ประเด็นสาธารณะที่ยืดเยื้อมานานกว่า 14 ปี กรณีโครงการก่อสร้างอาคารอำนวยการผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลตรัง ได้ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังรัฐบาลชุดปัจจุบันอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมและขยายกรอบเวลาการก่อสร้าง พร้อมเดินหน้าสู่สัญญาจ้างครั้งที่ 4 โดยกระทรวงสาธารณสุขยืนยันจะกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้โครงการที่ล้มเหลวมาแล้ว 3 ครั้ง เปิดให้บริการประชาชนได้ภายในปี พ.ศ. 2570 ตามเป้าหมาย
โครงการก่อสร้างอาคารอำนวยการผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลตรัง ซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 23,765 ตารางเมตร ได้รับการจัดสรรงบประมาณครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวประสบปัญหาความล้มเหลวในการบริหารจัดการสัญญาและการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและผลกระทบโดยตรงต่อโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนในจังหวัดตรังและพื้นที่ใกล้เคียง
ปัญหานี้กลับมาสู่ความสนใจของฝ่ายบริหารอีกครั้ง เมื่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567 ให้เข้ามาตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงาน ซึ่งทำให้โครงการหยุดชะงักและโครงสร้างรวมถึงอุปกรณ์บางส่วนเกิดความชำรุดเสียหาย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกระทรวงสาธารณสุข พบว่าโครงการมีการทำสัญญาจ้างกับผู้รับเหมามาแล้วถึง 3 ราย และทุกรายจบลงด้วยการบอกเลิกสัญญาเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อกำหนด
การก่อสร้างอาคารดังกล่าว เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2555 จากงบประมาณปี 2554 - 2556 จำนวน 421 ล้านบาท โดยบริษัทที่เข้ามารับก่อสร้างคือ บริษัท เจมิไนย์ แอนด์ แอสโซซิเอท จำกัด แต่ไม่สามารถทำงานได้ตามแผนที่นำมาเสนอ ซึ่งตลอดระยะเวลาในสัญญา ถึงวันที่ 11 พ.ค. 2558 ส่งงานได้แค่ 1 งวดเท่านั้น จึงถูกยกเลิกสัญญาไป
นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ต่อมา มีการทำสัญญาครั้งที่ 2 ให้บริษัท ทศพร เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด มาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2559 แต่ส่งงานได้ 6 งวด หลังจากนั้น ไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ตามแผน จึงถูกยกเลิกสัญญาไปในวันที่ 19 ธ.ค.2562 ทำให้มีการทำสัญญาครั้งที่ 3 กับบริษัท กิจการร่วมค้า เอสที-แมกซ์เอนส์-ทีดับ บิว เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2563 แต่ก็ก่อสร้างส่งงานได้ 7 งวด และหลังจากนั้น ก็ไม่สามารถก่อสร้างได้ตามแผน จึงถูกยกเลิกสัญญาในวันที่ 31 ส.ค. 2566
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้วิเคราะห์ถึงรากของปัญหาว่าเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งคุณภาพของผู้รับจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการร่วมค้าที่อาจมีศักยภาพด้านเงินทุนไม่เพียงพอ การขาดแคลนผู้รับเหมารายใหญ่ในพื้นที่ที่มีขีดความสามารถรับงานขนาดใหญ่ และข้อจำกัดของระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่เน้นการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่สามารถคัดกรองผู้รับจ้างที่มีคุณภาพดีที่สุดได้เสมอไป
จากปัญหาที่สั่งสมและแรงผลักดันจากหลายภาคส่วน ในที่สุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 อนุมัติเพิ่มวงเงินในการก่อสร้างส่วนที่เหลือจำนวน 284.8 ล้านบาท ทำให้ยอดรวมงบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 488.1 ล้านบาท พร้อมทั้งขยายกรอบระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไปจนถึงปี พ.ศ. 2570 โดย ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานของโรงพยาบาลตรังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามแผนงานและกรอบเวลาที่กำหนด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ได้มีพิธีลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างครั้งที่ 4 อย่างเป็นทางการ ณ โรงพยาบาลตรัง มีผู้รับเหมารายใหม่คือ กิจการร่วมค้า วายเอส ระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ยุวากรศุภภัณฑ์ และ บริษัท สยามสกุลช่าง จำกัด ลงนามโดย นายวิเชียร เชิดชู กรรมการผู้จัดการ โดยมีนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธี ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเดชอิศม์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว
นายเดชอิศม์ ขาวทอง ได้ให้คำมั่นอย่างเป็นทางการว่าจะเข้ามาติดตามกำกับการก่อสร้างในครั้งนี้ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการทิ้งงานหรือความล่าช้าซ้ำรอยประวัติศาสตร์
"ภารกิจนี้ไม่ใช่แค่สำหรับโรงพยาบาลตรัง แต่เป็นมาตรฐานที่ต้องนำไปใช้กับทุกโครงการก่อสร้างของกระทรวงสาธารณสุข เพราะสุขภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรอได้" รมช.สาธารณสุข กล่าว
การเริ่มต้นสัญญาครั้งที่ 4 นี้ ถือเป็นความหวังครั้งสำคัญในการยุติปัญหายืดเยื้อที่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของจังหวัดตรังมาอย่างยาวนาน โดยทุกฝ่ายคาดหวังว่าอาคารอำนวยการหลังใหม่นี้จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ตามเป้าหมายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งจะเป็นการปิดฉากตำนานการรอคอยที่ยาวนานกว่าทศวรรษลงได้อย่างสมบูรณ์