ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “สส.เฉลิมพงศ์“ นำผู้เสียหาย ร้องตำรวจ ปมถูกหลอกลงทุน จัดทำวีซ่า ให้แก่นักเรียนต่างชาติ มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท พบเชื่อมโยงกลุ่มทุนจีน-โรงเรียนนานาชาติ
วันนี้ ( 11 มิถุนายน 2568 ) นายเฉลิมพงศ์แสงดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต พรรคประชาชน ได้นำผู้เสียหายจากบริษัทเอกชนรายหนึ่ง เข้าพบ พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เพื่อร้องเรียนกรณี ถูกหลอกให้ร่วมลงทุนในกระบวนการจัดทำวีซ่าให้แก่นักเรียนต่างชาติ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่า นางสาวพัช (นามสมมุติ) เป็นผู้มีบทบาทหลักในขบวนการดังกล่าว ซึ่งได้มีการแจ้งความไว้แล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า
โดยการเข้าพบกับผู้บังคับการตำรวจจังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ มีทั้งผู้เสียหาย ตัวแทนจากโรงเรียนนานาชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมพูดคุย โดยพบว่า หนึ่งในกรรมการของโรงเรียน A มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเทา และเคยถูกแจ้งความในคดีอื่นมาแล้วที่ สภ.ฉลอง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.สินเลิศ กล่าวภายหลังรับเรื่องร้องเรียน ว่า พฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ซับซ้อนและอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงิน รวมถึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสาวไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมเตือนว่า การขอวีซ่านักเรียนควรดำเนินผ่านหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ควรผ่านนายหน้าหรือเอเย่น ที่อ้างว่าสามารถอำนวยความสะดวก เพราะเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ด้านนายเฉลิมพงศ์ ระบุว่า กรณีนี้ควรเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่คิดจะลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับวีซ่าหรือแรงงานต่างชาติ ควรตรวจสอบและติดต่อผ่านหน่วยงานรัฐโดยตรง พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่มีต่อจังหวัดภูเก็ต
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่า โรงเรียนนานาชาติ ดังกล่าว มีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เปิดสอนระดับก่อนประถมศึกษา และ อยู่ระหว่างดำเนินกิจการ โดยมีผู้ถือหุ้นทั้งชาวไทยและชาวจีน ต่อมาเมื่อเกิดกระแสข่าว โรงเรียนได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ นางสาวพัช ผู้เเสียหาย ยืนยันว่าเธอมีบทบาทชัดเจนในการดูแลเอกสารวีซ่า การอบรมบุคลากร และการระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ยังพบว่า นางสาวพัช มีชื่อเป็นกรรมการลำดับที่ 3 ของโรงเรียนนานาชาติ และต่อมาได้เปิดบริษัทเอกชนอีก 1 บริษัท ซึ่งระบุวัตถุประสงค์ ว่า ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย และมีอำนาจลงนามแทนบริษัท จึงมีข้อสังเกตว่าอาจเป็นการเปิดบริษัทในลักษณะ “นอมินี” เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายไทย
ซึ่งกรณีนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนอย่างละเอียด และตำรวจยืนยันว่าจะเร่งดำเนินคดีให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย และเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ภูเก็ตในฐานะเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางการลงทุนระหว่างประเทศ.