก็ต 8 จุด พังงา 2 จุด และ กระบี่ 5 จุด รวมทั้งหมด 15 จุด ถือว่าตอนนี้พื้นที่ภูเก็ต พังงา กระบี่ สามารถเคลียร์วัตถุต้องสงสัยออกจากพื้นที่ได้ทั้งหมด แล้ว แต่ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐก็ยังไม่วางใจ ยังคงเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบ และยกระดับในการดุแลความปลอดภัยให้เข้มขันมากขึ้น